เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 68 เจ็บร้าวทุกก้าวย่าง
หลิวเชียนจอมโจรชื่อกระฉ่อนเผ่ามนุษย์ ชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด สามารถหลบหนีเอาตัวรอดจากกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่ง
กลั่นดวงธาตุและพิสุทธิ์ไพศาล ต่างกันราวฟ้ากับเหว ต่อให้แค่หนีรอดมาได้ ยังถือเป็นเรื่องที่แทบไม่อาจเป็นไปได้เลย
คิดทะลวงขอบเขตกลั่นดวงธาตุ ประการแรกต้องผนึกดวงธาตุทองคำ ประการที่สองท้าทายการลงทัณฑ์แห่งสวรรค์
ที่เรียกขัดเกลาผ่านทัณฑ์สวรรค์ คือการรับการชำระล้างจากฟ้า ผนึกดวงธาตุทองคำ ชะล้างกายากระดูก
กลั่นดวงธาตุเก้าขั้น สอดคล้องกับทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้า ตายเก้าครั้งหนึ่งชีวิต สร้างมรรคาวิถีแห่งดวงธาตุ
หลิวเชียนหนีรอดจากเงื้อมมือกลั่นดวงธาตุมาได้ เกรงว่าพลังฝีมือยังสูงส่งกว่าประมุขพรรคจอกประกายสิทธิ์ จัดอยู่ในพวกไร้ผู้ต้านท่ามกลางพิสุทธิ์ไพศาล เรียกเจ้าอ้วนน่าตายให้รีบกลับเมืองซวนอู่ ลั่วเฉินสังหรณ์ใจว่าเรื่องนี้เพ่งเล็งไปที่ฉินจิ่วเกอ
“ใครใช้เจ้ามา?”
ลั่วเฉินในใจคิดถึงลุงสอง เป็นไปได้ว่าเป็นมันจริงๆ ในใจต้องรู้สึกผิดต่อฉินจิ่วเกอ
หลิวเชียนไม่ตอบคำ ผ่านไปสิบกระบวนท่า มันลงมือรวดเร็วรุนแรงราวสายฟ้า ขุนเขาทลายป่าไม้ถอนราก พลังวิญญาณเสียดแทงแผ่นฟ้าและผืนดิน
“สู้ไม่ได้ สู้พลางถอยพลาง!” ลั่วเฉินฝีเท้ารวนเร ไม่กล้าต้านทานแข็งขืน ตัวมันยังไม่ข้ามสู่พิสุทธิ์ไพศาล ไม่อาจเทียบได้กับอีกฝ่ายอย่างแท้จริง
ส่วนหลิวเชียน ในสายตาผู้คนเพียงห่างจากขั้นดวงธาตุทองคำอยู่เส้นสายใจเดียว มิใช่ปีศาจสุราไร้ความสามารถ
หลิวเชียนไม่แยแสลั่วเฉินจะหลบหลีกอย่างไร คนดีดนิ้วคราหนึ่ง ป่าไม้พุ่มหนึ่งถูกกวาดราบเป็นแถบ สัตว์อสูรทั้งหลายตายเรียบ กลายเป็นเศษฝุ่นไปสิ้น
“มหานทีสะบั้นสุริยัน!” แสงสีทองแปรเปลี่ยนเป็นเส้นโค้งราวจันทร์เสี้ยว พุ่งปาดในแนวขวางเข้าใส่หลิวเชียน
ศีรษะหลิวเชียนเรืองประกายวิญญาณ ใต้ฝ่าเท้าคล้ายมีรังสีฆ่าฟันควบแน่นจนแทบปรากฏเป็นรูปร่าง สัตว์อสูรภายในรัศมีร้อยลี้หนีกระเจิดกระเจิง ปัดการโจมตีของลั่วเฉินออกได้อย่างง่ายดาย
” พิฆาตสวรรค์!”
ท่าแรกไม่สำเร็จ ลั่วเฉินออกกระบวนที่สองตามติด
หลิวเชียนหัวเราะเย็น ดีดนิ้วเบาๆ คราหนึ่ง ต้นไม้สิบต้นหักโค่นในนิ้วเดียว พุ่มไม้หนาทึบถูกกวาดราบ กระบี่ยาวในมือลั่วเฉินหักกลาง
นี่จึงเป็นข้อได้เปรียบของพิสุทธิ์ไพศาล ทำร้ายผู้คนโดยไม่ต้องใช้อาวุธ พลังวิญญาณควบรวมเป็นรูปร่าง เนรมิตการโจมตีกลางอากาศอย่างพอเหมาะพอเจาะ
ทักษะยุทธ์ที่ใช้ไม่เพียงพอในการอุดช่องว่างระหว่างขอบเขต ลั่วเฉินยังมีท่าไม้ตาย นั่นก็คือการอัญเชิญที่ลึกล้ำที่สุดออกมาจากสายเลือดของมันเอง
เนื่องเพราะสายเลือดนี้เองที่ทำให้ตระกูลมันถูกล้างบาง และเป็นเพราะสายเลือดของมัน ตัวมันในชาตินี้มีคุณสมบัติปีนป่ายขึ้นสู่ขอบเขตอันสูงส่งน่าเกรงขาม
ในความทรงจำส่วนลึกที่ซุกซ่อนในสายเลือด นอกจากลั่วเฉินยินยอมเปิดเผยออกมาเอง แม้แต่ชนชั้นกฎสรรพสิ่งก็ยังไม่อาจหักหาญอย่างง่ายดาย
เมื่อถูกหลิวเชียนบีบคั้นเข้าตาจน ลั่วเฉินตัดใจใช้วิชาจากสายเลือดของตน สิบแปดปีแล้ว ตลอดสิบแปดปีที่มันไม่กล้าเผชิญหน้ากับพลังในสายเลือดของตนเอง
ฟ้าดินและธรรมชาติ กลายเป็นห้วงโกลาหล แปรเป็นหงเหมิง แปลงเป็นไท่กู่ เจริญเป็นไท่หวง
ยุคแห่งไท่ซ่าง มนุษย์เพียงเพิ่งถือกำเนิดหลังจากฟ้าดินก่อรูปร่าง พลังในสายเลือดมิได้เข้มแข็งเช่นเหล่าสัตว์อสูรทั้งหลาย
แต่มิได้หมายความว่า ร่างของมนุษย์ไม่มีประโยชน์อย่างอื่น ขณะที่สังขารของมนุษย์เข้าใกล้วิถีศักดิ์สิทธิ์แห่งเซียนเทียน ที่มาของพลังสายเลือดภายในร่างที่ฝังลึกไว้จะถูกกระตุ้น
ที่มา คือต้องอาศัยธรรมชาติและโอกาสฟ้าประทานจึงสำเร็จ ในบรรดามนุษย์นับล้านๆ ไม่มีผู้ใดสามารถกระตุ้นพลังศักดิ์สิทธิ์ในสายเลือดของตนเองได้
มีเพียงเผ่าบรรพชนในตำนานของทวีปฉงหลิง เผ่าวิญญาณ ที่สามารถเกาะกุมต้นกำเนิดคุณสมบัติพรสวรรค์ที่สืบทอดมาในสายเลือดเอาไว้ได้
หลิวเชียนลอยตัวกลางอากาศ พลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุดบนผืนทวีปไหลหลั่งเข้าหากาย คนอวดโอ่โอหังราวราชัน ทอดตามองสายตาสั่นสะท้านของสิ่งมีชีวิตเบื้องล่าง สัตว์อสูรล้วนตะเกียกตะกายหลบหนี ต้นไม้ใบหญ้ากวาดล้างราบเรียบ หลิวเชียนเพิ่งพบว่า ท่ามกลางฝุ่นผงคลี เด็กน้อยนั้นคล้ายเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
“พลังอะไรกัน?”
มันพบเห็นของดีมามากมาย กลับไม่อาจมองทะลุว่าลั่วเฉินที่แท้ตระเตรียมกระทำการใด มันสังหรณ์ถึงอันตรายบางประการ คล้ายคมเคียวมัจจุราชเคลื่อนเข้ามาใกล้
และอันตรายนั้น พร้อมกับที่สายตาของมันเลื่อนลงเบื้องล่าง ก็หยุดอยู่บนร่างของลั่วเฉิน
“เป็นมัน? กระทั่งขั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้นยังไม่อาจไปถึง สามารถทำร้ายข้าได้จริงๆ?” หลิวเชียนแตกตื่นประหลาดใจ หากบอกกล่าวต่อผู้ใด เกรงว่าคงสร้างเสียงหัวเราะจนปวดท้องแก่พวกมัน
ราชันมารพิฆาตมนุษย์หลิวเชียน ถูกเด็กน้อยระดับต่ำข่มขู่ ช่างเป็นเรื่องน่าขันเทียมฟ้า
ส่วนลั่วเฉินยามนี้ สัมผัสภายในกายของตนเอง คนปิดตาลง พลังวิญญาณสายแล้วสายเล่าถูกดึงดูดเข้าสู่ใต้ฝ่าเท้า ค่อยๆ หนุนเสริมมันสูงขึ้นเรื่อยๆ
“พลังสายเลือด อัญเชิญเทวะศักดิ์สิทธิ์ ข้าขอสั่งให้เจ้าตื่นขึ้น ใช้พลังของเจ้ากำจัดผู้ล่วงละเมิดไปซะ!”
นัยน์ตาสีดำขลับของลั่วเฉินเปลี่ยนเป็นสีของผืนแผ่นดินโบราณกาลอันไม่มีวันดับสูญ พลังวิญญาณภายในกายพุ่งทะลักทลายอย่างรวดเร็ว ขอบเขตแม้ยังอยู่เพียงชั้นปราณสุริยัน ทว่าพลังกลับมหาศาลจนหลิวเชียนยังต้องหน้ากระตุกสั่น
“เป็นไปได้อย่างไร?”
หลิวเชียนตะลึงลาน มันเปลือยร่างท่อนบน เผยให้เห็นรอยแผลเป็นเหยียดยาวที่แทบโอบล้อมรอบกาย คล้ายตะขาบตัวยักษ์เลื้อยพันทั่วร่าง
“ข้าชื่นชอบการกำจัดอัจฉริยะนักเชียว” คมเขี้ยวดูดโลหิต บาดแผลบนร่างของมัน เป็นเหยื่อที่ทรงพรสวรรค์ผู้หนึ่งมอบให้แก่มันเอง
“อะไรกัน?”
หลิวเชียนหน้าถอดสี คนร่อนลงมายังเบื้องล่าง เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้าอีกครา พลันปรากฏสัตว์อสูรบรรพกาลตัวหนึ่งขึ้น ซ้ำร้ายตำแหน่งที่มันลอยอยู่บนอากาศเมื่อครู่กลับแทนที่ด้วยฝ่าเท้าของสัตว์อสูรตัวนั้น
สัญชาตญาณการหลบภัยที่บ่มเพาะมานานปี หลิวเชียนตะลึงค้าง มองดูสัตว์อสูรบรรพกาลนั้น แตกตื่นจนไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
“เจ้าไม่มีสายเลือดสัตว์อสูรนี่นา เกิดอะไรขึ้น?” คนเรียกสติกลับคืน รักษาสภาวะของยอดคนขั้นสูงสุด เอ่ยถามเสียงหนัก
เนิ่นนานแล้วที่มันไม่ได้สัมผัสความรู้สึกกดดันน่าเกรงขามปานนี้ ความดิบเถื่อนกระหายเลือดในร่างของมันกำลังร่ำร้องไม่หยุดยั้ง หลิวเชียนแทบอดกลั้นเปิดศึกไว้ไม่ไหว
“มหาอสูรล้างนภา!”
ลั่วเฉินถ่ายทอดพลังฝีมือและสายเลือดเข้าสู่ร่างของสัตว์อสูร ดวงตาของสัตว์อสูรโคจรตะวันและจันทรา กลับมีสีสันและสำนึกขึ้นมา
จากของตายกลายเป็นของเป็น มหาอสูรล้างนภาของแท้ กำเนิดขึ้นอีกครั้งภายใต้พลังอำนาจแห่งสายเลือดของลั่วเฉิน!
หลิวเชียนพบพานบรรดาบุตรแห่งสวรรค์มาไม่น้อย พร้อมกันนั้น บรรดาผู้เปี่ยมพรสวรรค์อีกมากมายก็ตกตายใต้เงื้อมมือมัน ไม่น้อยกว่าสิบคน
จนเมื่อลั่วเฉินใช้วิธีการโบราณบางอย่างเรียกเอาสัตว์อสูรบรรพกาลออกมา หลิวเชียนก็ไม่อาจสะกดข่มความเยือกเย็นเอาไว้ได้ เนื่องเพราะจากแววตาที่คล้ายมีชีวิตของสัตว์อสูรนั้น มันสามารถสัมผัสได้ถึงอำนาจอันไพศาล
ปราณสุริยันธรรมดาทั่วไป หาญท้าพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด อย่าว่าแต่เคยเห็นมา เกรงว่ายังไม่ทันเริ่มก็ถูกข่มขู่จนล้มพับลงกับพื้น
ทว่า ลั่วเฉินปราศจากความขลาดกลัว ภายในใจของมันและฉินจิ่วเกอเป็นเฉกเช่นเดียวกัน ล้วนเป็นคนบ้าที่ไม่สนใจชีวิตของตนเอง
หลิวเชียนไม่สงสัยเลย หากลั่วเฉินทะลวงด่านพิสุทธิ์ไพศาลแล้ว ย่อมมีความสามารถทำร้ายมันได้อย่างแน่นอน!
ลั่วเฉินปลุกฟื้นอัญเชิญสัตว์เทวะ มังกร หงส์ เต่า พยัคฆ์ ตัวแทนพลังยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน
ทั่วร่างปกคลุมไว้ด้วยเกล็ดสีทองอร่าม ทุกอณูเลือดเนื้ออัดแน่นไปด้วยพลังแห่งจักรวาล ศีรษะของสัตว์อสูรเรืองรองด้วยแสงสีดำศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพกาล ดูดกลืนแสงสว่างทั้งปวงไปสิ้น
มหาอสูรล้างนภา คือสัตว์เทวะทำลายล้างที่มนุษย์กำเนิดขึ้นแต่แรก กอปรด้วยพลังทลายห้วงมิติแต่กำเนิด แม้มีเพียงร่างเลือดเนื้อ กลับสามารถต้านทานลมจักรวาลที่อยู่เหนือเก้าสวรรค์ได้
ตัวยาวร้อยจั้งสูงเหนือยอดไม้ ป่าไม้นับหมื่นมู่กลายเป็นเถ้าถ่าน พื้นดินขาวโพลน ตะปุ่มตะป่ำจนไม่อาจหาพื้นที่เรียบได้แม้แต่ตารางเมตรเดียว
ดวงตาขนาดมหึมาของสัตว์เทวะจ้องมองหลิวเชียน สัตว์อสูรคำรามด้วยความพิโรธ นำพาพลานุภาพท่วมฟ้า ถาโถมเข้าใส่โลกหล้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
หลิวเชียนเรียกสติคืนมา ลั่วเฉินไม่ใช่เด็กน้อยปราณสุริยันธรรมดา มันกลับมีเคล็ดวิชาลับ แต่ไม่มีทางเข่นฆ่าตนเองได้แน่นอน
ด้วยพลังขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด หลิวเชียนไม่ออมแรงอีกต่อไป มันถือลั่วเฉินเป็นศัตรูระดับชั้นเดียวกัน ทำศึกอย่างจริงจัง
อาศัยพลังของมหาอสูรล้างนภา ลั่วเฉินรับมือการโจมตีเต็มกำลังของหลิวเชียนอย่างยากลำบาก การต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่าน
สายตามองไปยังแสงสีขาวราวท้องปลาตายทางทิศตะวันออก นัยน์ตาของลั่วเฉินปรากฏหมอกสีขาวที่ตัวมันเองก็มองอย่างพร่าเลือน ตนใช่กำลังรอคอยปาฏิหาริย์อันใด?
“เจ้าอ้วนน่าตาย ทำบ้าอะไรอยู่ฮะไอ้แมงมอด” หลังจากย่อยสลายเม็ดยาระดับห้า ฉินจิ่วเกอปรับลมหายใจ พาร่างเจ้าอ้วนน่าตายทะยานไปบนยอดไม้สูง
“ข้า ข้าเหมือนจะทะลวงด่านแล้ว!” เจ้าอ้วนน่าตายยกชูสองแขน คล้ายสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณในกายโคจรเปี่ยมล้น ทุกเส้นสายไหลรวมเป็นหนึ่งเดียว จากจุดชีพจรทั้งหลายรวมรั้งสู่ท้องน้อย ร้อนรุ่มราวอัคคี
“เจ้าไม่ได้กินอะไรผิดสำแดงใช่มั้ย?” การทะลวงด่านฝีมือ มีแต่ต้องค่อยก้าวไปทีละก้าว นอกจากว่าจะประสบวาสนาฟ้าประทานหรือการก้าวข้ามขีดจำกัดของสังขาร
ยามฉินจิ่วเกอทะลวงตันเถียน ยังเกือบถูกคำสาปมารจากดอกพลับพลึงแดงเล่นงาน ผลลัพธ์คือต้องแข่งกับคนตายกว่าจะรอดมาได้ เจ้าอ้วนน่าตายวิ่งพล่านไปมาหนึ่งคืน กลับสามารถเลื่อนขั้นได้เสียอย่างนั้น?
“ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้กินของผิดสำแดงเข้าไป?” ฉินจิ่วเกอหวั่นไหวใจ ไม่อย่างนั้นวันหน้าตนเองทดลองวิ่งมาราธอนบ้าง ไม่แน่อาจสามารถกระตุ้นขีดจำกัดของร่างกายขึ้นมาบ้างก็ได้
“ตอนนี้ชีวิตน้องรองตกอยู่ในภาวะคับขัน เจ้ายังมานั่งขี้เกียจ ช่างเป็นตัววุ่นวายไร้ประโยชน์ น่าผิดหวังจริงๆ”
ฉินจิ่วเกอวาจาเชือดเฉือนไร้น้ำใจ ในป่าโบราณต้นไม้สูงเสียดฟ้า เจ้าอ้วนน่าตายวิ่งไปวิ่งมาโดยไม่ทำเครื่องหมายใดๆ ไว้ ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้ศิษย์น้องรองไปถึงที่ใดแล้ว
เจ้าอ้วนน่าตายอ้าปากกว้าง ศิษย์พี่ใหญ่ไฉนปากสุนัขเช่นนี้ จู่ๆ ทะลวงด่านจึงขาดการควบคุมตนเอง ตามหลักการแล้วคนเราย่อมต้องเลื่อนขั้นไปเรื่อยๆ ไม่แสดงความยินดีสักสองสามคำก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ควรพูดเป็นจริงเป็นจังหาว่าข้าสวาปามไม่เลือกหน้านี้นา
“ช่างเถอะ เจ้านั่งตรงนี้ทะลวงด่านไปเถอะ ข้าจะเข้าไปสำรวจในป่าโบราณ” หากสามารถเหินบิน อาศัยการมองจากกลางอากาศ คงสามารถหาพบได้โดยง่าย ใจกลางป่าโบราณถูกทำลายล้างเป็นวงใหญ่ ที่นั่นสมควรเป็นศูนย์กลางการปะทะ
“ศิษย์พี่เปรื่องปราดเที่ยงธรรม ศิษย์น้องเลื่อมใสยิ่ง” ยากนักที่ศิษย์พี่ใหญ่จะเข้าใจหลักการถึงปานนี้ เจ้าอ้วนน่าตายไม่กล้าเอ่ยมากความ เร่งนั่งลงกับพื้นเข้าสู่ภวังค์แห่งการหยั่งรู้
ช่างสบายใจนัก เจ้าอ้วนน่าตายคิดว่าตนเองตัวเบาราวปุยนุ่น เดินท่องไปบนนภากาศ เมื่อกลับมา ศิษย์พี่หญิงยังมองมันด้วยความนับถือเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
เมื่อต้องเผชิญการโจมตีเสี่ยงตายจากพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด ในใจฉินจิ่วเกอหวาดหวั่นหมื่นส่วน ไม่กล้าประมือ
ต่อให้เป็นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง ยังคงมีอันตรายถึงชีวิต ผู้ใดเรียกผู้อื่นเป็นถึงตัวเอก ไม่ว่าอย่างไรล้วนไม่ตาย
ฉินจิ่วเกอสะพายกระบี่หนักกลางหลังทะยานผ่านยอดไม้ในป่าลึก ได้ยินเสียงคำรนคำรามของสัตว์อสูรถ่ายทอดมา ค่อยๆ คืบใกล้ใจกลางการต่อสู้อันดุเดือด
รัศมีหลายร้อยเมตร พื้นดินถูกกวาดล้างไม่หลงเหลือไม้สักต้นหญ้าสักพุ่ม เศษหินดินทรายปลิวว่อน ลั่วเฉินลมหายใจกระชั้นถี่ มุมปากปรากฏหยาดโลหิตหลั่งไหล
พลังอ่อนด้อยจนเกินไป แม้มีพลังจากสายเลือดช่วยหนุนเสริม อัญเชิญมหาอสูรล้างนภาออกมา หากแต่ยังเป็นเพียงเสี้ยวสายใยแห่งสำนึกเทวะ ปะทะหักล้างได้เพียงครึ่งชั่วยาม ก็ถูกหลิวเชียนต้อนจนใกล้สลายไปอยู่รอมร่อ
มหาอสูรล้างโลกาที่แท้จริง กฎสรรพสิ่งขั้นสูงสุดเมื่อพบพาน ยังต้องถอยให้สามก้าว
วันนี้อัญเชิญมาได้เพียงเสี้ยวสำนึก อานุภาพแห่งเทวะต้องถูกพลังของมนุษย์เหยียบย่ำไว้ใต้ฝ่าเท้า
หลิวเชียนใช้ทักษะยุทธ์ออกมา ปรากฏหอกยาวร้อยเมตรขึ้นกลางอากาศ แหวกสุญญากาศขึ้นกลางฟ้า แม้แต่อากาศโดยรอบยังกลายเป็นพายุวาตภัย
ลั่วเฉินอาศัยเสี้ยวพลังสุดท้ายจากมหาอสูรล้างโลกา ปัดป่ายการโจมตีจากทักษะยุทธ์ของหลิวเชียน อสูรเทวะสลายหาย สายเลือดได้รับความกระทบกระเทือน ระเหิดหายไปกว่าครึ่ง
“แค่กแค่ก” สีหน้าไม่ปรกติธรรมดาปรากฏขึ้นบนใบหน้า ลั่วเฉินหน้านิ่วคิ้วขมวด คนถอยกายไปสามก้าว สิบนิ้วสูญสิ้นเรี่ยวแรงไม่อาจยกขึ้น
“ให้ความรวบรัดกับข้าเถอะ” ลั่วเฉินในใจไม่ยินยอม ตนเองแบกความแค้นโชกเลือดดั่งมหาสมุทรไว้กับตัว มีความสำนึกเสียใจที่ต้องชดใช้มากมายจนเกินไป
ภาพความทรงจำก่อนตายวาบผ่าน ในห้วงสมองของลั่วเฉิน พลันปรากฏดวงหน้าน่าชิงชังรังเกียจของฉินจิ่วเกอขึ้น
มิใช่น้ำใจศิษย์พี่ศิษย์น้องลึกซึ้งยากจะตัด ที่จริงเป็นฉินจิ่วเกอที่ลั่วเฉินรังเกียจมาถึงแล้ว
.
.
.