เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 50 ฝ่ามือกิเลน
เด็กน้อย ฝีมืออันชั่วช้านัก กลับกล้าใช้วิธีการน่ารังเกียจเช่นนี้เพื่อรักษาเก้าอี้ของตนเองไว้!
ในใจของลั่วเฉินยิ่งเพิ่มพูนความเกลียดชังต่อตัวตนของศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้
“เฮ้ ศิษย์พี่ใหญ่ไฉนบวมอืดถึงเพียงนี้ ตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม” ศิษย์คนหนึ่งตีไปถามไป
ฉินจิ่วเกอซ่อนกายอย่างมิดชิด ตีพลางตะโกนพลาง “ไม่เคยเห็นพวกบวมน้ำเค็มรึไง? ลงน้ำแล้วตัวจะขยายใหญ่ขึ้นสามส่วน แช่น้ำขยายเจ็ดส่วน ตัวใหญ่ขึ้นแปลกตรงไหน ”
“ศิษย์พี่กล่าวได้น่าเชื่อถือ พวกเราตีต่อไป”
จวบกระทั่งน้ำในสระแห้งหมดสิ้น ความวุ่นวายจึงสงบระงับลง ฉินจิ่วเกอหอบหายใจ เวทนาต่อรากบัวครึ่งสระเหล่านั้น
เจ้าอ้วนน่าตายหลงเหลือลมหายใจร่อแร่ ล้มคว่ำลงตรงริมฝั่ง จนเมื่อได้อาวุโสสี่เข้าช่วยเหลือ คนก็ถูกตีจนบวมเป่งเป็นเจ้าอ้วนห้าร้อยจินไปแล้ว
เจ้าอ้วนน่าตายผู้ไร้โชค ยามนี้สมควรซาบซึ้งถึงความชั่วร้ายในจิตใจมนุษย์แล้ว
ชัดเจนว่า มันติดตามมาด้วยเจตนาปกป้อง ผลลัพธ์คือถูกคนจัดฉาก ชักนำอัคคีกองมหึมาเข้าหา ชะตากรรมยังเลวร้ายกว่าถูกฟ้าผ่าร่างอีก
ฉินจิ่วเกอตามมาล้มสลบลงตรงริมฝั่งติดๆ กัน นอกจากใบหน้าอันบวมเป่งของมันแล้ว ที่อื่นปราศจากร่องรอยบาดเจ็บใด คนเสแสร้งหมดสติสมประดี หวังให้ทุกคนปล่อยมันไป แล้วรีบๆ ไปอัญเชิญศิษย์น้องรองขึ้นบัลลังก์ไปก็พอ
อาวุโสใหญ่ผู้เปรื่องปราดไหนเลยจะหลงกลมุกนี้ ยอดยุทธ์ชั้นปราณสุริยันอันเข้มแข็ง สำลักน้ำในสระบัวเล็กๆ สระหนึ่งตายอนาถ น่าขายหน้า
คนเข้ามาสะกิดฉินจิ่วเกอ เป็นความหมายว่าเด็กน้อยพอได้แล้ว ไม่เห็นเจ้าอ้วนน่าตายที่ด้านข้างที่ตกตายจนไม่อาจตกตายได้อีกแล้วนั่นหรอกหรือ
ฉินจิ่วเกอรู้ดีว่าตนเองหลอกลวงอาวุโสใหญ่ไม่ได้ แสร้งเปิดเปลือกตาออกมาอย่างงุนงง สายตาเหม่อมองท้องฟ้า เอ่ยถามเสียงอ่อนระโหย “อา ทะเล มีแต่น้ำเต็มไปหมด อา เจ้าอ้วน อย่าเตะ”
“ยังไม่ตายก็รีบๆ ลุกขึ้นมาประลองต่อ” อาวุโสใหญ่มองเห็นสายตาเปี่ยมความพยาบาทจากอาวุโสสี่ จำใจต้องลงมือด้วยความโกรธต่อฉินจิ่วเกอให้ตื่นขึ้น กำปั้นทุบลงบนร่างของศิษย์รักอย่างแผ่วเบา
ฝูงชนทอดถอนใจ ผดุงธรรมเหนือญาติมิตร สมควรกระทำอย่างหมดจด จะมาทำเป็นผักชีโรยหน้า
แบบนี้ได้ยังไง?
ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะ ชี้ไปยังศีรษะของตนเองพลางกล่าวว่า “อาจารย์ ข้าสะบัดหัวเมื่อกี้ คล้ายได้ยินเสียงคลื่นน้ำกระฉอกไปมา เวียนหัวยิ่ง”
“หมายความว่ายังไง?” อาวุโสใหญ่เหลืออด คิดทุบตีเด็กน้อยนี้สักรอบหนึ่ง
ฉินจิ่วเกอแสร้งทำท่าแคะหูอย่างเคร่งเครียด ตบท้ายทอยตนเอง “กล่าวง่ายๆ ว่า ศีรษะจมน้ำแล้ว ศิษย์คิดขอลาป่วยสักแปดปีสิบปี ภาระหน้าที่ของศิษย์พี่ใหญ่มีมากมาย ต้องมีคนเข้ารับผิดชอบ ให้ศิษย์น้องรองรับไปเถอะ”
ลั่วเฉินที่ด้านข้างยิ่งพิโรธโกรธา มันคิดโค่นอีกฝ่ายพ่ายแพ้อย่างขาวสะอาด แต่อีกฝ่ายดันปั้นเรื่องราวไร้สาระ ใช้วาจาคล้ายคิดส่งมอบถ่ายทอดตำแหน่งแก่ตนเอง เสแสร้งทำท่าเป็นล่าถอยให้
“ไปที่ห้องครัว แล้วเอามีดแล่เนื้อที่คมถนัดมือที่สุดมาเล่มหนึ่ง” อาวุโสใหญ่ออกคำสั่งอย่างเฉยเมย เอามีดที่ถนัดมือที่สุดมา
“เอามาทำอะไรหรือ?” ฉินจิ่วเกอสับสน
“ตัดหัวเจ้าลงมาผ่าดู ว่าข้างในมีน้ำอยู่จริงหรือไม่ยังไงล่ะ” อาวุโสใหญ่สายตาปราศจากความเมตตา มองมาทางฉินจิ่วเกอ เดาะลิ้น จิ๊จิ๊ ที่แท้ควรลงมีดที่ตรงไหนจึงจะดีกว่า?
“ไอ้หยา” ฉินจิ่วเกอคืนชีพจากพื้นในทันควัน ต่างกับเจ้าอ้วนน่าตายทางด้านข้างที่ใกล้ความตายเข้าไปทุกทีๆ ราวฟ้ากับเหว “น้ำระเหยหมดแล้ว”
“งั้นก็ดี มาประลองต่อซะ ใช้วิชาที่ร้ายกาจที่สุดของเจ้าออกมา” อาวุโสใหญ่ถอดรองเท้าออก เท้าเปลือยเปล่าบนหินเขียว ฝ่ามือถือรองเท้าไพล่หลัง รังสีอำมหิตแผ่ซ่าน
ฉินจิ่วเกอตะลึงลาน
ความหมายของอาวุโสใหญ่ชัดเจนยิ่ง การประลองดีๆ ถูกทำให้เละเทะไม่เป็นท่า หากฉินจิ่วเกอไม่มีคำอธิบายที่ดีออกมา ถึงเวลานั้นรองเท้าจะลอยไปหา รับประกันว่าจะมีหน้าส้นรองเท้าโผล่ออกมาอย่างสดใหม่จากเตาแน่นอน
ไม่แคร์ยุทธภพ ไม่รักถนอมสาวงาม ที่ฉินจิ่วเกอรักคือการเวทนาตนเอง อาวุโสใหญ่คือบุคคลที่พูดจริงทำจริงคนหนึ่ง หากยังเสแสร้งไม่เอาจริงเอาจัง ส้นรองเท้ารับประกันว่าต้องบินมาหาไม่ผิดพลาด
ฉินจิ่วเกอทำท่าเคร่งขรึม มองซ้ายมองขวา ป้องปากกล่าววาจา “อาจารย์ กระบวนท่านั้นของข้ายากลำบากยิ่ง เมื่อใช้ออกอานุภาพยิ่งแตกตื่นสะท้านขวัญ เกรงว่าจะทำลายความสงบของพรรคหลิงเซียวเราไป”
ลั่วเฉินอดรนทนไม่ไหวนานแล้ว เมื่อครู่ฉินจิ่วเกอใช้การกระทำอันเหลวไหลเลอะเทอะดูหมิ่นตนเอง หากทนสิ่งนี้ได้ก็ไม่มีอะไรที่มันทนไม่ได้อีกแล้ว
“ข้าไม่เชื่อ ใช้ออกยากลำบากอันใด มา เข้ามาเลย!” ลั่วเฉินคำรามด้วยโกรธา ยังกลัวอีกฝ่ายกระทำไม่สำเร็จ ใช้ลูกไม้ผีสางใดออกมา
“ถูกต้อง ข้านั่งเป็นพยานอยู่ที่นี่ เจ้าจะทำลายความสงบอะไรของพรรคได้ ” อาวุโสใหญ่ผู้สูงส่งเป็นประธาน นอกจากชนชั้นกฎสรรพสิ่งมาเอง ใครจะก่อหวอดได้
ฉินจิ่วเกอไม่เคลื่อนไหว ยิ่งไม่กล้าเคลื่อนไหว ตลกแล้ว ใครมันจะกล้าโอ้อวดกระบวนท่าต่อหน้าพระเอกเล่า สายฟ้าที่ฟาดผ่าเมื่อวานคือเครื่องยืนยัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของเส้นทางความเก่งกาจและปลายนิ้วทองคำของตัวเอกไงเล่า
ส่วนเรื่องต้นกำเนิดกฎสรรพสิ่งอันใดนั้น ฉินจิ่วเกอยิ่งไม่ถือสา นอกจากตัวเอกแล้ว ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ได้อีกอยู่แล้ว
“ไม่ดีกระมัง ยอดฝีมืองำประกาย ไม่อาจแสดงไม้ตายพร่ำเพรื่อ” ฉินจิ่วเกอให้ตายก็ไม่ยอมลงมือ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชะตาชีวิตนับจากนี้ของตนเอง
ร้ายกาจปานนั้นจริงๆ? ลั่วเฉินสงสัยอยู่บ้าง หากกล่าวว่าฉินจิ่วเกอบ้ายังมีคนเชื่อถือ แต่หากบอกว่าอาวุโสใหญ่เองก็บ้าไปด้วย เกรงว่าไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปาก
“งั้นเจ้าก็ลงมือใส่วัตถุอันใดสักอย่าง ให้พวกมันได้เปิดหูเปิดตา”
อาวุโสใหญ่หวังให้ศิษย์กลายเป็นมังกร เรื่องราวเกี่ยวพันถึงเดิมพันที่ตนลงไว้ ไม่อาจล้มเลิกง่ายดาย
อาวุโสใหญ่ชี้ไปยังเขาลูกย่อมในที่ไกล ให้ฉินจิ่วเกอซ้อมมือ นั่นไม่นับว่าทำลายความสงบของพรรคหรอกกระมัง
“ศิษย์พี่ใหญ่” เจ้าอ้วนน่าตายที่ใกล้หมดลมดึงมือฉินจิ่วเกอ “ลงมือเถอะ ให้ข้าได้เห็นอานุภาพของท่าน”
แค่กแค่ก
เจ้าอ้วนน่าตายแค่กๆ สองคำ ลมหายใจรวยริน
หรงเคอเคอที่ด้านข้างกำลังคลายเสื้อผ้าของเจ้าอ้วนน่าตาย ฉินจิ่วเกอกระจ่างแจ้งขึ้นมา เจ้าอ้วนน่าตายความคิดอ่านลึกซึ้ง มันที่แท้กำลังอ่อยเหยื่อ
“เอาล่ะๆ ข้าทดลองดูก็ได้ เจ้าจากไปอย่างสงบเถอะ” ฉินจิ่วเกอยื่นมือปิดดวงตาเล็กเท่าเม็ดถั่วซ่อนแววหื่นกระหายของเจ้าอ้วนน่าตาย ก่อนปลุกขวัญตัวเองยืนหยัดขึ้น กดดันฝูงชนโดยรอบจนล่าถอย
“เช่นนั้น ข้าก็ขอดูหน่อยแล้วกัน” ต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ ลั่วเฉินยังมิได้ย่อยสลายหรือหยดเลือดรับนาย ความสามารถและพลังการต่อสู้ของมันในตอนนี้ เป็นมันเคี่ยวกรำตนเองได้มา
ฉินจิ่วเกอสลัดชายเสื้อ สองเท้าซ้ายขวาวาดตำแหน่งหยินหยาง สองเข่าย่อลง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
คนค่อยๆ ยกมือขึ้น สองมือที่กำรวบไว้บดบังดวงอาทิตย์ จุดแสงสีทองขนาดเท่าหัวแม่มือแผ่กระจายอยู่ในดวงตาที่เรืองประกาย สองตาสาดประกายกล้า
ใบหน้าคมเปี่ยมด้วยความหนักแน่นขึงขัง สายตาไม่ว่อกแว่ก แฝงไว้ด้วยรัศมีพลังสูงส่งเหนือโลก ศิษย์ทั้งหลายถูกทำให้แตกตื่นจนชะงักงัน แม้ไม่อาจเข้าใจ ทว่ายังสัมผัสได้ถึงความร้ายกาจ
ศิษย์พี่ใหญ่ เป็นยอดฝีมืองำประกายที่แท้
“เคล็ดฝ่ามือกิเลนครองฟ้า หนึ่งฝ่ามือต้านสี่ทิศ โค่นกฎสรรพสิ่ง ล้มสุญญตา ฟ้ายิ่งใหญ่ดินไพศาล เพียงข้าคือจ้าว!”
ฝูงชนฮือฮา ต่างถูกอารมณ์ความรู้สึกแพร่ระบาดใส่ สายตาจดจ่อไปยังนิ้วมือเรียวยาวทั้งห้าของฉินจิ่วเกอ รวมกับคำประกาศอันฮึกเหิมโอหังเมื่อครู่ ช่างไม่ต่างจากจิตห้าวหาญท้าสู้จักรพรรดิ วีรุบุรุษที่แท้จริงปรากฏตัว!
ฉินจิ่วเกอผ่อนลมหายใจ เก็บฝ่ามือลง “ขอโทษที ถ้าไม่พูดแบบนี้ ก็คงไม่น่าแตกตื่นแล้ว ที่ว่าโค่นกฎสรรพสิ่งล้มสุญญตาอะไรนั่น ก็แค่พูดออกมาให้คล้องจองเท่านั้น ทุกท่านฟังผ่านๆ หูก็พอแล้ว อย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจัง”
“เพ้ย!” ทั้งสนามสบถออกมา คนยกชูนิ้วกลาง เป็นภาพน่าแตกตื่น
ฉินจิ่วเกอแย้มยิ้มเล็กน้อยอย่างสุขุม ทะยานไปยังเนินเขาลูกเล็กที่ไกลออกไปร้อยเมตร หญ้าเขียวขจีปกคลุมเต็มขุนเขา
สายลมอ่อนโชยพัดผ่าน อากาศปลอดโปร่งวันสดใส ภายใต้ลมทะเลอันอบอุ่น ฉินจิ่วเกอตวาดคำธรรมดาๆ ออกมาคำหนึ่ง “เปิด!”
คำว่า ‘เปิด’ นี้ถูกกล่าวออกประดุจดั่งโองการฟ้า
ฝ่ามือฟาดออกใส่เนินเขาน้อย เสียงครืนครืนดังลั่น อากาศปลอดโปร่งวันสดใสกลายเป็นลมอาถรรพ์วันวินาศ รัศมีหนึ่งร้อยเมตรถูกแสงสีขาวอาบทอ ท้องฟ้าสีครามเข้มเปลี่ยนสีในพริบตา
พลังกดดันมหาศาลกดทับใส่พรรคหลิงเซียว ราวกับเทพบรรพกาลจากแดนโบราณเพิ่งฟื้นตื่น ก่อนย่างเท้าเหยียบลงมาบนพื้นพสุธา
อาวุโสใหญ่สีหน้าปรกติธรรมดา มุมปากเพียงบิดโค้งขึ้นเล็กน้อย ความยินดีที่ศิษย์รักประสบความสำเร็จ ไม่ด้อยไปกว่าตนเองทะลวงด่านได้เลยแม้แต่น้อย
อาวุโสสองและอาวุโสสามตะลึงค้าง สีหน้าเหมือนจู่ๆ มีคนมาบอกว่ายินดีด้วย ท่านมีลูกชายแล้วไม่ผิดเพี้ยน
ที่จริงเวลาที่ผ่านมา ฉินจิ่วเกอในสายตาพวกมันคือยากไร้ต่ำตมโง่เง่านำหน้ามาตลอด แต่คนกลับเปลี่ยนเป็นสูงใหญ่เหนือล้ำขึ้นมากะทันหัน ช่างยากจะยอมรับได้
สำหรับอาวุโสสี่ ยังคงอยู่ด้านข้าง ช่วงชิงชีวิตเจ้าอ้วนน่าตายคืนจากมัจจุราช
ลั่วเฉินสีหน้าเรียบดั่งน้ำนิ่ง ชัดเจนว่าจากพลังที่สำแดงออกมา มันพบพานขุมพลังที่ทัดเทียมกับตนเอง ไม่อาจมองข้ามได้
“ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า ลง!”
ฉินจิ่วเกอตะเบ็งวาจาออกมาเจ็ดแปดคำเต็มเสียง ณ เนินเขาลูกเล็กนั่น ต้นไม้ใบหญ้าถูกป่นเป็นธุลี ดินโคลนจากบนเขาม้วนทะลักแตกทลาย ศิษย์ทั้งหลายที่มุงอยู่ ต่างปราศจากท่าทีหยอกล้อไม่เคารพนับถือหรือหมิ่นแคลนอีก ความตระหนกภายใต้แรงกดดันนี้ ทำให้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง
ครืนนนนนนนน!
สายฟ้าลั่นน่าตระหนก ฝ่ามือขนาดใหญ่ลากดึงพลังวิญญาณมหาศาล กลางอากาศปรากฏเงาร่างบางเบาขึ้น
ดูไปคล้ายมีความหนาแค่เพียงกระดาษบางเฉียบ ทว่าพลังอำนาจที่แฝงอยู่ภายในนั้น เพียงพอให้อาวุโสทั้งหลายต้องเปลี่ยนสีหน้า
น่าเสียดาย ทักษะยุทธบรรพกาล เพียงมีผู้สืบทอดได้คนเดียวเท่านั้น มิเช่นนั้นหากบรรดากลั่นดวงธาตุอย่างพวกเจ้าได้ไปหมด ก็เพียงพอให้ยกระดับพลังขึ้นสูงสุด
พื้นดินสั่นสะท้านเล็กน้อย ก้อนศิลาลอยกระเด็นกระดอน ไม่ต่างจากแผ่นดินไหว
ณ ยอดเนิน หญ้าทั้งหลายชั้นแล้วชั้นเล่าหลุดร่วงออก ไม่ต่างจากผลไม้ที่ถูกปอกเปลือกทีละชั้น ค่อยๆ ถูกลอกจนลดขนาดลงเรื่อยๆ
แคร่กก!
ฝ่ามือยักษ์บางๆ ข้างนั้น ป่นชายเสื้อด้านขวาของฉินจิ่วเกอจนเป็นผุยผง
ฉินจิ่วเกอพลังฝีมืออ่อนด้อยเกินไป หากคิดสำแดงฤทธานุภาพของกิเลนครองฟ้าออกมาเต็มพันหมื่นส่วน จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาที่นานกว่านี้
และแล้วฝ่ามือก็ร่วงหล่นลงจากฟ้า พลังวิญญาณระเบิดทำลายออกทั่วสี่ทิศแปดทาง
พลังอันเต็มเปี่ยมบริบูรณ์สุดขีด เส้นแสงในอากาศต่างก็หม่นหมองลงชั่วขณะ ทุกผู้คนจับจ้องมองดาวตกดวงนั้น ร่วงถล่มลงใส่เนินเขา
บรึมมม!
หมอกควันสลายหาย เนินเขาลูกย่อมกลายสภาพเป็นพื้นที่ราบเรียบ ก้อนศิลาบนภูเขาล่มถล่มทลาย ถูกบดขยี้จนแหลกลาญไม่เหลือสภาพ
ยอดเขาราบสนิท ปรากฏรอยฝ่ามือประทับ ขนาดใหญ่เท่าบ้าน อัดแน่นไปด้วยพลัง
ศิษย์ทั้งหลายในที่นั้น ไม่มีผู้ใดรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้
ฝ่ามือเมื่อครู่ หากโจมตีใส่ฝูงชน ร้อยกว่าคนไม่มีผู้ใดรอดชีวิต
ภายใต้พลังอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ว่าอันใดล้วนเป็นภาพลวงตา เพียงพลังอำนาจเท่านั้นที่จริงแท้
เจ้าอ้วนน่าตายรอดตายหลังวิกฤติมาได้ก็ลูบอกอย่างโล่งใจ ยังดี มันไม่ได้ลงเดิมพันมากนัก
จากตอนนี้ ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์พี่รอง เพียงแต่มันเป็นคนชอบถล่มตน เก็บซ่อนความสามารถและไม่ต้องการชื่อเสียง
ฝ่ามือเมื่อครู่นั่น ต่อให้เป็นซ่งเล่อเองยังต้องถอนหายใจ แม้แต่สังขารของยอดยุทธ์พิสุทธิ์ไพศาลชั้นต้นยังไม่อาจต้านทานรับไว้
หากเป็นมันที่ต้องเผชิญ เกรงว่าคงไม่มีไพ่ตายอันใดให้งัดออกมารับมือด้วยได้
เช่นเดียวกัน ฉินจิ่วเกอเมื่อฟาดฝ่ามือออก พลังวิญญาณในร่างก็เหือดแห้งสิ้น ความรู้สึกอ่อนเปลี้ยจากตันเถียนเส้นเอ็นทิ่มแทง ไม่ใช่เล็กน้อยเลย
“ศิษย์พี่น้องร่วมสำนัก ประลองฝีมือประชันกระบวนท่าเป็นเรื่องปรกติธรรมดายิ่ง ครั้งนี้ให้ถือว่าสู้เสมอ รอผ่านไปอีกสักพัก พวกเจ้าค่อยมาแข่งกันใหม่” อาวุโสใหญ่ประกาศผลลัพธ์ ศิษย์ทั้งหลายผงกศีรษะ ยอมรับทั้งกายและใจ
ฉินจิ่วเกอสำแดงพลังที่แท้จริงแล้ว ยามนี้เบื้องสูงเบื้องต่ำในพรรคหลิงเซียว ไม่มีผู้ใดกล้าเห็นมันเป็นเสือกระดาษอีก
“ตกลง รอจนข้าทลายด่านพิสุทธิ์ไพศาล ค่อยมาหารือกัน” ลั่วเฉินเปิดเผย ประกาศออกมาอย่างโอ่อ่าอาจหาญ ก่อนจะหมุนกายจากไป มันรู้สึกได้ถึงความกดดัน แน่นอนว่าย่อมต้องกลับไปเร่งฝึกฝีมือ สัมผัสถึงพลังที่ได้จากการชำระล้างไขกระดูกเส้นเอ็นวันนั้น
“ศิษย์รัก ทำให้อาจารย์ภูมิใจหมดกังวล ข้าขอประกาศ ศิษย์ทุกคนในพรรคหลิงเซียว ล้วนได้รับศิลาวิญญาณคนละสิบก้อนเป็นรางวัล”
อาวุโสใหญ่แจกรางวัลด้วยความยินดี ศิษย์ทั้งหลายก็ชื่นชมโสมนัส
พรรคหลิงเซียวปรากฏผู้โดดเด่น พวกมันที่สังกัดพรรคเองก็พลอยมีหน้ามีตา
นอกจากนี้ ศิลาวิญญาณสิบก้อนที่ได้รับ ล้วนเป็นบารมีจากศิษย์พี่ใหญ่ทั้งสิ้น