เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 70 ปาฏิหาริย์
“ฮ่าฮ่า!” ร่างพิงกระบี่หนัก ฉินจิ่วเกอโคลงศีรษะหัวร่อออกมาอย่างบ้าคลั่ง สิบนิ้วที่แนบข้างลำตัว ล้วนปรากฏกระดูกขาวโพลน เลือดเนื้อฉีกขาดแหว่งวิ่น
“หัวร่ออันใด?”
หลิวเชียนงุนงงสับสน จากที่มันเห็น อีกฝ่ายมาถึงขั้นตะเกียงใกล้สิ้นแสง ที่จริงนับเป็นคนตายคนหนึ่ง
“ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า กระบี่หนักไร้คมสะบั้น!”
นี่คือกระบวนท่าสุดท้ายที่ฉินจิ่วเกอสามารถใช้ออก สำเร็จหรือไม่ ต้องอาศัยลิขิตฟ้าแล้ว
กระบี่หนักไร้คม กำลังไร้คู่เปรียบ พลังอันไพศาลทับโถมชั้นแล้วชั้นเล่า มือกุมกระบี่ อานุภาพกระบี่รวบวิญญาณ ความเข้มแข็งมากกว่าหนึ่งล้านจิน!
“คิดสยบข้า? ” หลิวเชียนระเบิดเคล็ดลมปราณเพิ่มพูนพละกำลัง สลายวิชายุทธ์บนมือ หลิงไถและตันเถียนผนึกแปรเป็นศาสตราวิเศษ ปกป้องสังขารทั้งมวลเอาไว้
ฟ้าใกล้สว่าง รุ่งสางมาเยือนช้ากว่าเคย เหล่าพฤกษาสูงชะลูดเตรียมรับแรงอัดกระแทกสะเทือนฟ้าดินเป็นครั้งสุดท้าย!
หัตถ์อสูรที่แท้เริ่มผนึกตัวก่อร่างขึ้นด้วยน้ำมือของฉินจิ่วเกอ เกล็ดที่เปี่ยมพลังแห่งการทำลายล้างไล่เลียงกันไปจนทั่วทั้งฝ่ามือ โครงสร้างคมชัดทุกรายละเอียด เปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังอันเย้ายวน อุ้งมือมนุษย์ซ้อนทับกับภาพอุ้งมืออสูรละเอียดลออกำรอบกระบี่หนักเล่มหนึ่ง ดูเผินๆ เหมือนบรรทัดแห่งดินฟ้าที่ถูกเงื้อขึ้นและฟันลงจากสรวงสวรรค์
แรกเริ่มบรรพกาล ทุกสรรพสิ่งถือจุดเริ่มต้นเป็นหนึ่ง
กระบวนท่านี้ครอบคลุมรัศมีหนึ่งร้อยลี้ ผู้ที่อยู่ในระยะล้วนรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างแจ่มชัด ทุกตระกูลขุมอำนาจในเมืองซวนอู่ต่างก็ไม่มีชนชั้นกลั่นดวงธาตุคอยนั่งแท่นบัญชา
แค่เพียงพลังตกค้างก็เพียงพอที่จะทำให้พวกมันต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึง ราวกับว่าเมื่อใดที่พลังที่พร้อมจะสับสะบั้นทุกสิ่งโดยไม่เลือกหน้ากวาดม้วนลงมา เมฆหมอกบนฟ้าก็จะเตลิดหาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาคารบ้านเรือนที่สร้างขึ้นจากอิฐหินปูนทรายของพวกมัน!
ระลอกพลังระดับนี้ จำต้องเกิดจากการต่อสู้แลกชีวิตของชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย
อาวุโสมู่หยวนที่ปักหลักอยู่ในเมืองซวนอู่มาเป็นเวลานานพอรับรู้ถึงคลื่นพลังนี้ก็ต้องเหินตัวออกนอกเมืองมาสำรวจ กระบี่หนักเล่มนั้นถูกหลิวเชียนต้านรับไว้ได้ มันที่มีระดับฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดรวมถึงพละกำลังไร้ผู้ต้าน ภายใต้ขอบเขตกลั่นดวงธาตุ ย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับผู้ใด
อาศัยพลังชั้นปราณสุริยันขั้นปลายกดดันรุกไล่พิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด แถมแต่ละกระบี่ยังร้ายกาจดุดันขึ้นทุกครั้งที่กวัดแกว่ง เล็บคมยาวของสัตว์อสูรยักษ์คีบยกกระบี่วาดฟันออกไป กดดันให้หลิวเชียนต้องล่าถอยไปไกลหลายร้อยเมตร กระทั่งไม่กล้าต้านทานไว้อีก
ถึงอย่างไรมันก็เป็นแค่หัตถ์อสูรอันไร้ชีวิต ด้วยระดับฝึกปรือในปัจจุบันของฉินจิ่วเกอ สามารถผสานเคล็ดกิเลนครองฟ้าเข้ากับแก่นแท้ของกระบี่ไร้คม แม้จะเป็นเพียงแค่การถอดแบบเค้าโครงและแนวคิด แต่พลังก็เป็นที่ประจักษ์
กระบี่หนักทลายกระบี่ในมือหลิวเชียนจนเกิดเป็นรอยแตกขนาดเท่ากำปั้น จนกระทั่งพลังสลายไปในที่สุด กระบี่หนักวาดลงพื้น เกิดรอยปริแตกลึกยาวไปไกลร้อยเมตรจนกระทั่งลากยาวมาถึงปลายฝ่าเท้าของหลิวเชียนจึงหยุดแพร่กระจาย
มาอย่างอสนีบาตแลบปลาบ หยุดเยี่ยงสายนทีผนึกแสง
ฉินจิ่วเกอสลายพลัง รู้สึกเจ็บแปลบที่ขมับ ตันเถียนภายในร่างแทบปริแตก เส้นชีพจรเจ็บขัด สังขารแทบพังครืน
หลิวเชียนสูดลมหายใจยาว มันไม่คิดลากถ่วงอีกต่อไปแล้ว หากกระบี่เมื่อครู่รวดเร็วกว่านี้สักเล็กน้อย มันเองย่อมไม่อาจหลบหลีกรอดพ้นได้
อานุภาพราวอสนีบาตหมื่นจวินที่ผ่าแยกเมฆา แม้กระทั่งมันที่กอปรด้วยพลังชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด ยังสัมผัสได้ถึงเงามรณะที่เสียดกระดูกแทงวิญญาณ
วายุเซียนโชยพัดผ่าน พลังวิญญาณเจิดจ้า ก้าวสู่ขอบเขตขั้นอันสดใหม่แห่งวิถีศักดิ์สิทธิ์เซียนเทียน
เป็นตายไร้ทางผ่าน ลั่วเฉินทลายโซ่ตรวนที่ผูกมัดตัวมันมาเนิ่นนานออก หลิงไถที่ตำแหน่งกึ่งกลางหว่างคิ้ว ใจกลางของห้วงสมองแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์
บรรลุพิสุทธิ์ไพศาลเป็นที่เรียบร้อย!
มันมองดูฉินจิ่วเกอที่หมดสติอยู่ที่พื้น ลั่วเฉินเก็บกระบี่ที่หักกลาง ร่างทะยานสู่ฟ้า ค้างอยู่กลางอากาศ ตวาดว่า “พิฆาตสวรรค์!”
กระบี่ที่หักกลาง สะบัดกวัดแกว่งสำแดงอานุภาพไร้สิ้นสุดจนผู้คนไม่กล้ามองข้าม หลิวเชียนเพียงเพิ่งคิดขยับเคลื่อนไหว ก็พบว่ากระบี่อัคคีทำลายล้างเมื่อครู่ทำร้ายมันบาดเจ็บ ยามนี้พลันคืนสติ เจ็บร้าวตลอดทั่วทั้งร่าง
ขณะที่มันกำลังตะลึงงัน กระบี่หักถูกลั่วเฉินควบคุมกลางอากาศ สำแดงกระบวนท่าพิฆาตสวรรค์ สับแยกแขนข้างหนึ่งของหลิวเชียนออกมา
โลหิตสดๆ พรั่งพรู ท่อนแขนที่ถูกตัดขาดครึ่งถูกป่นจนเป็นเศษชิ้นส่วน ก่อนพุ่งเข้าใส่หลิวเชียนอีกคำรบ
“อ๊ากกก!” หลิวเชียนคำรามอย่างน่าสมเพช มิใช่เพราะความเจ็บปวดเท่านั้น มันมองเห็นประกายตาอาฆาตแค้นในดวงตาของลั่วเฉิน แม้แต่ตัวมันเองยังบังเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง
หนี!
วันนี้เหมือนถูกราหูอม ยามปกติมันสับสังหารปราณสุริยันอย่างปลอดโปร่งสบาย ทว่าวันนี้แต่ละคนยิ่งมายิ่งโหดร้าย คนก่อนหน้าต้านทานมันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม สะกดจนตนเองมิอาจไม่ระแวดระวังทุกย่างก้าว
คนหลังมายิ่งร้ายกาจกว่าเก่า กระบี่หนักปีศาจนั่นตัดผ่าท้องฟ้า สับแยกต้นไม้เป็นท่อนๆ กรีดแยกผืนพสุธาออกทั้งเหนือใต้
มู่หยวนเหินบินเหนือยอดไม้ มองเห็นเงาร่างคนพุ่งหนีหัวซุกหัวซุนออกมาจากในป่า ยังหันมองกลับหลังคล้ายมีสัตว์อสูรใด กริ่งเกรงมันไล่ติดตามมา
ลั่วเฉินเพียงเพิ่งทะลวงด่าน พลังขั้นสูงสุดรวมกับพลังของการทะลวงด่านจึงสามารถทำร้ายหลิวเชียนเป็นผลสำเร็จ หากคิดตามโจมตีล้วนไม่อาจเป็นไปได้ มันมองดูหลิวเชียนลนลานหลบหนี
หลิวเชียนที่ได้รับความแตกตื่นหันกลับมา พอดีพบกับอาวุโสมู่หยวน
ในฐานะกลั่นดวงธาตุขั้นสี่ อาภรณ์ของประตูหายนะคลุมร่าง อักษรประตูหายนะที่ปักลงบนเสื้อคลุมเจิดจ้าสะดุดตายิ่ง
หลิวเชียนไม่รู้จักมู่หยวน ทว่ารู้จักเครืองแบบที่มันสวมใส่ มู่หยวนกลับรู้จักหลิวเชียน มันคือบุคคลที่มู๋หยวนและขุมอำนาจต่างๆ ผสานกองกำลังเพื่อไล่ล่า พลังฝึกปรือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด หากปล่อยให้ทะลวงสู่กลั่นดวงธาตุ ย่อมไม่อาจทำอย่างไรมันได้
คู่แค้นพบหน้า อาวุโสมู่หยวนลงมือสำแดงพลานุภาพแห่งกลั่นดวงธาตุระดับสี่มิใช่สามารถต้านรับไว้โดยง่าย เพียงพบเห็นก็ตกตายได้ในทันที
เมื่อเห็นหลิวเชียนถลาออกมาจากดงไม้ในสภาพแขนขาดวิ่น มู่หยวนต้องประหลาดใจยิ่ง หรือมีคนคิดล้อมปราบมันแต่ไม่สำเร็จ?
ด้วยฝีมือแม่นยำเหี้ยมโหดของหลิวเชียน ต้องใช้พิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดสองคน จึงสามารถยันเสมอกับมันได้ พิสุทธิ์ไพศาลสามคน จึงสามารถทำร้ายมันบาดเจ็บหรือสังหารมันสำเร็จ
อาวุโสมู่หยวนพุ่งเข้าสู่ดงไม้สูงหนาทึบที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้ร่วง ภายในเย็นเยียบเปี่ยมจิตสังหาร ไอพลังวิญญาณที่ปั่นป่วนรุนแรงยังไม่ทันสงบลง
“ตัวอันใด?” มู่หยวนเห็นความเคลื่อนไหวคล้ายเงาคนในดวงหญ้า เป็นก้อนกลมใหญ่ขนาดมหึมา ต้องเตะเท้าออกด้วยความตกใจ
“โอ๊ย!” เจ้าอ้วนน่าตายเพิ่งบรรลุปราณสุริยัน กำลังยกชูมือไม้กราบกรานต่อสวรรค์ชั้นฟ้า ผลลัพธ์ถูกผู้คนเตะใส่หนึ่งเท้าจากด้านหลัง คนลอยละลิ่วดั่งว่าวขาดป่าน ลมหายใจร่อแร่
“ที่แท้ เหนือฟ้ายังมีฟ้า” เจ้าอ้วนเข้าใจความหมายแล้วว่าอันใดคือจงทำตัวโลว์โปรไฟล์ ตาเหลือกขาว ก่อนเป็นลมสิ้นสติไป
อาวุโสมู่หยวนเขม้นนัยน์ตา อีกฝ่ายคุ้นตาคล้ายเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน ตนเองสมควรทำร้ายผิดคนแล้ว
มู่หยวนตีเนียนทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฝ่ามือไพล่หลัง แค่นเสียงเฮอะสดใสคำหนึ่งพร้อมทะยานสู่ยอดไม้สูงอีกครา
ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปภายใน ร่องรอยการปะทะหักหาญอันดุเดือดยิ่งปรากฏเกลื่อนกลาด กระทั่งรอยผ่าครึ่งต้นไม้ยักษ์ขาดกลาง ทั้งยังผ่าลึกลงไปในพื้นดินร่วมสิบเมตร หากปราศจากพลังร่วมห้าหมื่นจิน รับประกันไม่อาจทำลายล้างได้ไกลปานนี้
“เป็นเจ้า?” อาวุโสมู่หยวนพบเห็นฉินจิ่วเกอที่บาดเจ็บกะรุ่งริ่งนั่งอยู่บนพื้น บุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสง่างามอีกผู้หนึ่งคอยอารักขาอยู่ด้านข้าง
ประหลาด มันย่อยสลายเม็ดยาระดับห้าไปแล้ว ไฉนยังบาดเจ็บถึงปานนี้?
อาวุโสมู่หยวนพลันได้คิด คงมิใช่ว่า เป็นพวกมันทำร้ายหลิวเชียนบาดเจ็บสาหัสจนต้องลนลานหนีเอาชีวิตรอดกระมัง?
หลิวเชียนคือจอมมารที่ขึ้นชื่อลือชาในมวลเผ่ามนุษย์ ผู้ที่สามารถบีบคั้นมันจนหดหัวซุกหางหลบหนี พวกมันสมควรมีความสามารถน่าแตกตื่น
ลองพิจารณาระดับฝึกปรือคนทั้งสองอีกที พบว่าฉินจิ่วเกอบรรลุปราณสุริยันขั้นปลาย ลั่วเฉินแรกเข้าพิสุทธิ์ไพศาลพื้นฐานยังไม่เสถียรดี พลังฝึกปรือระดับนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น หลิวเชียนย่อมสามารถกำจัดอีกฝ่ายได้ภายในสิบกระบวนท่าอย่างง่ายดาย
อยู่ๆ มู่หยวนก็เกิดความคิดที่จะผูกมิตรกับพวกมันขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นพรรคหลิงเซียวที่หนุนหลังฉินจิ่วเกอก็ดี หรือจะเป็นศักยภาพในตัวเด็กทั้งสองก็ดี
ในอนาคต ขอบเขตกลั่นดวงธาตุย่อมแน่นอนแล้ว
กระทั่งอาจบรรลุถึงขอบเขตที่สูงส่งยิ่งไปกว่านั้นเลยก็ได้
กัดฟันควักเอาโอสถระดับห้าออกมาเพิ่มอีกสองขนาน พร้อมช่วยเด็กทั้งสองซึมซับเข้าสู่ร่าง
มีมู่หยวนคอยอารักขา ฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินจึงใช้โอกาสนี้ดูดซับยาเข้าร่าง ขณะเยียวยาบาดแผลก็อาศัยฤทธิ์ยาบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงเส้นชีพจรไปด้วย
เมืองซวนอู่อันยิ่งใหญ่ มีนักปรุงยาระดับห้าอยู่แค่คนเดียว ทั้งยังได้มาเพราะเห็นแก่หน้ามู่หยวนเท่านั้น สามารถจินตนาการได้ว่าโอสถระดับห้าเม็ดนี้มีค่าเพียงใด
คนทั้งสองออกจากการบำเพ็ญตนและกล่าวขอบคุณมู่หยวนเสร็จสรรพ มู่หยวนก็บอกกล่าวข่าวคราวเรื่องหนึ่งให้ทราบ
“ข้าได้ฟังรายงานมาว่า ทางเขาทิศตะวันตกมีตำหนักสุสานปรากฏขึ้น คาดว่าคงเป็นที่กลบฝังของชนชั้นกลั่นดวงธาตุ ขุมกำลังในละแวกนี้จึงส่งคนไปสำรวจดู หวังว่าจะได้ลาภลอย พรรคจอกประกายสิทธิ์ที่มีความขัดแย้งกับพวกเจ้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“โฮ่?” สุสานงั้นหรือ ในนั้นต้องมีสมบัติคอยข้าอยู่แน่ๆ ฉินจิ่วเกอนึกอย่างตื่นเต้นยินดี
มิน่าคืนนี้ยอดฝีมือของพรรคจอกประกายสิทธิ์ถึงไม่ออกหน้า ที่แท้พวกมันก็ง่วนอยู่กับการปล้นชิงสมบัติในสุสาน หากพวกมันส่งยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลางออกมา ตอนที่ตนยังอยู่ในเหลา เกรงว่าคงไม่มีชีวิตรอดออกมาแน่แล้ว
“ในเมื่อพรรคจอกประกายสิทธิ์ไปขโมยสุสาน ข้าก็ต้องไปร่วมวงถึงจะถูก” ฉินจิ่วเกอหัวเราะร้าย เชิดจมูกสูง ท่าทางเหมือนพวกตัวร้ายใจคับแคบตามมาตรฐาน
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” ลั่วเฉินกล่าวขณะปาดเลือดบนหน้า สีหน้าแววตาแปลกไปจากเดิม
มู่หยวนผงกศีรษะ พวกมันไปดูสุสานก็ดีเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ว่ามันต้องนั่งประจำการอยู่ที่เมือง คงไม่พลาดไปร่วมสนุกด้วยแน่
มู่หยวนกลายสภาพเป็นเงาดำพุ่งขึ้นฟ้า เพียงพริบตาก็ลอยไปไกลหลายร้อยเมตรแล้ว ประเด็นสำคัญก็คือมันโจมตีผิดราย จึงกลัวว่าจะถูกเหยื่อจำได้ ส่วนเหยื่อที่มันพูดถึงบัดนี้กำลังล้มลุกคลุกคลานอยู่ในกองไม้ใบหญ้า เพิ่งจะฟื้นคืนสติอย่างมึนเบลอ
เดินกุมบั้นท้ายออกมาด้วยความสับสนงุนงง เจ้าอ้วนน่าตายหางตาพลันเหลือบเห็นกองเนื้อแหลกเหลวเข้ากองหนึ่ง กระดูกเนื้อหนังรวมเละเป็นเนื้อเดียว แยกไม่ออกว่าเป็นใครมาก่อน
พลันนึกถึงฆาตกรที่หมายจะเอาชีวิตตนก่อนหน้าขึ้นมา เจ้าอ้วนน่าตายเป็นต้องตัวสั่นหน้าซีด หลงคิดไปว่าศิษย์พี่ใหญ่เสียสละพลีชีพแทนศิษย์น้องอย่างสมศักดิ์ศรี
บนฟ้ามีเงาคนลอยข้ามหัวผ่านไป เจ้าอ้วนน่าตายตกใจกลัว คว้าเศษผ้าที่คาดว่าเป็นของดูต่างหน้าชิ้นสุดท้ายของศิษย์พี่ใหญ่ขึ้นมาจากกองเนื้อ แล้ววิ่งหน้าตั้งกลับไปที่พรรคหลิงเซียวทันที
ฉินจิ่วเกอพลิกแผ่นดินหานอกในจนทั่วทั้งป่าก็ยังไม่พบร่องรอยของเจ้าอ้วนเลย
หลิวเชียนถูกตัดแขนไปข้าง จากนั้นพอหนีออกไปได้ก็ถูกมู่หยวนลงมือสังหาร ว่ากันตามเหตุผลแล้วเจ้าอ้วนสมควรไม่เป็นอะไร ในเมื่อหายังไงก็ไม่เจอ ฉินจิ่วเกอจึงสรุปเอาเองว่าเจ้าอ้วนนั่นจะต้องแอบย่องดอดไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อแอบดูสตรีอาบน้ำเป็นแน่
อย่าลืมว่าเจ้าอ้วนในตอนนี้ดีร้ายยังไงก็เป็นถึงชนชั้นปราณสุริยันแล้ว หลังประสบความสำเร็จย่อมต้องการปลดปล่อยเป็นธรรมดา
หากเจ้าอ้วนน่าตายไม่กลับไปที่พรรคอีกเลยนับแต่นี้ อาวุโสสามจะต้องแตกตื่นยินดีเป็นล้นพ้น ตัดปัญหาเรื่องงบประมาณค่าอาหารภายในพรรคไปในที่สุด
แต่เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ว่าเจ้าอ้วนน่าตายใช้ศิลาวิญญาณในแหวนมิติตนไปหลายร้อยหรอกหรือ ฉินจิ่วเกอนึกแล้วก็ปวดใจ เทียบกับตอนประหัตประหารกับหลิวเชียนแล้วยังเจ็บปวดยิ่งกว่า
ช่างปะไร เจ้าอ้วนพอเสร็จธุระก็คงกลับไปที่พรรคเอง ถึงตอนนั้นฉินจิ่วเกอจะใช้การกระทำเป็นข้อพิสูจน์ว่าอะไรถึงเรียกน้ำใจศิษย์พี่ใหญ่กว้างไกลปานห้วงสมุทร
ได้ร่วมเดินทางไปกับพระเอกประจำเรื่องก็ถือเป็นเรื่องดีเหมือนกัน
กวาดมองไปทั่วหล้า มีแต่ตนเองที่ตาถึง เสมือนหลี่ปู้เหวยผู้หลงใหลฉินอี้เหริน คิดไม่ลบล้างยากลำบากยิ่ง
ลั่วเฉินเลือกที่จะเดินตามเส้นทางขึ้นเขามุ่งหน้าไปทางตะวันตก ศิษย์พี่ใหญ่ในเวลานี้ยังอาการย่ำแย่ ไม่อาจเหาะเหินได้
แต่ที่ทำให้ลั่วเฉินรู้สึกกระอักกระอ่วนก็คือ ทุกครั้งที่ฉินจิ่วเกอมองตน สายตาของมันกลับฉายแววชั่วร้ายออกมา ทั้งยังน้ำลายไหลหยดเป็นทาง บางครั้งก็พูดจาไม่รู้เรื่องทำนองว่าพระเอกๆ อะไรสักอย่าง คาดว่าคงเสียสติไปแล้วแน่ๆ
นานเข้า ลั่วเฉินก็ไม่กล้าเหลือบมองฉินจิ่วเกออีกเลย มันกลัวว่าขืนได้เห็นสีหน้าแววตาดั่งหมาป่าที่หิวโซของอีกฝ่ายอีก ความรู้สึกใกล้ชิดของศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมพรรคที่เพิ่งจะก่อตัวอย่างยากลำบากอาจได้เปลี่ยนเป็นภาพถือมีดไล่ฟันกันไปแทน
เขาประจิมทอดยาวไปไกลนับหมื่นลี้ ยอดเขาสูงกว่าพันจั้ง ทะลุไปถึงเมฆาคล้อยเบื้องบน
ภายในเขา ต้นไม้สูงชะลูด สัตว์อสูรชุมนุมกันเป็นฝูง มีทั้งหินพิสดารและแม่น้ำอันแปลกตา บุปผาพืชพรรณวิเศษรกครึ้ม
ใจกลางเขาคลาคล่ำไปด้วยภยันตราย ชะง่อนผาหุบเหวลึกมีอยู่ไม่ว่างเว้น แม้แต่พิสุทธิ์ไพศาลยังไม่ยินยอมเหยียบย่างเข้ามาง่ายๆ
ประตูหายนะ ปกครองอาณาเขตสามหมื่นลี้รอบเมืองซวนอู่
ที่จริงในสายตาผู้คนเมืองซวนอู่เป็นได้แค่ดินแดนระดับต่ำของเผ่ามนุษย์ ไอวิญญาณขาดแคลน ทรัพยากรไม่เพียงพอแก่ความต้องการ
ในระยะสามหมื่นลี้โดยรอบ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่รกร้าง เหมือนป่าปีศาจสวรรค์ทางเขาตะวันตก เป็นเขตต้องห้ามของมนุษย์ อันตรายซุกซ่อนอยู่ทุกฝีก้าว
.
.
.