เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 65 ไปแล้วไม่หวนกลับ
ทีละก้าว ทีละก้าว ทุกย่างก้าวของฉินจิ่วเกอเหยียบย่างลงบนพื้น ขึ้นสู่ชั้นสองของเหลาไกรสร
ภายในห้องรับรองของชั้นสอง ผู้คนที่ซุ่มซ่อนอยู่ต่างสงบปากกลั้นลมหายใจ กริ่งเกรงสร้างความตื่นตัวแก่เหยื่อ
ม่อฉวนซัวติดตามหลังฉินจิ่วเกอ สีหน้าไม่ปรกติ แต่ละเท้าที่ก้าวตามมาอัดแน่นด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
น่าแปลก ตนเองคือผู้เข้มแข็งชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง เพราะเหตุใดกลับบังเกิดความนับถือเลือมใส่ต่อเด็กน้อยปราณสุริยันผู้หนึ่งได้
ค่ำคืนอันมืดมิดไร้แสง ความเปลี่ยนแปลงอันหลากหลายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เดินขึ้นมาถึงชั้นสอง จู่ๆ ฉินจิ่วเกอก็หยุดเท้า ทอดตามองออกไปนอกหน้าต่างเหลา “จันทร์กระจ่างแขวนกลางฟ้า เดียวดายพักพาข้างตึกสูง กรอกสุราดับทุกข์เมามาย น้ำตาหลั่งไหลหวนคนึงถึงบ้านเกิด”
ฉินจิ่วเกอสำแดงบุคลิกลักษณะอันผ่าเผย มือโบกพัดจีบ ยืนหยัดใต้เพดานชะล้างโดยสายลมเย็น ดวงตาสุกสกาวด้วยประกายปัญญามองทะลุซึ้งถึงเรื่องราวภาวะพิสดารนับร้อยพัน
“กล่าวได้ดี”
ม่อฉวนซัวถูกบทกลอนของฉินจิ่วเกอสร้างความประทับใจ เด็กน้อยนี้กอปรไปด้วยภูมิรอบรู้กว้างขวาง ช่วยเปิดหูเปิดตา บางครั้งกลับบ้าๆบอๆ ช่างเป็นคนพิสดารจริงๆ
“ผู้นำตระกูลม่อ คิดว่าทิวทัศน์ที่นี่เป็นอย่างไร?” ฉินจิ่วเกอสำแดงบุคลิกภาพโดดเด่น ร่ายโคลงกลอนสนทนาพลางแย้มยิ้ม ไม่เห็นสรรพสิ่งอยู่ในสายตา
ม่อฉวนซัวเอ่ยตอบ “ทิวทัศน์งดงาม รสชาติเป็นเอกลักษณ์”
ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะ เอ่ยต่อว่า “ประเสริฐ เช่นนั้นข้าไม่ขึ้นชั้นสาม ให้ย้ายโต๊ะมาที่นี่ ให้ข้าได้รับประทานที่ข้างหน้าต่างชั้นสองเถอะ”
“เอ๋?” ม่อฉวนซัวเบิกตาอย่างโง่งม เจ้าเด็กนี่กลับไม่เดินตามท่วงทำนองปกติ ธรรมดาแล้วเจ้าต้องแต่งกลอนออกมาอีกประโยคสองประโยค จากนั้นคนล้วนปรบมือแซ่ซ้องจึงจะถูก
หลังจากที่แขกเหรื่อเจ้าภาพมีความสุขกันถ้วนหน้า ฉินจิ่วเกอก็จะขึ้นชั้นสาม ค่ายกลก็จะทำงาน กองกำลังดักซุ่มที่ชั้นสองก็จะจู่โจม เรื่องควรจะเป็นดังนี้จึงจะถูก
แต่ที่ทำให้ผู้นำตระกูลม่อต้องโง่งมจนเบื้อใบ้ก็คือ ฉินจิ่วเกอกลับบอกว่าตนจะย้ายโต๊ะไปทานที่ชั้นสอง แผนการที่วางไว้จึงพังไม่เป็นท่า
ซู่ๆ
สายฝนด้านนอกไม่อาจปกปิดเงามีดคมกระบี่ที่ซ่อนอยู่ภายในอาคารได้มิด ในห้องปิดตายที่ชั้นสอง เหล่ายอดฝีมือที่สะกดกลั้นลมหายใจไม่อาจทานทนต่อไปไหว อากาศพลันแข็งค้างเต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันอัดแน่น บางครั้งกระทั่งเกิดเสียงเหล็กขูดสีกันดังขึ้นเป็นระยะ
การซุ่มโจมตีภายในห้องกำลังจะเริ่มต้น สายฝนนอกอาคารยังคงพร่างพรมลงมาอย่างชาเฉย ฉินจิ่วเกอพับเก็บพัดในมือ มุ่งหน้าสู่บันไดที่พาขึ้นสู่ชั้นสาม
ชั้นสองพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด ดวงตาบ้างเล็กบ้างใหญ่จับจ้องมองดูเงาร่างอันโดดเดี่ยวของฉินจิ่วเกอที่กำลังก้าวเดินขึ้นบันได
ภายในเหลาความเงียบพลันโรยตัว มีแต่เสียงลมฝนพัดกระทบกับกระเบื้องหลังคากับเสียงกระดิ่งลมที่สอดแทรกมากับสายฝนที่ขาดเม็ดเป็นช่วงๆ
“ฉินจิ่วเกอ เจ้า”
ม่อฉวนซัวตะลึงลาน อย่าบอกนะว่าอีกฝ่ายรู้ตัวแล้ว?
แต่ในเมื่อรู้ตัว เหตุใดถึงไม่หนีไป ตรงข้ามกลับเดินขึ้นไปด้านบนแทน?
ปราณสุริยันเผชิญกับแผนสังหารที่วางไว้มาเป็นอย่างดีของพิสุทธิ์ไพศาล ต่อให้เป็นยอดอัจฉริยะเหนือโลกขนาดไหน ก็ไม่มีวันทานรับไหว
“ผู้นำม่อ ยังไม่ขึ้นมาอีก ให้เกียรติดื่มกับข้าสักจอกได้หรือไม่” เสียงอันสดใสกังวานดังแทรกทะลุความเงียบ เรียกสติทุกคนในที่นั้นให้กลับคืน ฉินจิ่วเกอในตอนนี้ขึ้นสู่ชั้นสามเป็นที่เรียบร้อย ทั้งกำลังนั่งจังก้าอยู่ตรงนั้น
ม่อฉวนซัวสีหน้าสลับซับซ้อน ทุกการกระทำของอีกฝ่ายล้วนอยู่นอกเหนือความคาดหมายของมันสิ้น มันตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เป็นศัตรูกับฉินจิ่วเกอโดยเด็ดขาด
“สุราชั้นเลิศอาหารรสเยี่ยม!” บนโต๊ะกลมเรียงรายไปด้วยอาหารอันหลากหลาย ยังมีสุราหมักที่ทอประกายสีเหลืองอำพัน ภายใต้แสงเทียนยิ่งส่องประกายระยิบระยับน่าลิ้มลอง
ทุกคนกินดื่มกันอย่างสุขสราญ จานทองถ้วยเงินฝังศิลาวิญญาณเอาไว้ไม่มีตกหล่น หรูฟราฟุ่มเฟือยถึงปานไหน
“ช้าก่อน!” ม่อฉวนซัวใช้ตะเกียบยาวในมือสะกัดปลายตะเกียบของฉินจิ่วเกอไว้ อาหารชั้นเลิศที่หน้าตาเหมือนอาหารทิพย์เหล่านี้ แท้ที่จริงกลับอาบยาพิษสะบั้นชีพไว้หมดแล้ว ถึงจะเป็นยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลก็ยังไม่รอด
“อะไรรึ?” ฉินจิ่วเกอนิ่งสงบดั่งน้ำนิ่ง มีเสียงเคลื่อนไหวจากด้านล่างสอดแทรกขึ้นมา หากเพียงพริบตาก็กลับสู่ความสงบสุข เหลือไว้เพียงเสียงลมดังหวีดหวิว
“ไม่เป็นไร ยังไงมันก็หนีไม่รอด”
เหิงโหย่วเฉียนมั่นใจเต็มเปี่ยม เลยอนุญาตให้ฉินจิ่วเกอได้อยู่ต่ออีกสักหน่อย พอมันลงมาเมื่อไหร่ค่ายกลก็จะทำงานทันที
ตราบใดที่ค่ายกลทำงาน เหลาไกรสรก็จะห่อหุ้มด้วยพลังแห่งค่ายกลทั้งหมด ถึงตอนนั้นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นข้างในข้างนอกก็หมดสิทธิ์จะล่วงรู้
แต่อันที่จริงเหิงโหย่วเฉียนจนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกไม่สงบใจ ราวกับว่ามีขุมพลังไร้สภาพบางอย่างสะกดทับตัวมันอยู่ คล้ายกำลังเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางเฉียบจนไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม
อาจเป็นเพราะสีหน้าแววตาอันเฉยเมยของฉินจิ่วเกอ หรือไม่ก็เพราะความกล้าบ้าบิ่นของอีกฝ่ายที่กล้าบุกมาเพียงลำพัง สามารถพูดคุยหัวเราะทั้งที่กำลังถูกศัตรูห้อมล้อมจากรอบด้าน บุคคลเช่นนี้แม้แต่ในหมู่พวกมันยังยากจะหาเจอสักคนหนึ่ง
ประกายอาฆาตมาดร้ายสาดวูบขึ้นในดวงตาของเหิงโหย่วเฉียน ไม่ว่าเจ้าจะมีไพ่ตายอะไรก็ช่าง วันนี้ต่อให้ข้าต้องบุกน้ำลุยไฟก็จะเอาเลือดหัวเจ้าออกมาให้ได้!
“ฉินเสี่ยวเกอ ยังไม่ทันได้ร่ำสุราเจ้าก็จะลงมือรับทานแล้วรึ” ม่อฉวนซัวเลิกชายเสื้อพร้อมรับเอากระปุกสุราชั้นยอดมาจากอาวุโสตระกูลม่อผู้หนึ่ง สุราในกระปุกส่องแสงสีเหลืองน่าลิ้มลอง เนื้อเนียนนุ่มดั่งน้ำแกงอันเข้มข้น เพียงแค่ได้กลิ่น อวัยวะภายในก็คล้ายจะเมามายได้ทันที
“นี่คือของดีที่ตระกูลม่อเราได้มาจากถิ่นนอก” สุราร้อยปีของแท้ ม่อฉวนซัวขณะเอาออกมายังอดหลั่งน้ำตาเงียบๆ ไม่ได้
สุราจอกนี้ปราศจากพิษ ราวกับอีกฝ่ายต้องการจะแสดงความนับถือต่อความกล้าหาญของฉินจิ่วเกอในคืนนี้
อีกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ล้วนไม่อาจขาดซึ่งสุราที่ดี ไม่ว่าทางไหนล้วนประเสริฐ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งั้นข้าก็ขอลองสักหน่อย” ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี ยามที่ขอบแก้วสัมผัสถูกริมฝีปาก ปลายลิ้นของฉินจิ่วเกอก็เริ่มรู้สึกชาจนเริ่มใจฝ่อ
กลิ่นฉุนร้อนแรง แถมดีกรียังไม่ต่ำ ต่อให้ปราศจากพิษ หากดื่มในปริมาณที่มากเกินพอดีก็อาจย่ำแย่ได้เหมือนกัน
มองไปทางม่อฉวนซัวอีกที ฝ่ายนั้นก็กระดกแก้วอย่างองอาจไปแล้ว จากนั้นปิดตาคล้ายกำลังเคลิบเคลิ้มดื่มด่ำในรสชาติ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่ออย่างชัดเจน
“เป็นไงเป็นกัน น้ำใจลึกซึ้งยกจอกร่ำสุรา ตาข้าบ้าง!”
พอเห็นว่าทั้งม่อฉวนซัวและอาวุโสตระกูลม่อต่างก็จับจ้องมาทางตน ฉินจิ่วเกอจึงเรียกขวัญกำลังใจ ยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก หากก็ถูกฟันของมันเองสะกัดกั้นเอาไว้
ส่วนใหญ่หกราดรดลงชายเสื้ออาภรณ์ของฉินจิ่วเกอไปสิ้น ที่เหลือเข้าปากมีเพียงน้อยนิดยิ่งกว่าเยี่ยวแมว
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ปลายลิ้นของมันยังร้อนวูบวาบดั่งเอาพริกมาทาถู ไม่พอยังแพร่กระจายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น อาจได้ตายคาโต๊ะไปแล้ว
ฉินจิ่วเกอใช้จิตใจคนต่ำช้า คาดคำนวนเข้าไปในท้องของคนต่ำช้ายิ่งกว่า
ผู้นำม่อใช่ต้องการฉวยโอกาสมอมสุราตนจนหัวราน้ำหรือไม่
“นี่… ช่างห้าวหาญจริงๆ” มองดูอาภรณ์ที่เปียกปอนไปด้วยเหล้าชั้นดีของมัน ใบหน้าของม่อเฉินซัวเป็นต้องกระตุกถี่ยากระงับ ในเมื่อเจ้าดื่มสุราไม่เป็น ยังจะเสแสร้งเป็นเทพสุราไปเพื่ออะไร เสียของโดยแท้
“สามร้อยจอกไม่หมดไม่เลิกรา มาๆ ดื่มกันต่อ” ร่างอาบไปด้วยฤทธิ์สุรา เนื้อตัวเริ่มผุดเหงื่อไหลซึม ฉินจิ่วเกอที่เริ่มเมาคว้าตัวผู้นำม่อให้มาร่ำสุรากันต่อ
“แก้วเล็กแค่นี้มันจะไปพอได้ยังไง ต้องแก้วใหญ่ถึงจะถึงใจ!”
ฉินจิ่วเกอเขวี้ยงแก้วเหล้าใบเดิมทิ้งไป เปลี่ยนมาใช้ชามข้าวบนโต๊ะแทน เร่งเร้าให้อีกฝ่ายรินเหล้าให้
กระปุกสุราที่ใส่เหล้าจนเต็ม รินใส่ชามรูปดอกทิวลิปได้แค่สองชามก็หมดกระปุก ชามหยกทั้งสองส่องประกายสีเหลืองอำพันอย่างงดงาม
“มา พวกเราหมดจอก!” ได้ยินเสียงฉินจิ่วเกอกระดกชามเหล้าอย่างห้าวหาญอีกครา ช่างเป็นนักดื่มจริงๆ
สีหน้าผู้นำตระกูลม่อสับสนยุ่งเหยิง อาจเป็นเพราะท่าทางการดื่มสุราเมื่อครู่ของฉินจิ่วเกอไม่ถูกต้อง มันคือเซียนสุราที่แท้จริงก็อาจเป็นได้
ผู้นำตระกูลม่อพกพาความคิดคล้อยตามคนก่อนตาย ผงกศีรษะรับคำก่อนกระดกสุราลงไปรวดเดียว ใบหน้าร้อนผ่าวจนเจ็บปวดนัก ประดุจถูกมีดกรีด
เมื่อหันไปมองดูฉินจิ่วเกอ ผู้นำตระกูลม่อแทบโมโหจนคลั่ง มุมปากสองข้างกลับปรากฏน้ำตกสุราไหลรดลงมาอย่างต่อเนื่อง ราดรดจนปกเสื้อเปียกชุ่มโชก ดื่มกะผีมันน่ะสิ!
“พันจอกไม่เมามาย!” ฉินจิ่วเกอยังไม่รู้ตัว คนเขวี้ยงจอกลงกับพื้น ท่วงท่าปลอดโปร่งไม่นำพา
กำปั้นใต้ชายแขนเสื้อของผู้นำตระกูลม่อกำแล้วกำอีก ช่างสมควรกำจัดไอ้ตัวบัดซบนี่ทิ้งจริงๆ
เมื่อครู่ ตัวมันถูกท่าทีองอาจห้าวหาญของฉินจิ่วเกอหลอกให้นับถือเลื่อมใส ตอนนี้ดูไป คนผู้นี้สันดานเพียงเป็นคนต่ำช้าหน้าหนาเท่านั้น เป็นคนชั่วที่แท้จริง!
“อะแฮ่ม” ที่ชั้นสอง พลันมีเสียงกระแอมไอลอยมาโดยไม่เจตนา ทั้งสองที่นั่งร่ำสุราล้วนเข้าใจความนัย
“ข้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน” ผู้นำตระกูลม่อยกข้ออ้างที่แสนจะไม่เนียนมาเพื่อปลีกตัวจากไป พฤติการณ์ของฉินจิ่วเกอทำร้ายจิตใจมันอย่างสาหัส แต่ละอย่างแม้แต่เทพเทวดายังทำไม่สำเร็จ
ฉินจิ่วเกอกลอกตา ขนาดข้ออ้างยังสิ้นคิด ไร้ความสร้างสรรค์สุดๆ
“มุมตะวันตกเฉียงใต้ของค่ายกลการป้องกันอ่อนโทรม คอยดูไว้”
สุ้มเสียงแผ่วเบาราวแมงลงหวี่ ผู้นำตระกูลม่อนำอาวุโสติดตามลงมายังเหลาไกรสร มองเห็นแสงสีทองกะพริบวาบกลางอากาศ เหลาไกรสรกลับสามารถมองเห็นถนนด้านนอกอันยาวเหยียดเย็นเยียบ การติดต่อทุกอย่างขาดสะบั้น
เมื่อออกมาจากกับดัก อาวุโสตระกูลม่อเอ่ยถามขึ้น “ท่านผู้นำ ท่านว่าบุรุษคนนี้จะรอดออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่?”
ม่อฉวนซัวตกลงสู่ห้วงความคิดอันลึกล้ำ อีกฝ่ายไม่อาจนับเป็นผู้คน “ย่อมได้แน่นอน”
“เพราะเหตุใด?” หนีล้วนไม่อาจหนี ทั้งยังมีสองพิสุทธิ์ไพศาลและสิบปราณสุริยันคอยช่วยเหลือ ยอดฝีมืออัดแน่นจนน้ำยังไม่อาจเล็ดรอด มันถามตนเอง หากเป็นมันเองก็ไม่รอด
“นั่นก็เพราะ..”ม่อฉวนซัวสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง มองดูเงาคนภายใต้แสงเทียนที่สั่นไหววับแวม “มันหนังหน้าหนาอย่างถึงที่สุด แม้แต่ข้าที่อยู่ขั้นพิสุทธิ์ไพศาล ยังสำนึกตัวว่าไม่คู่ควร!”
“ท่านผู้นำตระกูลปรีชายิ่ง”
หากมิใช่เห็นแก่ที่มันเป็นคนใกล้ตาย เมื่อครู่อาวุโสคงไม่หน้าใหญ่ใจโต เสนอสุราชั้นเลิศออกมาให้มันล้างผลาญแน่นอน
ฉินจิ่วเกอที่นั่งใกล้หน้าต่างมองเห็นประกายแสงสีทองกะพริบวูบวาบ การติดต่อของเหลาไกรสรและเบื้องนอกถูกตัดขาดสิ้นเชิง อย่างน้อยจนกว่าจะฟ้าสาง บุคคลภายนอกล้วนเข้าใจว่าฟ้าดินสงบสุขไร้เรื่องราว
เท้าข้างหนึ่งสะกิดพื้น เท้าอีกข้างยกขึ้นพาดไขว้บนขา หัวร่อพลางรอคอยตัวเอกของวันนี้
เหิงโหย่วเฉียนสะบัดโบกสองแขน เสื้อผ้าอาภรณ์ดังพึ่บพั่บ ปลายเท้าแยกออกเดินส่ายอาดๆ บนศีรษะยังมีรัศมีสีดำของตัวร้ายขณะเดินขึ้นมาจากชั้นสอง
มองดูฉินจิ่วเกอ เหิงโหย่วเฉียนที่แผนการร้ายสำเร็จหัวร่ออย่างชั่วร้าย “เด็กน้อย เจ้าต้องตายแน่วันนี้ ในวงล้อมอันหนาแน่น ต่อให้บินไปก็ยังไม่รอด!”
ฉินจิ่วเกอยังลุกขึ้นยืน โบกไม้โบกมือ “ที่แท้เป็นเหิงโหย่วเฉียนนี่เอง ทำไม เอาศิลาวิญญาณมามอบให้พรรคหลิงเซียวเราอีกแล้ว?”
“ปากคอเราะร้าย ข้าจะเลาะฟันเจ้าออกมาทีละซี่ๆ”
เหิงโหย่วเฉียนไม่คิดว่าจะมีใครสามารถช่วยเหลือฉินจิ่วเกอได้ ในใจมันยามนี้จึงเบิกบานหฤหรรษ์
มันนั่งตรงข้ามกับฉินจิ่วเกอ ตาต่อตา เปลวไฟแผดเผา
“เด็กน้อย วันนี้ของปีหน้า จะเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้า!”
เหิงโหย่วเฉียนหย่อนก้นลงนั่งพอดีกับตำแหน่งตรงข้ามฉินจิ่วเกอ มันออกแรงผลักใส่โต๊ะเบื้องหน้าอย่างแรง
โต๊ะกลมตัวนี้ใช้ไม้เนื้อแข็งอายุร้อยปีแกะขึ้นมาทั้งตัว น้ำหนักห้าร้อยจิน เหิงโหย่วเฉียนอาศัยพลังยุทธ์พิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้น ผลักกระแทกโต๊ะด้วยกำลัง โต๊ะกลมก็เคลื่อนจู่โจมเข้าใส่ทรวงอกของฉินจิ่วเกอ
ฉินจิ่วเกอโคจรพลังไปที่สองแขน สองเท้ายึดพื้นมั่น ทรงกายนั่งบนเก้าอี้อย่างมั่นคง
“ตาแก่ อยู่มาหลายสิบปีไม่มีคุณประโยชน์ใด ลงนรกไปนั่งในกระทะทองแดงซะเถอะ!” ฉินจิ่วเกอออกแรงต้านโต๊ะกลมไว้ คนทั้งสองใช้โต๊ะเป็นที่ประลองกำลัง ต่างฝ่ายต่างออกแรง
ถ้วยโถโอชามบนโต๊ะเต้นกระเด็นกระดอน กึงกังกึกกัก โต๊ะไม้เนื้อแข็งเองก็บังเกิดเสียงลั่นแคร็ก
ฉินจิ่วเกอได้เปรียบทางกายภาพจากการขัดเกลาด้วยดอกพลับพลึงแดง คนอดกลั้นความเจ็บปวดทิ่มแทงกระดูกเส้นเอ็นที่ฝ่ามือ สะกัดพลังของเหิงโหย่วเฉียนเอาไว้ได้
“มีความสามารถ น่าเสียดาย!”
เหิงโหย่วเฉียนส่งพลังเข้าไปอีกครั้ง สองขาปักหลักราวเสาใหญ่ ตรึงแน่นกับพื้น
แคร่กก!
ไม้เนื้อแข็งส่งเสียงลั่น ฉินจิ่วเกอสูญสิ้นกำลัง ยันกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ ล่าถอยติดต่อกันสามก้าว เหิงโหย่วเฉียนตามติดไม่หยุดยั้ง ฝ่ามือยันโต๊ะ บีบคั้นฉินจิ่วเกอเข้าสู่มุมกำแพง ฉินจิ่วเกอหลังชนฝา ต้องรีดเค้นพลังเฮือกสุดท้ายออกมา
“สู้!”
เรี่ยวแรงฮึดสู้เพิ่งออกจากปาก ทั้งสองฝ่ายผลักดันกันและกันผ่านโต๊ะกลมอย่างไม่ประนีประนอม ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่กล้าเข้าขัดขวาง
เปรี๊ยะ!
โต๊ะกลมภายใต้พลังโจมตีของทั้งสองฝ่ายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เหิงโหย่วเฉียนตวัดเท้าเตะชิ้นส่วนโต๊ะกลมกระเด็นออกไปอย่างดุร้าย ฝ่ามือกราดกวาดออก กระแสลมฝ่ามือกรรโชกใบหน้า ฉินจิ่วเกอสองแขนชาด้าน ไม่มีทางเลือกต้องยกศอกขึ้นมาป้องกันแทน