เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 71 ทำลายพิธี
ฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินรุกคืบสู่เขาประจิม
ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน พวกมันจึงสามารถมองเห็นยอดเขาที่อาบไล้อยู่ใต้แสงจันทร์ได้อย่างชัดเจน เทียบกับประภาคารแล้วยังสว่างกว่า
สุสานที่ดึงดูดขุมอำนาจมากมาย ตั้งอยู่บนยอดเขาประจิมแห่งนี้เอง
ทุกคืน แสงสว่างพิสดารนี้จะดึงดูดผู้ที่มีจิตใจทะเยอทะยานให้เข้าไปหาด้วยความยินยอมพร้อมใจ
ตลอดหลายวันที่ผ่านมามีกลุ่มคนมากหน้าหลายตาหลั่งไหลกันเข้าไป ในนั้นไม่ขาดแคลนพรรคใหญ่ รวมถึงยอดฝีมือประจำพรรค
ว่ากันว่า สุสานแห่งนี้เป็นชาวบ้านที่ขึ้นไปเก็บผักพบเข้า ในนั้นมีสมบัติล้ำค่ามากมายสารพัดชนิด ชาวบ้านคนนั้นตั้งใจจะขายสมบัติประทังชีวิต แต่ถูกคนพบเห็น หลังเค้นถามอยู่นานจึงค่อยรู้ถึงที่มาที่ไป
สุสานของชนชั้นกลั่นดวงธาตุปรากฏขึ้นบนโลก เมืองซวนอู่ที่เป็นดินแดนระดับต่ำทรัพยากรขาดแคลนจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก มีคนจำนวนนับร้อยที่เข้าไป แต่ก็ไม่มีสักคนที่คาบข่าวกลับมาได้
“แม้เกิดปัญหาก็ยังมีชนชั้นกลั่นดวงธาตุประจำการอยู่ใกล้ๆ ต่อให้มีสุสานเป็นฉากหน้าก็ยังไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งเปิดเผย ปลายยอดเขาแสงไฟสว่างเรืองรอง กระนั้นกลับไม่อาจสัมผัสถึงโชคลาภวาสนาอะไรได้เลย ตรงกันข้ามกลับจงใจล่อลวงให้เข้าไปหามากกว่า”
ท่ามกลางราตรีกาล ลั่วเฉินที่ยืนอยู่บนเชิงเขาแหงนหน้ามองแสงไฟที่ส่องสว่างจากบนยอด สงสัยเคลือบแคลงในสถานที่ที่เรียกกันว่าตำหนักสุสานนี้
คนหลายร้อย เข้าไปแล้วไม่ได้กลับออกมา เป็นเรื่องน่าคิดทบทวนตรึกตรอง
ลั่วเฉินมีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา ภูมิความรู้ของมันไม่ใช่สิ่งที่ขุมอำนาจในเมืองซวนอู่จะเทียบเปรียบได้
ฉินจิ่วเกอไม่ใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นสุสานอะไรก็ช่าง แต่ที่แน่ๆ นอกสุสานจะต้องมีผู้ฝึกตนที่พลังยุทธ์อ่อนด้อยรวมตัวกันอยู่อย่างแน่นอน มิสู้ใช้โอกาสนี้ดักปล้นพวกมันหาลำไพ่พิเศษจะดีกว่า
ฉินจิ่วเกอไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นคนดีเด่นอะไรอยู่แล้ว มันเป็นแค่คนธรรมดาๆ ที่อาจมีอาการประสาทอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร
พวกมันไม่ได้เร่งรุดขึ้นเขาไปในทันที หลังจากทะลวงด่านภายใต้แรงกดดันจากการสู้รบก่อนหน้า จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีบาดแผลซ่อนเร้นอยู่ทั่วร่าง
ดังนั้นจึงตัดสินใจปักหลักรออยู่ใต้เชิงเขาเป็นเวลาหลายวัน จนกว่าอาการบาดเจ็บซ่อนเร้นจะหายดี ระดับพลังมั่นคงสมบูรณ์
นับแต่วันเปิดสุสานเวลาก็ผ่านไปแล้วถึงสิบวัน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครได้กลับออกมา
บรรยากาศพิลึกน่าพิศวง ฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินปีนป่ายขึ้นยอดเขา พบว่ามีคนจำนวนหลายสิบปักหลักรออยู่ด้านนอก คาดว่าคงเป็นเหล่าลูกศิษย์ลูกหาและคนในตระกูลของพวกที่ล่วงเข้าไปในสุสานก่อนแล้ว
ทางเข้าสุสานเป็นโพรงถ้ำสีเขียวขรึมธรรมดาๆ กว้างยาวสามฉื่อ
ในช่องว่างรอยต่ออัดแน่นไปด้วยเหล็กหลอม ทั้งยังมีอักขระยันต์สลักไว้เพิ่มพูนพลังความขลัง
ภายในสุสาน สายลมเยียบเย็นชั่วร้ายพัดหวีดหวิว ส่งกลิ่นตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
กลิ่นศพเน่าเหม็นคละคลุ้งแม้อยู่ห่างออกไปไกลเป็นโยชน์ก็ยังคงได้กลิ่น
ฉินจิ่วเกอเป็นหนุ่มเจ้าสำอาง ดูได้จากที่มันยกมือปิดจมูก สุดท้ายก็เอ่ยออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ข้าจะไม่เข้าไปเด็ดขาด อี๋ กลิ่นรุนแรงร้ายกาจอะไรเช่นนี้ ตอนกลับออกมารับรองเลยว่าต้องกลายเป็นเต้าหู้เน่าเหม็นโฉ่ นี่ยังจะไม่ทำลายภาพลักษณ์ของข้าในสายตาคนอื่นอีกรึ”
ลั่วเฉินทำปากขมุบขมิบ มันอยากจะบอกฉินจิ่วเกอเหลือเกินว่าในสายตาคนอื่นคนที่มีพฤติการณ์อย่างเจ้าก็เป็นได้แค่กองมูลกองหนึ่งเท่านั้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้ข้าหาเศษหาเลยอยู่ข้างนอกนี่แหละ” ความคิดอ่านของฉินจิ่วเกอแสนเรียบง่าย ที่เรียกกันว่ากอบกู้โลก หรือยอดยุทธ์ไร้ผู้ต้านอะไรเทือกนั้น แท้ที่จริงแล้วก็ไม่พ้นเรื่องเงินๆ ทองๆ อยู่ดี ขึ้นอยู่กับว่าค่าตอบแทนจะมากน้อยแค่ไหนเท่านั้น
ในเมื่อเป็นเรื่องของธุรกิจ เช่นนั้นจะนอกหรือในสุสานก็ไม่ต่างกัน
และตอนนี้แพะอ้วนพีจำนวนหลายสิบก็กำลังใช้สายตาไร้เดียงสาจ้องมองผู้มาใหม่ทั้งสองอยู่
พวกที่กล้าเข้าไปในสุสาน ทันทีที่เข้าไปแล้วจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่อาจทราบ
จะใช้สัมผัสเทวะสำรวจสถานการณ์ภายในสุสานก็ทำไม่ได้ พอได้สงบจิตสงบใจอยู่หลายวัน ถึงค่อยไม่มีใครกล้าผลีผลามเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิตอีก
ณ ปากทางเข้าสุสาน มีคนยืนเฝ้าระวังอยู่สามคน อ้างว่าเป็นยอดคนพิทักษ์บรรพต ระดับฝีมือพิสุทธิ์ไพศาล
พี่คนโตในหมู่คนทั้งสามกระทั่งบรรลุพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง
พละกำลังระดับนี้สามารถเทียบชั้นกับยอดฝีมือของตระกูลม่อเมืองซวนอู่ได้เลย
แต่ยามนี้กลับมายืนเก็บค่าผ่านทางอยู่หน้าสุสานเสียอย่างนั้น
ดูท่าผู้พิทักษ์บรรพตทั้งสามจะคิดตรงกันกับฉินจิ่วเกอ ในสุสานอันตรายชุกชุมทุกฝีก้าว หากบุ่มบ่ามเข้าไป แม้แต่ชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลก็ยังไม่แน่ว่าจะรอดกลับออกมาได้
มิสู้ใช้โอกาสนี้หากำไรเล็กๆ น้อยๆ ยังจะสะดวกรวดเร็วกว่า
“เฉินเฉินน้อย~” ฉินจิ่วเกอบีบเสียงเล็กเสียงน้อย ร่างอิงแอบแนบชิดพาดบ่าลั่วเฉินไว้กว่าครึ่ง ลั่วเฉินขนลุกกรุยเกรียว ใจเย็นเฉียบ
“พูดให้มันดีๆ หน่อย ไม่งั้นข้าจะตัดลิ้นเจ้า!”
ใบหน้างดงามหล่อเหลาของลั่วเฉินตึงเข้มบ่งบอกว่าไม่ได้ล้อเล่น
ฉินจิ่วเกอหายเพี้ยนในบัดดล สีหน้าเปลี่ยนเป็นคับแค้นปนหวาดวิตกเหมือนชาวบ้านที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ กล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง “สามพิทักษ์บรรพต ทำตัวเป็นเจ้าถิ่นครองภูเขา ที่พวกเราลำบากลำบนเป็นผู้ฝึกตน ทั้งหมดก็เพื่อปกป้องคนอ่อนแอกำจัดคนเลว ดังนั้นจึงไม่อาจให้พวกมันสมใจปรารถนา”
“อ้อ” ลั่วเฉินเดินเข้ามาในฝูงชน ชะโงกหน้ามองมาทางฉินจิ่วเกอ “พี่ชายขอความกรุณาด้วย”
“ทารกน้อย หากยอมส่งคนแล้วก็เงินมาพวกข้าก็จะให้เจ้าผ่าน ไม่งั้นก็ไสหัวไป อย่ามายืนเกะกะขวางทาง”
ขณะกล่าววาจา พลังขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลก็แผ่พุ่งมาทางทิศที่ฉินจิ่วเกออยู่ ผู้ฝึกตนที่มีระดับฝีมืออ่อนด้อยหลายสิบที่อยู่ไกลออกไปยังต้องหน้าเผือดซีด
ลั่วเฉินทำเหมือนพลังกดดันของอีกฝ่ายเป็นแค่อากาศธาตุ เพียงพริบตาก็ถูกมันสลายไปอย่างง่ายดาย ส่งผลให้ฝ่ายนั้นต้องระวังตัวขึ้นมา
ยอดยุทธ์ชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลางผู้นั้นได้ใช้สายตาแฝงความนัยบางอย่าง ก่อนจะหลีกทางให้อย่างนอบน้อม “พวกเราสามพี่น้องยอมรับนับถือผู้เป็นวีรชน หากท่านทั้งสองต้องการจะเข้าไป พวกข้าก็จะไม่ขวาง”
“มดปลวกแสร้งทำเป็นหมาป่าข่มขู่ผู้คน เลิกพร่ำไร้สาระได้แล้ว เอาของมีค่าในตัวออกมาให้หมด จากนั้นก็ถอดเสื้อเอามือไขว้หลังแล้วไปยืนทำตัวเรียบๆ ร้อยๆ อยู่ข้างๆ ซะ”
ฉินจิ่วเกอยามนี้มุ่งมาดมาเต็ม มันไม่มีทางเลือก พระเอกอยู่ด้านหลัง ก็เบ่งเพิ่มวงแหวนบนศีรษะไว้หน่อยจะได้มีขวัญกำลังใจในการรบ
“ฮ่าฮ่า” สามพิทักษ์บรรพตหัวเราะลั่น แทบขาดอากาศหายใจ “เด็กน้อย เจ้าเสียสติไปแล้วกระมัง พวกเราสามล้วนเป็นชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาล ทั้งไม่ได้สร้างความลำบากแก่พวกเจ้า แต่เจ้ากลับคิดหาเรื่องบิดา?”
“ดูท่า พวกเจ้าไม่มอบเงินออกมาแน่แล้ว?” ฉินจิ่วเกอทอดตามองฟ้า พวกมัน คงไม่มีวันเข้าใจชะตาฟ้าเป็นแน่
ชะตาฟ้า ก็คือตนเองไหนเลยจะกลัวการปล้นชิง พวกมันยังต้องกราบกรานแนบพื้น รอตนเองข่มเหงเสร็จสิ้นก่อนแล้วค่อยยืนขึ้น
“ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า!” เพียงหนึ่งฝ่ามือ ถล่มขุนเขาทลายปฐพี ฟาดลงใส่ดงไม้หนาทึบ
ภายในดงไม้ทึบ ปรากฏเงาฝ่ามือขนาดมโหฬารขนาดกว้างยาวสิบเมตรประทับลง ต้นไม้ใบหญ้าขาดออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย ผืนดินแปรเปลี่ยนเป็นทรายป่น คลื่นพลังปั่นป่วนกระเจิดกระเจิง
สามพิทักษ์บรรพตหน้าถอดสี พลังการโจมตีอันร้ายกาจนัก เด็กน้อยนี้แม้เป็นเพียงปราณสุริยัน ทว่าทักษะยุทธ์ของมันกลับกลั่นรูปก่อลักษณ์ขึ้นมาได้
มีเจตจำนงรูปลักษณ์ เป็นทักษะยุทธ์ระดับหกไม่ผิดแน่
“ได้ พวกข้าไม่ชื่นชอบลงมือ พวกเรามาร่วมมือกันอย่างว่าง่าย จงเชื่อฟังวาจาเอาเงินทองทั้งหมดออกมา” เมื่อสร้างความแตกตื่นตระหนกแก่อีกฝ่าย ฉินจิ่วเกอออกโองการราวสวรรค์บัญชา
“เจ้าชั่วร้ายไปแล้ว พวกเราพิทักษ์ทางเข้าตำหนักสุสาน ยังเรียกเก็บแค่คนละห้าสิบศิลาวิญญาณ”
เริ่มเกิดความไม่พอใจ เจ้าเด็กน้อยนี่ เพียงเปิดปากก็ร้องขอยิ่งกว่าพวกมันโจรภูเขาอีก
ฉินจิ่วเกอเอ่ยอย่างขมขื่นอาฆาต “พวกเจ้าซื่อเกินไปมั้ย หากเปลี่ยนเป็นข้า หนึ่งคนสามร้อยศิลาวิญญาณ จะให้หรือไม่ให้ ไม่ให้ก็ทุบตีมันสักรอบ ทุบตีจนมันคายออกมาค่อยหยุดมือ”
“สรุปแล้วเจ้ายังจะชิงทรัพย์หรือไม่?” สามพิทักษ์บรรพตไม่เอาด้วยแล้ว พฤติการณ์ของอีกฝ่ายชั่วร้ายอำมหิตสิ้นดี เป็นตัวตนแห่งปีศาจที่ไม่ว่าสุภาพบุรุษหรือคนต่ำช้าล้วนไม่อาจตอแย
“ผู้ใดชิงทรัพย์กัน เป็นพวกมันยินยอมมอบให้ข้าแต่โดยดี ยังเหลือพวกเจ้า รีบๆ ควักเอาศิลาวิญญาณออกมามอบให้ข้าด้วยความยินดีเถอะ มิเช่นนั้นข้าและศิษย์น้องคงได้แต่ต้องแสดงฝีมืออันหวือหวาออกมาอีก”
ฉินจิ่วเกอยกอ้างลั่วเฉินที่ด้านหลังขึ้นมาอย่างชาญฉลาด ลั่วเฉินแต่ไหนแต่ไรมาล้วนไม่เคยประพฤติเป็นโจรชิงทรัพย์ คนรีบซุกงำหน้าตา ถอดเสื้อคลุมที่ปักอักษรหลิงเซียวออกอย่างรวดเร็ว
หากให้อาวุโสทั้งหลายรู้ว่าตนเองอยู่ข้างนอกกระทำการข่มขู่ปล้นทรัพย์ อาวุโสสองคงพุ่งลงจากเขาหลิงเซียวเข่นฆ่าตลอดทางมายังเขาประจิม ตาเฒ่านั่นเองก็เป็นตัวตนที่ไม่อาจตอแยได้เช่นกัน
“พี่ใหญ่ วีรชนไม่เกรงกลัวเสียหน้า พวกมันทั้งสองฝีมือร้ายกาจ หากต่อยตีขึ้นมาคงไม่พ้นต้องเจ็บตัว”
“มันต้องการทรัพย์สินทั้งหมดของเรา ไม่มีความเป็นคนเอาซะเลย ขนาดโจรภูเขายังไม่โลภเท่ามัน”
“ข้าว่าพวกเราเข้าตำหนักสุสานเถอะ เข้าไปข้างในได้มรดกตกทอดมา ดูซิว่าเจ้าเด็กนั่นจะยังกล้าปากดีอีกมั้ย”
สามพิทักษ์บรรพตผ่านการถกเถียงรอบหนึ่ง ยกมือลงคะแนน หลังการศึกษาค้นคว้า ตกลงใจเข้าไปภายในตำหนักสุสานเพื่อสำรวจ
สำหรับฉินจิ่วเกอที่ตีฆ้องร้องป่าวอยู่ด้านข้าง สามพิทักษ์บรรพตเร่งทะยานผ่านเข้าสู่ภายในตำหนักสุสานด้วยความเร็วขั้นสูงสุด หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“พบกันคราวหน้า ล้างคอรอพวกข้าได้เลย!”
สามพิทักษ์บรรพตทิ้งวาจาไว้ ไม่ต่างกับการตบหน้าท่านแล้วสะบัดก้นจากไป ฉินจิ่วเกอตะลึงจนโง่งม เนิ่นนานค่อยด่าออกมาด้วยความฉุน “กระรอกผายลมวิ่งหนีไร้ศักดิ์ศรี เจ้าพวกสามพิทักษ์บรรพตอะไรนี่ เปลี่ยนชื่อเป็นสามแม่ครัวไปเถอะ”
ผู้ที่เฝ้ามองความครึกครื้นอยู่วงนอกต่างชื่นมื่นตาบาน พวกมันต่างก็ไม่พอใจพฤติการณ์ของสามพิทักษ์บรรพต ยามนี้ฉินจิ่วเกอข่มขู่พวกมันหลบหนี นับเป็นตัวอย่างแห่งการขับไล่คนพาลอภิบาลคนดีที่แท้จริง
แต่แล้วเสียงหัวเราะรื่นเริงในที่เกิดเหตุก็ค่อยๆ ซาลง ผู้คนต่างใช้สายตาหวาดกลัวมองมาทางฉินจิ่วเกอ ขยับตัวเว้นระยะห่างจากตำแหน่งของลั่วเฉิน คล้ายคนทั้งสองต่างติดเชื้อโรคระบาด
แววตาฉินจิ่วเกอแปรเปลี่ยนกลับกลาย ทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งชั่วร้าย ยิบหยีราวปรสิตคิดหวังเงินทอง
หักกิ่งไม้ขวางทางเดิน “ทางนี้เป็นข้าบุกเบิก ไม้ต้นนี้ข้าเป็นคนปลูก ใครคิดผ่านเส้นทางนี้ ต้องจ่ายค่าผ่านทางมา”
ในบรรดาฝูงชน ผู้เฒ่าปราณสุริยันขั้นสูงสุดท่านหนึ่งเดินไพล่หลังเข้ามา ประสานมือกล่าวว่า “ขอถามชายชาตรีท่านนี้ วาจาที่เจ้ากล่าวเมื่อครู่ หมายความว่าอย่างไร?”
“ผู้เฒ่าสายตาไม่เลว มิผิด ข้าคือชายชาตรี”
ฉินจิ่วเกอรูปงามหน้าเหม็น ถามโดยปราศจากความละอาย “ผู้เฒ่าคิดว่าอักษรนี้เป็นอย่างไร?”
ผู้ชราทรงภูมิความรู้ทางอักษรศาสตร์ ต้องเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ “ไม่ต่างจากสุนัขตะกาย ผู้ที่ขีดเขียนอักษรอัปลักษณ์บิดๆ เบี้ยวๆ นี้ สมควรถูกตีสักรอบ เป็นตัวอย่างแก่ผู้คน”
มันเห็นฉินจิ่วเกอหน้าดำทะมื่น คล้ายใกล้ระเบิดอารมณ์ลงมือลงไม้ ต้องเปลี่ยนวาจา “ทว่าตัวอักษรแฝงความอาจหาญ แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้วีรบุรุษ โอ่อ่าผ่าเผย มีเพียงชายชาตรีจึงสามารถมีท่วงทำนองเช่นนี้”
“ไหนเลยๆ” ฉินจิ่วเกอลูบผมเผ้าดำขลับข้างใบหู ยื่นฝ่ามือขาวราวหยกสลักออกมา “ส่งมาเถอะ”
“ส่งอะไร?” ผู้เฒ่าหนังตาเต้นกระตุกอย่างแรง มีเรื่องแล้ว
ฉินจิ่วเกอทอดถอนใจ เอ่ยอย่างเจ็บปวดรวดร้าว “ท่านในเมื่อรู้ว่าข้าคือชายชาตรี สมควรเข้าใจว่าชายชาตรีล้วนต้องรับประทานข้าว ขออภัยยิ่ง ท่านถูกข้าจับเป็นตัวประกัน ห้ามส่งเสียง ห้ามถอดเสื้อ ห้ามแจ้งความ เอาเงินออกมาให้หมด สองมือไว้เหนือศีรษะ นั่งลงเป็นแถว”
“อะไรนะ?” ผู้ชรามองฟ้าทอดถอนใจยาวเหยียด สองมือสั่นสะท้านรุนแรง ชัดเจนว่ามันไม่ยินดีอย่างยิ่ง
“มีได้ต้องมีเสีย เป็นวัฏจักรตามธรรมชาติ เงินทองล้วนเป็นของนอกกาย ข้าช่วยเหลือเจ้ารับฝากไว้ ผ่านไปสักพักดอกเบี้ยงอกเงยค่อยคืนให้แก่พวกเจ้า” ฉินจิ่วเกอไม่ต่างจากทารกต้องการอั่งเปาเจื้อยแจ้วไม่หยุด ทว่าสีหน้าแววตาชั่วร้ายดั่งจิ้งจอก ยังร้ายกาจกว่าสามพิทักษ์บรรพตอะไรนั่นอีก!
ฝูงชนล้วนตะลึงลาน ไม่มีใครคาดคิด เพิ่งออกจากรังแมงมุม กลับเข้าสู่ถ้ำเสือ
ลั่วเฉินสัมผัสได้ถึงการชี้มือชี้ไม้ของฝูงชนจากด้านหลัง คนมิอาจไม่เร่งรีบขวางปากปีจอของฉินจิ่วเกอไว้ก่อน “ขออภัยทุกท่าน ศิษย์พี่ของข้าสมองป่วยไม่ปกติ เคยเดินชนประตูเหล็กจนสมองหล่นหาย เมื่อครู่มันพูดจาเหลวไหลเลอะเทอะ ขอทุกท่านโปรดอย่าได้ถือสา”
“อ้อ”
ฝูงชนต่างผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมกัน ที่แท้เป็นเช่นนี้
ที่จริงก็ไม่ผิด จักรวาลสว่างแจ้ง ยังมีโจรร้ายขัดขวางทาง นับว่าไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว
.
.
.