เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 53 คิดเล็กคิดน้อยมิใช่สุภาพบุรุษ
สองพี่น้องจิตใจตรงกัน พรรคหลิงเซียวเพียงเป็นพรรคเล็กๆ พรรคหนึ่ง ขุมกำลังอ่อนด้อย ดังนั้นสองคนดั้นด้นมาถึงประตูพรรค ร่ำร้องหาค่าชดเชย
“อยากได้เงินไม่มี อยากได้ชีวิตไม่ให้” เมื่อฟังเรื่องราวที่มาที่ไป ฉินจิ่วเกอปราศจากความเห็นอกเห็นใจ เพียงตอบออกมาสิบคำ
“เด็กน้อย คิดต่อยตีหรือ? อาการบาดเจ็บของเราสองพี่น้อง พวกเจ้าพรรคหลิงเซียวต้องจ่ายค่าชดเชยสามร้อยศิลาวิญญาณ ไม่อย่างนั้นพวกเราไม่ยอมจบง่ายๆ แน่” ม่อไซ่ถีตวาดว่าด้วยความโกรธแค้น ผ้าพันแผลที่พันรอบศีรษะมันยิ่งโดดเด่น
“หวา สามร้อยศิลาวิญญาณ เจ้าไม่ไปวิ่งราวเอาซะเลยล่ะ” ฉินจิ่วเกอจิบชาหลงจิ่ง ไม่สนใจสองสุนัขที่กำลังเห่าหอน
ศิษย์พรรคหลิงเซียวทางรอบนอกที่ซุ่มดูอยู่ต่างจับจ้องมองสถานการณ์ด้วยความตั้งอกตั้งใจ เงี่ยหูฟังทุกการเคลื่อนไหวในห้อง
“เจ้าดูสิ ดู!” ม่อไซ่เจี่ยงหลั่งน้ำตาสองสาย เปิดผ้าพันแผลออก ภายใต้ผ้าคือใบหน้าบวมเป่งจนองคาพยพทั้งห้าบิดเบี้ยว บวมอืดจนไม่ด้อยกว่าเจ้าอ้วนน่าตายเลยแม้แต่น้อย สีสันเขียวม่วงแดงเหลืองสารพัดน่าดูชม
“ถ้าเป็นเจ้า ข้าให้เจ้าสามร้อยศิลาวิญญาณ แล้วให้ข้าตีเจ้าจนมีสภาพเช่นนี้ เจ้ายอมหรือไม่?” ม่อไซ่เจี่ยงรู้สึกอยุติธรรมยิ่ง ตนเองเพียงพลั้งปากบอกว่าแม่นางบ้านนั้นรูปร่างอ้อนแอ้นงดงาม ผลลัพธ์กลับเป็นเด็กน้อยหน้าขาวที่ด้านข้างทะยานเข้ามาทุบตีคน ขนาดพวกตนบอกยอมแล้วยอมแล้วยังไม่หยุด
ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะ หน้าตาของมันแน่นอนว่าไม่อาจยกศิลาวิญญาณมาเทียบเปรียบได้ “ไม่ยินยอม”
ม่อไซ่ถีพกพาใบหน้าห้าทวารผิดรูป แสดงท่วงท่าอันธพาลดุร้าย “เจ้าเองยังไม่ยอม พวกเราขอค่าชดเชยแค่สามร้อย ถือว่าใจดีกับเจ้าแล้ว”
“ทั้งสองท่าน” ฉินจิ่วเกอลูบจมูกกล่าววาจาโดยปราศจากความละอาย “พวกท่านไม่จำเป็นต้องแสดงหน้าตาอัปลักษณ์ปานนั้นออกมาเพื่อข่มขู่ข้า อย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ พวกท่านเองก็จะเจ็บตัวด้วย”
ม่อไซ่ถีม่อไซ่เจี่ยงสองพี่น้องเก็บผลงานของมันไว้ ต่างเขม้นดวงตาจับจ้อง นวดเฟ้นรอยช้ำไม่หยุด
“ประโยคเดียว ให้หรือไม่ ไม่ให้พวกเราจัดการเจ้า!” ม่อไซ่ถีถ่มน้ำลายออกมาคำหนึ่ง ในนั้นยังมีเลือดปนมาเล็กน้อย
“การต่อยตีเป็นพฤติการณ์ไร้อารยะ ถ่มน้ำลายก็เช่นกัน พวกเราพรรคหลิงเซียวมารยาทมาก่อน ตอบแทนคนด้วยคุณธรรม ยังคงหวังให้สองท่านเข้าใจด้วย สำหรับเรื่องเงินทอง ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ต่างเป็นสหายเต๋า จะได้ไม่ทำร้ายความรู้สึกของกันและกัน”
“บัดซบ!” ม่อไซ่เจี่ยงเขวี้ยงผ้าพันแผลลงกับพื้น เตะใส่โต๊ะเท้าหนึ่ง “เจ้าอยากให้พรรคจอกประกายสิทธิ์กับพรรคหลิงเซียวรบกันใช่มั้ย?”
“พวกเจ้ามีคุณสมบัติ?” บรรยากาศของฉินจิ่วเกอจู่ๆ ก็เปลี่ยนแปลงกะทันหัน พลังสภาวะดั่งพยัคฆ์ถาโถมลงจากบรรพต “คิดรบราฆ่าฟัน ผู้ใดกลัวผู้ใด เจ้าอยากลองก็เอาเลย!”
ศิษย์ฝ่ายในแค่สองคน ไม่อาจเป็นตัวแทนของทั้งพรรค
แต่ฉินจิ่วเกอตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจ ที่นี่คือถิ่นของตนเอง สองคนนี้กินดีหมีหัวใจเสือมาหรืออย่างไร กลับกล้ามาวางโตหน้าบ้านของผู้อื่น
แม้แต่สุนัขยังต้องขับถ่ายในเขตของมันเอง ใครกล้าล้ำเส้นย่อมกัดผู้นั้น
คิดว่าศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวรับประทานมังสวิรัติ ไม่กัดคนจริงๆ?
“ก็ได้ ข้าจะอัดเจ้าให้น่วมเป็นพัสดุระดับเจ็ด *เลย!” ม่อไซ่ถี ปราณสุริยันขั้นปลาย ระดับพลังฝีมือสูงที่สุดในที่นี้ เมื่อเห็นฉินจิ่วเกอไม่มอบเงินทอง ก็คิดล้มถ้วยชาบนโต๊ะเจรจาทันที
เกิดเสียงเพล้งคราหนึ่ง!
เสียงดังกังวานก้องของถ้วยชาแตกหักและเสียงผู้คนตวาดดังลอดออกมาภายนอก เจ้าอ้วนน่าตายเงื้อง่าคราดเทวะเก้าซี่**ขึ้นสูง เบื้องสูงเบื้องต่ำในพรรคหลิงเซียวต่างโมโหโกรธาโดยพร้อมเพรียง
“ศิษย์พี่ใหญ่คว่ำจอกส่งสัญญาณ***แล้ว ทุกคนบุกเข้าไป ทุบเจ้าสองคนนั้นให้ตาย!” เจ้าอ้วนน่าตายทลายประตู ควงคราดเทวะเก้าซี่กวัดแกว่งนำหน้า ศิษย์อีกนับร้อยหนุนเนื่องเข้าไป คนอัดแน่นเต็มห้องโถงใหญ่
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินจิ่วเกอตะลึงลาน ตนเองยังไม่ทันส่งสัญญาณอะไรเลย
ดูท่าแล้วคว่ำจอกส่งสัญญาณเมื่อครั้งกระโน้น ที่จริงไม่ใช่ซีฉู่ป้าหวัง (ฌ้อป้าอ๋อง) ต้องการฆ่าหลิวปัง แต่น่าจะเป็นหลิวปังทะเล่อทะล่าทำแจกันดอกไม้ตกแตกเองมากกว่ากระมัง
ผลลัพธ์คือพลทหารด้านนอกฟังผิด บุกเข้าไปตีหลิวปังจนหมดสภาพ จนจางเหลียง****ต้องไปแอบร่ำไห้ในห้องส้วมจนเป็นลมไป*****
เรื่องจริงและประวัติศาสตร์ย่อมเกิดขึ้นซ้ำรอย หากคิดให้ศัตรูของท่านจมทะเลมนุษย์ไร้ขอบเขต ปีศาจและสัตว์ประหลาดทั้งหลายล้วนเป็นเช่นเสือกระดาษ
ม่อไซ่ถีและม่อไซ่เจี่ยงยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจ เพียงพริบตาก็ถูกคนนับร้อยรุมล้อม
“ชั่วช้านัก!” ม่อไซ่ถีหลั่งน้ำตา โลกช่างโหดร้าย ที่แท้ถูกวางกับดักแล้ว
“แน่จริงก็ตัวๆ สิ!” ม่อไซ่เจี่ยงคำรามลั่น ศีรษะสุกรของมันเปิดเผยให้เห็นต่อหน้าผู้คน มีบ้างบางคนอดไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมา
“ตีมันให้ตาย!” เมื่อเห็นรูปโฉมอีกฝ่ายที่บวมอืดเท่าตนเอง เจ้าอ้วนน่าตายรู้สึกเหมือนถูกล้อเลียน คนกวัดแกว่งคราดเทวะเก้าซี่ขึ้นถาโถมเข้าใส่
ม่อไซ่ถีดวงตาสาดประกายดุร้าย ตะกุยกรงเล็บคว้าตะปบใส่ “ข้าจะหักกระดูกเจ้า!”
เคล็ดท่าร่างมารมายากะพริบวาบเดียวสิบเมตร ฉินจิ่วเกอเคลื่อนผ่านฝูงชนทั้งหมด แว่บเดียวไปปรากฏอยู่ด้านข้างม่อไซ่ถี
ม่อไซ่ถีเพียงรู้สึกสะท้านขึ้นคราหนึ่ง จากนั้นไหล่บ่าถูกอีกฝ่ายตบใส่อย่างเต็มรัก ครึ่งซีกร่างชาด้านไร้ความรู้สึกในทันที
เฉกเช่นเดียวกัน ม่อไซ่เจี่ยงเองก็ถูกฉินจิ่วเกอตบลงไปกองกับพื้น สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปในทันที
เมื่อไร้หนทางตีโต้กลับ ม่อไซ่ถีม่อไซ่เจี่ยงทั้งสองโคจรพลังวิญญาณห่อหุ้มร่าง ขมวดแน่นเป็นเกราะกำบังตระเตรียมรับการพิพากษาจากฝูงมนุษย์ ผ่านไปหลายนาที เมื่อฉินจิ่วเกอคาดว่าพลังที่คิดสำแดงน่าจะเพียงพอแล้ว จึงให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายล่าถอยออกมา
มองปราดเดียวก็พบว่า บนพื้นกองไว้ด้วยขนาดสังขารประมาณเจ้าอ้วนน่าตายสองร่าง นอนพะงาบๆ กระดืบอยู่ที่พื้นราวทากทะเล
“เจ้าคอยดู พรรคจอกประกายสิทธิ์ไม่มีทางละเว้นพวกเจ้า” ม่อไซ่ถีคิดแสดงสีหน้าข่มขู่ท้าทาย ทว่าใบหน้าบวมเป่งอย่างสาหัส ทั้งจมูกปากม้วนรวมเป็นก้อนเดียวกัน ที่จริงไม่น่าจะพูดได้ด้วยซ้ำ
“ก็ได้ ข้าจะรอ อยากรู้เหมือนกันว่าจอกประกายสิทธิ์ของเจ้าจะแน่สักแค่ไหน” ฉินจิ่วเกอกล่าวไม่แยแส เดี๋ยวพวกเจ้าจะได้รู้เองว่าพฤติการณ์ของพวกเจ้าในวันนี้นั้นน่าขบขันเพียงไหน
“งั้น งั้น…” ม่อไซ่เจี่ยงหอบหายใจ ส่งสายตาแรงกล้า “พวกเราหมดเรี่ยวสิ้นแรงแล้ว พวกเจ้าเข็นพวกเราออกไปส่งหน่อยเถอะ”
“เช่นนั้นก็แย่หน่อยนะ” ฉินจิ่วเกอตบอกด้วยท่าทางปลอมเปลือกอย่างชัดเจน ภาพเหตุการณ์ต่อยตีเมื่อครู่ ช่างนองเลือดจนเกินไปจริงๆ
“ท่านทั้งสองคิดไป แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ทว่าพวกท่านสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินพรรคเราไม่น้อย มิใช่สมควรจ่ายค่าชดเชยเสียหน่อยหรอกหรือ?” ฉินจิ่วเกอค้อมเอวลงกล่าววาจาต่ออีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มร้ายกาจเปี่ยมเหตุผล
“เจ้า เจ้าเอาคนมารุมทำร้ายพวกเราจนเป็นเช่นนี้ ยังเรียกร้องค่าเสียหาย?” ม่อไซ่ถีตะลึงค้าง สูดจมูกฟืดๆ
ประทับรอยบนพื้นขาวอย่างชัดเจน
“แน่นอน พวกท่านเพิ่งทำแก้วชาตกแตก ยังมีใบชาที่อยู่ภายในนั้น ล้วนเป็นสมบัติชั้นสูงของพรรคหลิงเซียวเรา ราคาตลาดคือสามพันศิลาวิญญาณ”
“ผายลม!”
“ผายลมเป็นการสร้างมลภาวะทางอากาศ รวมกับเมื่อครู่ที่พวกท่านถ่มน้ำลายไม่เป็นที่เป็นทาง นอกจากนี้โต๊ะของพรรคเราที่ถูกเตะได้รับความเสียหาย ช่างเถอะ ข้าเป็นคนใจกว้าง ชดใช้มาห้าพันก็พอ” ฉินจิ่วเกอว่า
ม่อไซ่เจี่ยงฟังแล้ว สองตาเหลือกขาว เป็นลมสลบไปทันที
ห้าพันศิลาวิญญาณ พวกมันมีหรือไม่ไม่ต้องพูดถึง แค่เห็นยังไม่เคยเห็น
แม้แต่ซ่งเล่อยังไม่มีปัญญาหามาได้ พรรคจอกประกายสิทธิ์ที่เพียงมีชื่อในรัศมีหลายร้อยลี้นี้ ไหนเลยจะมีเงินมากมายปานนั้น
“เจ้า ต่อให้เจ้าฆ่าพวกข้าทิ้ง พวกข้าก็ไม่มีให้!” ม่อไซ่ถีจ้องเขม็งไปยังฉินจิ่วเกอ ไอ้คนชั่วช้าหน้าไม่อาย!
“ถ้างั้น ลดให้ก็ได้ สามพัน” ฉินจิ่วเกอแสดงน้ำใจอย่างเข้าอกเข้าใจ
“ไม่มี ฆ่าพวกข้าเถอะ!”
“ได้ ถือว่าเป็นคนทวีปฉงหลิงด้วยกัน พันห้า!”
“ข้าขอเพียงความตายเท่านั้น มาเถอะ ให้ข้าได้ตายอย่างรวดเร็ว!” ม่อไซ่ถียืนกรานร้องขอความตาย
“ถือว่าข้ากลัวเจ้า สามร้อยศิลาวิญญาณ เท่ากับค่าชดเชยที่เมื่อกี้พวกเจ้าเรียกมา” ฉินจิ่วเกอปาดเหงื่อ สองยาจกนี้กระทั่งแหวนมิติยังไม่มี เรียกเงินจากมันมากมายปานนั้น นับว่าสร้างความลำบากแก่พวกมันแล้ว
“ไม่มี!” ม่อไซ่ถีเสียงแข็งแน่วแน่ เพียงเพิ่งกล่าวจบ ฉินจิ่วเกอกลับแน่วแน่ยิ่งกว่า
“ก็ได้ สามร้อยไม่มี พรรคจอกประกายสิทธิ์ของพวกเจ้าเก็บขยะกันรึไง? ในเมื่อไม่อาจหามา เจ้าอ้วน ลากพวกมันไป หาสถานที่ปลอดคนหั่นพวกมันแยกชิ้นส่วน แล้วกลบเกลื่อนทำเป็นว่าพวกมันถูกสัตว์อสูรทำร้าย”
“ช้าก่อน” ม่อไซ่ถีปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก “ข้าให้”
“งั้นรึ?” ฉินจิ่วเกอคาดไม่ถึงยิ่ง ต่อให้ผ่อนเป็นงวดได้ สามร้อยศิลาวิญญาณก็ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย “งั้นเจ้าว่าห้าร้อยเป็นอย่างไร?”
“คนแซ่ฉิน เจ้าอย่าได้บีบคั้นพวกเราเสี่ยงชีวิต!” สองพี่น้องคำรามออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“ก็ได้ก็ได้ พื้นฐานข้าเป็นคนมีเมตตาอยู่แล้ว พวกเจ้าลงชื่อในใบแจ้งหนี้แล้วก็ไปได้ ผ่อนจ่ายไม่คิดดอกเบี้ย ดูสิว่าข้าใจดีกับพวกเจ้าแค่ไหน” เมื่อผ่านกระบวนการทางธุรกรรมเรียบร้อย ฉินจิ่วเกอเรียกศิษย์น้องโยนทั้งสองออกไป นี่เรียกว่าเรื่องราวผู้คนสร้างเองพินาศเอง
ปล่อยเบ็ดยาวตกปลาใหญ่ ฉินจิ่วเกอเขื่อมั่นว่าสองพี่น้องพรรคจอกกายสิทธิ์อันใดนั้นไปแล้วย่อมหวนกลับมาอย่างรวดเร็ว ที่เขาต้องการทำ คือปอกลอกพวกมันเที่ยวหนึ่ง ผู้ใดเรียกให้มันกล้าล่วงเกินพระเอกเล่า ตนเองไหนเลยจะกลั่นแกล้งรังแกคน แท้ที่จริงกำลังช่วยเหลือคนจากความพินาศย่อยยับต่างหาก
เพียงพลิกฝ่ามือก็ได้มาสามร้อย สายตาของบรรดาศิษย์ทั้งหลายที่มองดูฉินจิ่วเกอยามนี้แตกต่างไปจากเดิม นอกจากความเลื่อมใสศรัทธา ที่ยิ่งกว่าคือความคร้ามเกรง
ศิษย์พี่ใหญ่ช่างล้อเล่นไม่ได้เลยจริงๆ ต่อจากนี้ต้องเกรงอกเกรงใจให้มาก มิเช่นนั้นเพียงพริบตาอาจถูกมันลอกหนังไปหลายร้อยศิลาวิญญาณ ได้แต่ไปแขวนคอตายที่กิ่งไม้ตะวันออกเฉียงใต้แล้ว
ม่อไซ่ถีม่อไซ่เจี่ยงทั้งสอง หลังถูกโยนออกไปปากทางขึ้นเขาหลิงเซียว ได้ชาวบ้านผู้มีจิตใจดีช่วยเอาไว้ ในที่สุดกลับสู่พรรคจอกประกายสิทธิ์
ประมุขพรรคจอกประกายสิทธิ์และอาวุโสทั้งหลาย ระดับพลังฝีมือล้วนเข้าสู่ขั้นพิสุทธิ์ไพศาล ต่างอวดเบ่งว่าตนเองพลังยิ่งใหญ่
พรรคจอกประกายสิทธิ์เย่อหยิ่งอหังการตลอดมา ในรัศมีใกล้ๆ ล้วนไม่มีใครกล้าตอแยพวกมัน วันนี้ศิษย์สองคนถูกทุบตีจนมีสภาพราวสุกรเถื่อน ประมุขพรรคจอกประกายสิทธิ์พิโรธโกรธกริ้ว
ด้วยความโกรธ อาวุโสใหญ่พรรคจอกประกายสิทธิ์เคลื่อนไหว ตระเตรียมทวงคืนเงินทองที่ถูกริบไปพร้อมดอกสิบเท่า
ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกมันออกจากด่านพอดีกับที่ม่อไซ่ถีทั้งสองกลับถึงพรรค พลังฝีมือก็เข้าสู่ปราณสุริยันขั้นสูงสุด อีกชุ่นเดียวก็จะบรรลุสู่พิสุทธิ์ไพศาล เมื่อได้ฟังว่ามีคนกล้าตอแยคนของพรรคตนเอง ศิษย์พี่ใหญ่และอาวุโสใหญ่สองกระบี่ประสาน เร่งรีบร้อนรนเดินทางด้วยอารมณ์ของผู้เสียหาย
ฉินจิ่วเกอคาดการณ์ไว้แต่แรก คนวางทางหนีทีไล่ไว้ ตนเองนั่งอย่างมั่นคงอยู่กลางห้องโถงใหญ่ วางเรียงป้านน้ำชาอย่างดีไว้ รอคอยไก่ในเรือนเบี้ยบินเข้ามาหาที่ตาย
ไม่นาน ไก่งวงร้อนๆ จากเตาสี่ตัวก็เข้ามา พาตัวเองมาถวายถึงหน้าประตู
สี่คนจากพรรคจอกประกายสิทธิ์เดินทางมาถึงพรรคหลิงเซียว พบว่าภายในพรรคเงียบสงัดงัน กระทั่งสุนัขสักตัวยังไม่มี
ม่อไซ่ถีกล่าวต่ออาวุโสใหญ่อย่างระมัดระวัง “พวกมันวางกับดักไว้ อาวุโสใหญ่ต้องระวัง”
ศิษย์พี่ใหญ่พรรคจอกประกายสิทธิ์ เล็งมองตึกพำนักอันซอมซ่อมอซอของพรรคหลิงเซียว ต้องเอ่ยออกมาด้วยความเหยียดหยาม “เป็นพวกเจ้าเศษสวะทั้งสองไร้ราคา ปราณสุริยันสองคนกลับถูกคนรุมตีจนเป็นสภาพนี้ รออีกสักครู่ คอยดูว่าข้าจะหักแขนขาทั้งสองของเจ้าเด็กนั่นอย่างไร”
“ฮ่าฮ่า มีกำลังขวัญ” อาวุโสใหญ่พรรคจอกประกายสิทธิ์ไม่ถือสาว่าไม่สำรวม “ที่จริงก็แค่พรรคเล็กๆ ต่ำชั้น ฟาดแขนมันหักก็พอ ไม่งั้นคนจะหาว่าพรรคจอกประกายสิทธิ์เรารังแกคนอ่อนด้อย”
มาถึงห้องโถงใหญ่ บนพื้นประทับแอ่งเลือดแดงฉานเสียดแทงนัยน์ตาสองแอ่ง คือร่องรอยของเหตุการณ์เมื่อก่อนหน้าเอง
ฉินจิ่วเกอไม่เงยหน้า คนยกแก้วน้ำชาทอดตามองดูภายใน เอ่ยวาจา “มาแล้วหรือ”
“ไอ้เด็กเลว เจ้าตายแน่” ม่อไซ่เจี่ยงซ่อนกายอยู่หลังไก่ย่างร้อนๆ สองตัว “นี่คือศิษย์พี่ใหญ่เกาฟู่ส่วย คอยดูว่าเขาจะจัดการเจ้ายังไง”
“พรู่ดดด” ฉินจิ่วเกอหลุดหัวเราะจนตัวสั่น “พรรคจอกประกายสิทธิ์เจ้า แต่ละคนล้วนมีแต่ชั้นสุดยอดทั้งสิ้น ม่อไซ่ถีม่อไซ่เจี่ยงนั้นช่างเถอะ แต่กลับมีคนหน้าหนากล้าเรียกตนเองว่าเกาฟู่ส่วย (หล่อเหนือคน) ข้าขำจนตายแล้ว”
“บัดซบ เด็กน้อยเจ้าเป็นใครมาแต่ไหน?” เกาฟู่ส่วยสืบเท้าเข้าสู่ห้องโถง รัศมีพลังสั่นสะท้านเก้าอี้ที่อยู่ใกล้จนล้มระเนระนาด
*พัสดุระดับเจ็ด บริษัทขนส่งของจีนแบ่งขนาดกล่องพัสดุออกเป็นหลายระดับ จากเล็กไปใหญ่ ระดับเจ็ดเป็นต้นไปคือกล่องพัสดุใหญ่พิเศษ จัดการยาก และเสียค่าส่งราคาแพงกว่าปกติ
**九齿钉耙 คราดเทวะเก้าซี่ ชื่อคราดเทวะอาวุธประจำกายของตือโป๊ยก่าย
***摔杯为号 คว่ำจอกส่งสัญญาณ มีที่มาจากงานเลี้ยงหงเหมิน เซียงอวี่จัดงานเลี้ยงแก่หลิวปัง แท้ที่จริงซุ่มมือดาบขวานไว้เบื้องนอกห้าร้อยนาย นัดแนะกันไว้ว่าเมื่อตนคว่ำจอกเป็นสัญญาณ มือดาบขวานทั้งหมดก็จะกลุ้มรุมสังหารหลิวปัง วลีนี้ปรากฏในเรื่องหลายครั้งมาก ตั้งแต่ตอนที่พระเอกไปบ้านตระกูลซุน ผู้นำตระกูลคว่ำจอกส่งสัญญาณ ที่เข้ามาไม่ใช่มือดาบขวาน แต่เป็นเหล่าสาวงามตระกูลซุนที่ตระเตรียมมาเอาใจซ่งเล่อ
****จางเหลียงคือนักกลยุทธ์ หลังประเทศของตนล่มสลายก็ทำงานรับใช้หลิวปัง
*****ร่ำไห้ให้ห้องส้วมจนเป็นลม มาจากข่าวอันโด่งดังในอินเตอร์เน็ตของจีน ไอดอลชื่อดังออกซิงเกิ้ลเพลง แต่ถูกเพื่อนนินทาว่าเพลงยอดขายต่ำกว่าทุกคนในค่าย ดังนั้นไอดอลท่านนั้นโกรธและเสียใจจนไปแอบร้องไห้ในห้องน้ำฝังเพชรของเธอจนเป็นลมไป ต่อมาวลีร้องไห้ในห้องส้วมจนเป็นลม, ร้องไห้ในห้องน้ำจนเป็นลม, ร้องไห้ข้างชักโครกจนเป็นลม จึงกลายเป็นวลีแสดงถึงความเจ็บปวดเสียใจขนาดหนัก