เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 61 ตัวละครหน้าใหม่
น่าเสียดายจริงๆ ใบหน้าขนาดเท่าหินโม่แป้งของเจ้าอ้วนน่าตาย ต่อให้ซื้อกระจกบานใหญ่มาก็ยังมองเห็นหน้าของมันได้ไม่หมด ช่างน่าเวทนาเหลือหลาย
เจ้าอ้วนน่าตายขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ศิษย์พี่ใหญ่ช่างเป็นยอดคนที่แท้ ไม่อาจคาดเดาความคิดอีกฝ่ายได้เลย
ภายในเมืองซวนอู่ พรรคจอกประกายสิทธิ์ได้ถ่ายทอดคำสั่งให้แก่ตระกูลม่อไว้แต่แรกแล้วว่าให้ทำลายวรยุทธฉินจิ่วเกอทิ้งเสีย
พรรคจอกประกายสิทธิ์มีกำลังรบแกร่งกร้าว อำนาจสูงส่งเกินกว่าที่ตระกูลม่อจะเทียบเทียม หาไม่แล้วตระกูลม่อคงไม่ทำทุกวิถีทางเพื่อส่งศิษย์สายตรงเข้าพรรคจอกประกายสิทธิ์
อุบายที่เพ่งเล็งจู่โจมฉินจิ่วเกอในครั้งนี้ พรรคจอกประกายสิทธิ์เป็นเพราะมีเรื่องติดพัน จึงส่งแค่อาวุโสใหญ่เหิงโหย่วเฉียนออกมา
ส่วนประมุขพรรค เกาฟู่ส่วยและอาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็ไปทำเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า เป็นเรื่องใหญ่พัวพันถึงตำแหน่งทรราชพรรคจอกประกายสิทธิ์ในอีกร้อยปีข้างหน้า
เหิงโหย่วเฉียนนั่งอยู่ในห้องโถงประจำตระกูลม่อ สีหน้าเย่อหยิ่งทระนง ไม่แยแสผู้ใด
ตระกูลม่อมียอดยุทธ์ชั้นพิสุทธิ์ไพศาลเพียงสามคน ประมุขตระกูลม่อคือพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง เหนือกว่าเหิงโหย่วเฉียนหนึ่งขั้นย่อย
เมื่อได้รับคำสั่งจากพรรคจอกประกายสิทธิ์ ประมุขตระกูลม่อม่อฉวนซัว แม้ภายนอกจะยอมรับ แต่ในใจปฎิเสธ
ชื่อของมันคือม่อฉวนซัวเชียวนะ(ไม่เล่าขาน) บ่งบอกว่ามันเป็นคนถ่อมเนื้อถ่อมตัวถึงกระดูก
ความจริงเป็นข้อพิสูจน์ เพราะนิสัยเก็บตัวไม่โอ้อวด จึงไม่ดึงดูดภัยมาหา ตระกูลม่อภายใต้การนำของม่อฉวนชัวเป็นเวลาสิบปีมานี้จึงกลายเป็นขุมกำลังที่มีอำนาจสุดสูงของเมืองซวนอู่ไป
เหิงโหย่วเฉียนแม้ระดับฝึกปรือจะต่ำกว่าม่อฉวนซัว แต่มาตรฐานของมันกลับสูงกว่า ประมุขพรรคจอกประกายสิทธิ์ของพวกมันคือยอดยุทธ์ชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด หากกลั่นดวงธาตุไม่ออกหน้า ก็เท่ากับไร้ผู้ต้าน
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเล็กกินกุ้งฝอย ยอดคนคือเจ้า นี่ก็คือกฎเหล็กของทวีปฉงหลิงมาแต่สมัยโบราณกาล
เพื่อให้มั่นใจว่าฉินจิ่วเกอจะมาตามลำพัง เหิงโหย่วเฉียนจึงสั่งให้ม่อฉวนซัวรั้งตัวฉินจิ่วเกอไว้กับที่ เพื่อที่มันจะได้ตรวจสอบดูได้ว่าอีกฝ่ายมียอดคนซุ่มซ่อนอยู่ใกล้ๆ หรือไม่
ที่ว่ารั้งไว้อยู่กับที่ ก็คือการสั่งให้ตระกูลม่อปิดประตูลงกลอนไม่รับแขก ฉินจิ่วเกอก็จะทำได้แค่ยืนแหกปากด่าทออยู่หน้าประตู เหมือนหวงชื่อเหรินผู้สวมหมวกรูปครึ่งแตงโมที่หมายจะบุกเข้าบ้านตระกูลม่อเพื่อสังหารหยางไป๋เหลาให้ได้ อันเป็นเหตุให้เกิดโศกนาฎกรรมมนุษย์
ราษฎร์ขาดความเชื่อมั่น แผ่นดินไม่อาจตั้งอยู่ ติดหนี้แล้วไม่คืน ความน่าเชื่อถือของตระกูลม่อในเมืองซวนอู่เป็นต้องร่วงดิ่งลงเหว ต่อให้พรรคจอกประกายสิทธิ์จ่ายค่าชดเชยให้ แต่ชื่อเสียงกิจการที่สั่งสมมานานนับสิบปีพลันต้องหายวับไปทันที ยากที่ตระกูลม่อจะมีที่ยืนอยู่ได้อีกต่อไป
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเชิญคนมาเชือดทิ้งที่ตระกูล เรื่องนี้ไม่ว่าจะมองยังไง ก็เป็นพฤติการณ์ของพวกอันธพาลทั้งนั้น แล้วต่อจากนี้ใครจะกล้าเฉียดใกล้ตระกูลม่ออีก?
ม่อฉวนซัวส่งเหิงโหย่วเฉียนออกไปด้วยรอยยิ้มหยี ใบหน้าแข็งค้าง เย็นชายะเยียบจนแทบกลายเป็นน้ำแข็ง
อาวุโสของตระกูลสองสามคนล้วนแสดงความคัดค้านเรื่องนี้ จู่ ๆ ไปทุบตีศิษย์ของพรรคผู้อื่นจนพิการไร้วรยุทธ์โดยไร้ต้นสายปลายเหตุ หากผู้อื่นในพรรคมียอดคนอยู่ ตระกูลม่อล้วนไม่อาจรอดพ้นจากหายนภัย
“ไป เรียกม่อไซ่ถีม่อไซ่เจี่ยงมาหาข้า!”
คนตบโต๊ะด้วยแรงโทสะจนประทับเป็นรอยฝ่ามือชัดเจน ม่อฉวนซัวชิงชังที่ไม่อาจเชือดสองพี่น้องแซ่ม่อตัวบัดซบทิ้ง เรื่องราวล้วนเริ่มต้นมาจากพวกมันทั้งคู่
สองพี่น้องแซ่ม่อคุกเข่าตัวสั่นด้วยความหวาดเกรงในห้องโถงใหญ่ สองปราณสุริยันกลับกล้าอวดบารมีกร่างไปทั่วทิศเช่นนี้ สาเหตุก็เพราะมีต้นไม้ใหญ่เช่นตระกูลม่อเป็นผู้คุ้มกะลาหัว
ศิษย์ของพรรคสำนักที่ใหญ่โต ยิ่งต้องใคร่ครวญผลลัพธ์ได้เสียให้รอบคอบ ไม่มีผู้ใดหลบหลีกรอดพ้นหากตระกูลประสบภัย!
“พวกเจ้าบอกข้ามาแต่โดยดี ศิษย์ที่เหิงโหย่วเฉียนคิดตอบโต้คนนั้น พลังฝีมือเป็นอย่างไร?” ม่อฉวนซัวระงับอารมณ์ ในใจบังเกิดความรู้สึกไร้อำนาจต่อรองอย่างสิ้นเชิงพุ่งขึ้น
“มัน มันอยู่ที่ปราณสุริยันขั้นกลาง” ม่อไซ่ถีก้มศีรษะเอ่ยตอบเสียงแผ่ว
“ก็ไม่เท่าไหร่นี่ เหิงโหย่วเฉียนจัดการไม่ได้เชียวหรือ?” ม่อฉวนชัวถามต่อ พรรคจอกประกายสิทธิ์คิดจัดการคนอย่างเงียบเชียบแบบนี้ เรื่องราวย่อมไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น
อีกอย่าง ยอดฝีมือของพรรคจอกประกายสิทธิ์ก็ไม่ยอมออกหน้า ราวกับว่าในพรรคคงมีเรื่องสำคัญกว่าให้ต้องไปจัดการ
“อาวุโสพรรคผู้นั้น แข็งแกร่งยิ่ง” ม่อไจ่เจี่ยงรีบเอ่ยชี้แจงอย่างชาญฉลาด นึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้น “ราวกับว่าแม้แต่อาวุโสใหญ่ก็ยังต้องหวั่นเกรง”
“อาวุโสใหญ่กับผีสิ!”
ม่อฉวนชัวปาแก้วลงพื้น ตวาดลั่นจนน้ำลายแตกฟอง “ยามเกิดเรื่องดีกลับไม่เคยนึกถึง มีแต่ตอนเกิดเรื่องให้ตามเช็ดตามล้างเยี่ยงนี้ถึงค่อยดั้นด้นมาขอความช่วยเหลือจากเรา! หากวันนี้เราล่วงเกินพรรคหลิงเซียวเข้า ทันทีที่พวกนั้นส่งพิสุทธิ์ไพศาลมาคิดบัญชี พรรคจอกประกายสิทธิ์มีหรือจะยื่นมือช่วยเหลือพวกเรา?”
ในห้องมีอาวุโสอยู่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหวาดวิตก “ท่านประมุข หากไม่ยอมทำตามคำสั่งของพรรคจอกประกายสิทธิ์ พวกเราเท่ากับล่วงเกินพรรคมัน น่ากลัวว่าจะถูกกดขี่อย่างหนัก”
“เฮอะ พรรคหลิงเซียวนั่นจะต้องมียอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลนั่งแท่นบัญชาการอยู่แน่ หาไม่แล้วด้วยความอหังการของพรรคจอกประกายสิทธิ์ ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะต้องใช้วิธีอ้อมค้อมเช่นนี้ในการตอบโต้”
ม่อฉวนชัวพูดแล้วก็ต้องถอนหายใจ มันไม่อาจล่วงเกินทั้งสองฝ่าย โลกที่เจรจากันด้วยกำปั้นอย่างนี้ ยากจะคลี่คลายได้ด้วยแผนการกลยุทธ์
พรรคจอกประกายสิทธิ์เพื่อที่จะจัดการกับศิษย์พรรคหลิงเซียว ไม่ลังเลที่จะจัดวางค่ายกลดักรอให้เป้าหมายมาติดกับ ตระกูลม่อเองก็ต้องร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน
เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นไปของตระกูล สายเลือดอย่างไรก็ข้นกว่าน้ำ ตัดอย่างไรก็ไม่ขาด ภายในห้องโถงจึงตกลงสู่ความเงียบสงัด ไม่มีใครปริปากออกเสียง
จวบกระทั่งม่อฉวนชัวตัดสินใจได้นั่นเอง “ช่างเถอะ พวกเราทำตามคำสั่งไปก่อน ช่วงหลายวันนี้ปิดประตูลงกลอนให้แน่นหนา อย่าให้มีใครออกจากตระกูลได้ ข้าอยากจะดูให้เห็นกับตาว่าศิษย์ที่พรรคจอกประกายสิทธิ์ยังต้องทุ่มเทกำลังจัดการคนนี้ ที่แท้เป็นบุคคลวิเศษเลิศเลอเพียงไร”
บนใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมของม่อฉวนชัว ฉายแววกลิ้งกลอกอยู่ที่หว่างคิ้วเข้มหนา ริมฝีปากหนาเตอะส่งเสียงจิ๊จ๊ะเบาๆ ฝ่ามือที่มีแต่รอยด้านขัดสีกันไปมา
สามารถชี้นำตระกูลจนเจริญรุ่งเรืองทั้งที่อยู่ในเมืองซวนอู่อันเป็นสถานที่พยัคฆ์ซ่อนมังกรเร้น ม่อฉวนชัวมีชื่อได้ด้านความละเอียดรอบคอบ ไม่ได้เป็นพวกโผงผางไร้หัวคิดอย่างที่คิดจากภายนอก
มันต้องการดูทิศทางลมไปก่อน หากฉินจิ่วเกอมีอะไรพิเศษผิดธรรมดา ตระกูลม่อย่อมไม่อาจใช้มันเป็นเครื่องมือได้
ม่อฉวนชัวแทบอดใจรอดูชายหนุ่มที่สามารถทำให้เหิงโหย่วเฉียนผู้นั้นต้องเข่นเขี้ยวยิงฟันไม่ไหวแล้ว อีกฝ่ายจะต้องเป็นผู้มีความสามารถ หรือไม่ก็เป็นผู้ปราดเปรื่องเรืองปัญญาอย่างแน่นอน
หากคนผู้นี้เป็นคมในฝัก ตระกูลม่อก็ไม่รังเกียจที่จะขายพรรคจอกประกายสิทธิ์ออกไป ขาดการหนุนนำจากพรรคจอกประกายสิทธิ์อย่างมากก็แค่จำกัดด้านการพัฒนาของตระกูล โครงสร้างขุมกำลังในเมืองซวนอู่ยังไม่ถึงคราวให้พรรคจอกประกายสิทธิ์มามีสิทธิ์มีเสียง
ผู้บงการที่แท้จริงของเมืองซวนอู่คืออาวุโสมู่หยวนผู้ที่บรรลุขอบเขตกลั่นดวงธาตุแล้วต่างหาก
นั่นคือสัตว์ประหลาดที่ครอบครองดวงธาตุทองคำแห่งมหาวิถีและถือครองพลังที่จะยืดอายุขัยยาวนานนับพันปีอีกด้วย หากพรรคจอกประกายสิทธิ์กล้ามองไม่เห็นกฎอยู่ในสายตา มู่หยวนแค่กระดิกนิ้วคราเดียว ก็สามารถบดขยี้อีกฝ่ายได้หลายสิบครั้งแล้ว
เมื่อมาถึงเมืองซวนอู่ ฉินจิ่วเกอก็เดินชมร้านรวงอย่างปลอดโปร่ง นึกถึงคราวก่อนที่มีซ่งเล่อเป็นสหายร่วมทาง ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นเจ้าอ้วนน่าตาย ชัดเจนว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเพื่อนร่วมโลกกว่ากันนัก
ฉินจิ่วเกอเดินถามทางจนมาถึงตระกูลม่อที่เป็นเป้าหมายในที่สุด ได้ยินว่าผู้นำตระกูลมีนามว่าม่อฉวนชัว แนวคิดด้านการตั้งชื่อของคนผู้นี้เทียบกับม่อไจ่ถีม่อไจ่เจี่ยงแล้วยังมีรสนิยมกว่ามาก
ฉินจิ่วเกออดฉงนใจไม่ได้ พวกมันต่างก็เป็นคนบ้านเดียวกัน หรือตระกูลม่อจะเป็นพวกขวัญกล้าเทียมฟ้า กล้าปองร้ายลงมือกับตนทั้งที่ยังอยู่ในเมืองซวนอู่
จากนั้นสั่นศีรษะ สมควรเป็นไปไม่ได้ ฉินจิ่วเกอปรากฏกายอย่างสง่าผ่าเผยใกล้กับบ้านตระกูลม่อ คล้ายไม่อาจสัมผัสได้เลยแม้แต่น้อยว่าจากที่ไกลตา มีสายตามุ่งมาดอันอัปลักษณ์คู่หนึ่งกำลังจับจ้องเขม็งนิ่งมายังตนเอง
“ศิษย์พี่ พวกมันไม่ยอมเปิดประตู!” เจ้าอ้วนน่าตายบดบังประตูของตระกูลม่อไปสองในสามกล่าววาจา เมื่อร้องเรียกคน คล้ายไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ภายใน
“พี่ชายชะงักเท้า ข้าขอเรียนถาม” ฉินจิ่วเกอกลัวว่าภายในซุกซ่อนกับดักแผนการร้ายอันใด มันย่อมไม่เข้าไปหาที่ตายส่งเดช ต้องเรียกชายฉกรรจ์หน้าเหลืองซูบที่ผ่านทางมาไว้คนหนึ่ง
“เรื่องอันใด?” อีกฝ่ายเห็นฉินจิ่วเกอสุภาพน่าสนทนา กลับไม่บังเกิดโทสะอันใด
“พี่ชายท่านนี้รูปลักษณะไม่ธรรมดา ย่อมเป็นมังกรในมวลมุนษย์”
“ฮ่าฮ่า เด็กน้อยเจ้ารู้จักพูดจานัก มีเรื่องใดคิดถามไถ่?” อีกฝ่ายอารมณ์ดีทันตา กล่าวอย่างใจกว้าง
“น้องผู้นี้คิดขอถาม เหตุใดบ้านตระกูลม่อปิดประตูไม่เปิด ใช่เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่?” เมื่อกล่าวถึงตระกูลม่อ ในเมืองซวนอู่นี้ถือว่ามีอิทธิพลไม่ใหญ่ไม่เล็ก บุรุษหนุ่มหน้าเหลืองซูบกลับรู้จักอยู่บ้าง
“ไม่แน่ใจ ตั้งแต่เมื่อวานเป็นต้นมา ตระกูลม่อก็สั่งห้ามคนเข้าออก เห็นว่าต้องการป้องกันผู้ใด ภายในสิบวันนี้ พวกมันจะไม่ออกมาพบผู้ใดหรือขุมกำลังไหน”
“อา?”
ฉินจิ่วเกอกล้าประกัน อีกฝ่ายตระเตรียมเบี้ยวหนี้แน่นอนแล้ว ยังปิดตายเขตแดนของตนเอง คิดว่าพรรคหลิงเซียวไม่กล้ารุกล้ำเข้าไป
“เช่นนั้นการค้าของพวกมันในเมือง ยังเปิดทำการหรือไม่?” ในเมื่อเป็นตระกูลภายในเมือง รายได้หลักย่อมต้องมาจากร้านค้าและกิจการภายในเมือง ฉินจิ่วเกอจึงถามออกมา
อีกฝ่ายนิ่งครุ่นคิดไปชั่วครู่ กำมือทุบกล่าวว่า “กลับไม่ได้ปิดทำการ กิจการของพวกมันทุกร้านล้วนเปิดทั้งหมด เช้าวันนี้ยังคึกคักครึกครื้นยิ่ง”
ผู้นำตระกูลม่อกลับไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าคนทวงหนี้คงแค่มาที่บ้านเพื่อหาเรื่อง ว่าไปก็แค่หนี้ไม่กี่ร้อยศิลาวิญญาณเท่านั้น คงไม่โร่แส่หาความวุ่นวายไปถึงร้านค้าของมัน
ดังนั้นม่อฉวนซัวเพียงออกคำสั่งปิดประตูใหญ่ของตระกูล ส่วนร้านค้ากิจการต่างๆ ภายในเมืองซวนอู่ ยังคงเปิดทำการตามปกติ
“ต้องอย่างนี้สิ!” ฉินจิ่วเกอยิ้มร้าย ประดุจดั่งสายลมเย็นอันเหม็นเน่าโชยพัดผ่านมาในหน้าร้อน น่าสยดสยองจนชายหน้าเหลืองซูบยังต้องเร่งฝีเท้าออกห่างอย่างรวดเร็ว
สวรรค์ อีกฝ่ายยิ้มออกมาได้ชั่วร้ายดั่งภูติผี ตระกูลม่อคงประสบเคราะห์กรรมแล้ว!
“ศิษย์น้อง เจ้าหิวแล้วหรือไม่?” ฉินจิ่วเกอถามเจ้าอ้วนด้วยรอยยิ้มจาง ในใจคิดขยายรัศมีบารมีแห่งศิษย์พี่ใหญ่
เจ้าอ้วนน่าตายไม่อาจปฏิเสธเรื่องกิน ไม่เช่นนั้นคนไหนเลยกลายเป็นเจ้าอ้วนได้ แม้ตายก็ต้องเอาบรรดาของอร่อยทั้งหลายลงหลุมไปด้วย
“หิว!”
เจ้าอ้วนน่าตายสูดน้ำลาย จมูกได้กลิ่นอาหารการกินที่ลอยมาในอากาศ มองข้ามสายตาไม่น่าไว้วางใจของศิษย์พี่ใหญ่ไปสิ้น
เพื่อรักษาความสงบ เจ้าอ้วนน่าตายบนร่างไร้เงินทองแม้สลึง ยากจนอย่างถึงที่สุด ดังนั้นมันไม่กลัวศิษย์พี่ใหญ่ให้มันชำระบัญชี
ประเมินเส้นตายของฉินจิ่วเกอต่ำไป ที่จริงความคิดของฉินจิ่วเกอเรียบง่ายอย่างที่สุด คนติดหนี้คือหลาน เจ้าหนี้คือปู่
หากตระกูลม่อไม่มีกฎสรรพสิ่งนั่งแท่นบัญชาการ คาดว่าคงจดจำหลักการนี้เอาไว้ไม่มีวันลืม
ยอมจ่ายเงินกินข้าว นี่ช่างหายากโดยแท้ ที่จริงสมควรชักดาบมากกว่า
“มากับข้า แล้วจะได้กินเนื้อ!”
ประโยคสั้นๆ ก็ซื้อใจเจ้าอ้วนน่าตายได้แล้ว ไม่มีตรงไหนให้ต้องปฏิเสธเป็นอื่น
เมื่อมาถึงเหลาสุราชั้นยอดที่อยู่ใต้ความดูแลของตระกูลม่อ ฉินจิ่วเกอทั้งสองก็ย่างสามขุมเข้าร้าน ศีรษะเชิดสูง ใช้จมูกมองคนแทนนัยน์ตา เสมือนเป็นปู่ของทุกคนในที่นั้น
“สุราดีอาหารเลิศรส เร็วเข้า เร็วเข้า!” เมื่อมาถึงห้องเลิศหรูที่สุดภายในร้าน ฉินจิ่วเกอก็ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี นี่จึงจะเป็นโลกที่คนข้ามภพอย่างมันคู่ควร
ชีวิตไม่นานก็ผ่านพ้น เมื่อราตรีเยี่ยมกราย ผมสีดำขลับก็กลายเป็นสีดอกเลา
ความฝันของฉินจิ่วเกอนั้นแสนเรียบง่าย ร่ำสุราร้อนแรงที่สุด ขี่ม้าที่พยศที่สุด ร้องเพลงให้น่าฟังที่สุด สังหารคนที่หล่อที่สุด
เมื่อสมดั่งใจหวัง ยังต้องปรารถนาสิ่งใดอีก!
ในขณะที่ฉินจิ่วเกอกำลังร่ำร้องรำพันว่าตนช่างอาภัพไร้คู่ครอง ฝ่ายเจ้าอ้วนน่าตายก็เริ่มลงมือสวาปามทุกอย่างตรงหน้า เสมือนปลาวาฬที่สูบกลืนน้ำทะเลอย่างกระหาย
เคร้งเคร้ง
กับข้าวที่วางซ้อนกันสามชั้นแปรเปลี่ยนเป็นจานเปล่าไปในพริบตา ต่อให้เลียจนสะอาดก็ยังไม่สะอาดเท่านี้ ทว่าเจ้าอ้วนน่าตายก็ยังไม่หนำใจ มืออันชั่วร้ายของมันยังคงหยิบจับจานชามไม่ได้หยุดได้หย่อน
ตอนอยู่ในพรรค เจ้าอ้วนน่าตายไม่กล้าปล่อยตัวปล่อยใจเช่นนี้ หากค่าอาหารเดือนนี้เกินกว่าที่อาวุโสสามกำหนดไว้ อาวุโสสามย่อมให้เจ้าอ้วนน่าตายได้รู้ว่าความสิ้นหวังที่แท้เป็นเช่นไร
ตอนมาถึงเมืองซวนอู่ เจ้าอ้วนน่าตายพกพาจิตใจของดรุณีวัยออกเรือนตามติดศิษย์พี่ใหญ่ พออีกฝ่ายพามันมาทานข้าว แน่นอนแปลว่าคนที่เป็นเจ้ามือไม่ใช่มัน เช่นนั้นไยต้องเกรงใจอยู่อีก หากไม่สามารถกินดื่มจนสาแก่ใจ ที่ศิษย์พี่ใหญ่ทุ่มเทด้วยหยาดเหงื่อคงต้องสูญเปล่าแล้ว
ฉินจิ่วเกอไม่เจ็บไม่คัน ปล่อยให้เจ้าอ้วนทำตามที่ใจอยาก เพียงพริบตาอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะก็อันตรธานลงท้องเจ้าอ้วนไป
ทั้งพ่อครัวทั้งแขกต่างก็ตะลึงตาลานกับภาพที่เห็น
มารดามันเถอะ ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนที่บรรลุชั้นหลอมวิญญาณล้วนสามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องพึ่งอาหารหรอกรึ
เพราะอาหารที่รับประทานเข้าไปปนเปื้อนด้วยสารพิษและสิ่งสกปรก นอกจากพวกตะกละตะกลามบางคน น้อยนักที่จะมีคนอดอยากเหมือนผีหิวโซเช่นนี้
จะเอาแขกเหรื่อที่มากันเต็มพื้นที่พวกนี้เป็นบรรทัดฐานไม่ได้ เพราะพวกมันต่างก็มาเพื่ออวดกร่างบารมีกันทั้งนั้น
วัตถุประสงค์หลักก็คือเพื่อพบปะเจรจา
สถานการณ์ก็เป็นเช่นนี้แล