เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 78 หยิบยืมพลังสวรรค์
เพราะการกลับมาของฉินจิ่วเกอ ศิษย์น้องเล็กจึงนอนหลับอย่างสงบใจ ท่าทางสงบสุขยิ่ง
ฉินจิ่วเกอค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากห้องไผ่อย่างเงียบเชียบที่สุด แววตาอ่อนโยน เอ่ยเสียงนุ่ม “มีศิษย์พี่คนนี้อยู่ เจ้าสามารถเชิดหน้าชูตาไปทุกแห่งหนบนโลกนี้ ไยต้องหวาดกลัวต่อสายตาผู้คนอีก? ”
เดินมาถึงยอดเขา สายลมอ่อนโชยพัดผ่าน ฉินจิ่วเกอยกมือถูตาที่อ่อนล้าของตนเอง จ้องมองแสงสว่างบนท้องฟ้าที่ให้ความสว่างไปทั่วทั้งพรรคหลิงเซียว
“ใกล้สว่างแล้วหรือนี่? ” แสงสว่างโรยตัวลงมา ดาราจันทราซ่อนตัวอยู่ในทะเลแห่งดวงดาว อากาศรอบด้านอุ่นขึ้นเล็กน้อย และค่อยๆ ร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ถูกต้อง อีกสักพักถึงจะเป็นรุ่งสาง แล้วจะไปมีดวงตะวันโผล่ออกมาได้ยังไง?
ฉินจิ่วเกอเบิกตาโง่งม ก่อนจะพบว่าต้นกำเนิดของแสงสว่างที่ว่า กลับมาจากหลังเขาของพรรคหลิงเซียว!
ท่ามกลางป่าไม้รกครึ้มบนหลังเขา ไม่ทราบเกิดกองเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นตั้งแต่เมื่อใด!
บนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อเย็นผุดซึม แผ่นหลังเปียกชุ่ม
มารดามันเถอะ ที่อยู่ๆ ก็เกิดไฟไหม้ป่าเช่นนี้ คงจะไม่ใช่ฝีมือของโคมลอยที่ข้าจุดเมื่อครู่หรอกนะ?
เดิมทียังคิดว่าโคมลอยนั้นช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นของเล่นที่ประหยัดต้นทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโลกอันแปลกประหลาดแห่งนี้ คนที่นี่ล้วนงมงายอยู่กับการฝึกปรือวิชา แม้แต่ของธรรมดาๆ อย่างโคมลอยก็ยังไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน
ดังนั้นฉินจิ่วเกอจึงคล้ายอาบไล้ด้วยแสงแห่งพุทธะพร้อมบังเกิดการตรัสรู้ พลันรู้สึกขึ้นมาเดี๋ยวนั้นว่าโคมลอยก็คือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการเกี้ยวสตรี ช่วยให้บุรุษได้อิงแอบแนบชิดกับสตรีในห้วงฝันพร้อมปล่อยโคมลอยไปด้วยกัน
จนกระทั่งเกิดไฟไหม้ลุกลามบนหลังเขานั่นแหละ จากที่ไหม้เป็นหย่อมเล็กๆ เพียงพริบตาก็กระพือโหมจนต้านไว้ไม่อยู่อีก
ไฟ.. ไฟไหม้ใหญ่แล้วเจ้าข้าเอ๊ย
บริเวณหลังเขาแทบครึ่งหนึ่งล้วนจมอยู่ในทะเลเพลิง ท้องฟ้าครึ่งแถบกลายเป็นสว่างโร่เหมือนฟ้าแจ้ง ใครไม่รู้คงนึกไปว่าดวงตะวันขึ้นก่อนเวลา
ฉินจิ่วเกอที่กำลังจะงานเข้าย่อมไม่โง่ถึงขนาดร้องป่าวประกาศว่าไฟไหม้ ทำเช่นนั้นมีแต่จะชักภัยเข้าตัวเสียเปล่า ตอนนี้ทางรอดที่ชาญฉลาดที่สุดย่อมต้องเป็นการสะบัดชายเสื้อจากไป เก็บซ่อนความสำเร็จและชื่อเสียงในครั้งนี้เอาไว้อย่างถ่อมตัว
ฉินจิ่วเกอที่มีความผิดติดตัวยามนี้กลับสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง คนค่อยๆ แอบกลับเข้าห้อง ย่องขึ้นเตียงแกล้งทำเป็นหลับอุตุ
แล้วอยู่ๆ มันก็นึกถึงสโลแกนอย่างหนึ่งขึ้นมา: ขึ้นเขาจุดไฟลามทุ่ง ลงเขาเข้ากรงติดตาราง
ฉินจิ่วเกอเป็นคนดีของสังคม มันยังต้องหยอกเย้าเป็นเพื่อนเล่นให้แก่ศิษย์น้องเล็กของมัน ยังต้องเปิดอกคุยกับตัวละครเอกของเรื่อง ยังต้องไปหาเจ้าอ้วนน่าตายเพื่อถกเถียงถึงปัญหาชีวิต
ศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวมีงานล้นมือให้ต้องทำ เป็นคนที่มีอุดมการณ์ มันไม่อยากเข้าคุก
ที่พำนักของอาวุโสสามบังเอิญตั้งอยู่บนหลังเขาพอดี ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือโชคชะตากลั่นแกล้ง แต่ที่พำนักของมันในเวลานี้กำลังเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีให้กับเพลิงไหม้ในคราวนี้
อาวุโสสามที่กำลังนอนหลับฝันดีน้ำลายไหลย้อยอยู่นั้น ในความฝันของมันอยู่ๆ ก็สว่างเจิดจ้าเหมือนแดนสุขาวดี ทั้งยังได้กลิ่นเนื้อย่างลอยโชยมาชวนให้บังเกิดความรู้สึกผ่อนคลายอย่างผาสุก
อาวุโสสามลืมตาตื่น กลืนน้ำลายเอื๊อกๆ เริ่มมองหาต้นตอของกลิ่นเนื้อย่างหอมฉุยนั้น
มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเปลวเพลิงส่ายไหวไปมาคล้ายกำลังโบกมือทักทายให้มัน ภายในห้องร้อนรุ่มดั่งเตาอบ เทียบกับการไปยืนอยู่บนดวงอาทิตย์แล้วยังร้อนลวกกว่า
อาวุโสสามไม่เสียทีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก มันคาดการณ์ได้ทันทีว่าไฟนรกนี้เกิดจากน้ำมือของมนุษย์!
อาวุโสสามผู้ที่กำลังถูกย่างสดอย่างไม่เป็นธรรมได้แต่ตะกายกำแพงห้องอย่างทุรนทุราย สารรูปน่าดูชม เปลวเพลิงสีแดงดั่งลาวาหลอมเหลวพร้อมที่จะแผดผลาญหัวใจดวงน้อยๆ ของอาวุโสสามให้มอดไหม้เป็นจุณ
ที่พำนักของอาวุโสสี่อยู่ห่างจากอาวุโสสามไม่มาก พอเห็นไฟป่าจากที่ไกล อาวุโสสี่ก็ปีนออกจากห้องมายืนชมสถานการณ์ด้วยความยำเกรง
สวรรค์ลงทัณฑ์เจ้าแล้ว อาวุโสสี่อยากให้อาวุโสสามถูกไฟเผาจนเป็นหมูย่างไปเลยด้วยซ้ำ ทุกวันมันต้องอดทนกับกลิ่นเงินที่โชยมาจากตัวอีกฝ่าย ต่อจากนี้อีกฝ่ายจะไม่มีโอกาสให้ได้ตอแยตนเองอีกแล้ว
ใครมันช่างจุดไฟ อยากจะยกนิ้วให้จริงๆ!
อาวุโสสี่นั่งยองๆ อยู่บนหลังคา แม้คลื่นระอุร้อนจะพุ่งมาปะทะตัว หากสีหน้ากลับสุขีจนแทบจะบินได้อยู่แล้ว
เรื่องนี้เกิดจากลูกศิษย์ของมันเอง แต่ลูกศิษย์ของมันจะต้องไม่ได้ตั้งใจ เพียงต้องการหาลูกสะใภ้ให้กับตนเองต่างหาก
อาวุโสใหญ่ผู้ประคบประหงมฉินจิ่วเกอทำเป็นมองข้ามความผิดในครั้งนี้ของมันไป แกล้งทำเป็นหลับใหลไม่คิดออกไปสะสางเรื่องราว
อาวุโสสองพอเห็นอาวุโสสามติดอยู่ในกองเพลิงก็รีบถือตะกร้าวิ่งเข้ามาสาดโครมลงใส่เปลวเพลิง ที่สาดไปไม่ใช่น้ำ แต่เป็นมันหวาน จากนั้นมันก็ถูมือไปมาก่อนเดินกลับไปเข้านอน ไม่สนว่าศิษย์ร่วมพรรคจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง
พรรคหลิงเซียวอันกว้างใหญ่ อาวุโสใหญ่เข้านอนไปแล้ว อาวุโสสองก็ร่ำสุราเมามาย อาวุโสสี่นั่งชมความสนุกอยู่บนหลังคา ศิษย์พี่ใหญ่แสร้งทำเป็นหลับอยู่บนเตียง
ทุกคนรักใคร่สามัคคีปรองดอง ภายในทะเลเพลิง แว่วเสียงตะกายกำแพงอย่างคนไร้ทางออกของอาวุโสสามดังลอดมา แม้แต่หนวดเคราคิ้วขนงก็ยังถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่าน
ส่วนศิษย์ฝ่ายนอกนั้น พวกมันต่างก็คิดไปว่าอาวุโสของพรรคคงกำลังฝึกวิชาเทพอะไรบางอย่างอยู่ จึงไม่มีใครตะโกนขอความช่วยเหลือ ดังนั้นทุกคนจึงกลับไปฝึกวิชากันต่อ ไม่มีใครลงมือทำอะไร
สวีเซิ่งที่เพิ่งเข้าร่วมพรรคหลิงเซียวได้หมาดๆ กำลังจะวิ่งออกไปช่วยดับเพลิง พูดก็พูดเถอะ สวีเซิ่งผู้นี้ช่างเป็นคนที่ซื่อสัตย์ถือคุณธรรมจริงๆ
“หยุดมือ!”
อาวุโสสี่จู่ๆ ก็มาโผล่อยู่ต่อหน้าสวีเซิ่งดั่งภูตผี ในมือถือมันหวานที่ย่างได้ไม่ดิบไม่สุกจนเกินไปไว้ลูกหนึ่ง อ้าปากกัดเคี้ยวกร้วมๆ
“ต้าซือ ท่านรีบไปดับไฟเร็วเข้า ไฟลุกลามใหญ่แล้ว”
สวีเซิ่งเห็นอีกฝ่ายมายืนขวางทางตน ระดับฝึกปรือแม้ไม่สูง แต่ทั่วร่างมีกลิ่นอายสมุนไพรของนักปรุงยาแผ่กระจายออก กระทั่งเหนือล้ำกว่านักปรุงยาระดับห้าเพียงหนึ่งเดียวของเมืองซวนอู่เสียด้วย
พรรคหลิงเซียว ที่แท้กลับลึกล้ำเกินคาดหยั่งปานนี้!
อาวุโสสี่ทนความร้อนจากมันหวานด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ ฉีกยิ้มกว้างขวาง อ้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่หยุด “จะแตกตื่นไปไย คนที่ทำการใหญ่จำต้องหนักแน่นสุขุมเอาไว้ อย่างที่เรียกกันว่าเก็บงำดั่งมังกรเร้น เคลื่อนไหวดั่งภูตพราย ไม่ใช่ว่านั่นก็แค่เพลิงเล็กๆ หรอกรึ ที่พำนักของข้าแทบจะอยู่ติดกับที่เกิดเหตุด้วยซ้ำ แต่เจ้าเห็นข้าร้อนรนรึเปล่าล่ะ? ”
ได้มาเห็นนักปรุงยาที่เทียบกับกลั่นดวงธาตุแล้วยังร้ายกาจกว่า ซ้ำยังเป็นนักปรุงยาที่อยู่เหนือนักปรุงยาระดับห้า อานุภาพสามารถึงดูดกลั่นดวงธาตุเจ้าต่อยตีได้ในพริบตา
สวีเซิ่งยิ่งมายิ่งอิจฉาฉินจิ่วเกอและลั่วเฉิน พรรคสำนักที่อุดมด้วยอาวุโสยอดยุทธ์ ตนเองคิดเข้าร่วมสำนัก อีกฝ่ายยังตั้งข้อรังเกียจตนเองอายุมากเกินไป ได้แต่ทำเรื่องประเภทตัดฟืนหาบน้ำเท่านั้น
“ต้าซือสูงส่งยิ่ง รัศมีราวมังกรพยัคฆ์ ลึกล้ำสุดหยั่งถึง!”
สวีเซิ่งเกากบาล มันยืนอยู่นอกกองไฟ เริ่มทดลองประจบสอพลอ
อาวุโสสี่จุดเตาปรุงยามาร่วมเดือนกว่าแล้ว ใบหน้าถูกเผาจนเทาเกรียม ทั่วร่างมีแต่ฝุ่นขี้เถ้า ครั้งแรกที่พบเห็นก็รู้จักพูดจาถึงเพียงนี้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง
“อืม ดีมาก” อาวุโสสี่หยีตา รอคอยสวีเซิ่งสรรเสริญต่อ
“ต้าซือ ไม่ช่วยดับไฟจริงๆ?”
สวีเซิ่งรู้สึกคล้ายในกองไฟที่แผดผลาญชัชวาลโชติช่วงอยู่นั้น แว่วเสียงคนร้องให้ช่วยมาเป็นระยะๆ ใจกลางกองเพลิงสมควรร้อนนับพันองศา หมื่นพันแมกไม้ถูกเปลวไฟลามเลียเลื้อยยาวเป็นมังกรเหินร่อนสู่ฟ้า ตระการตายิ่ง
อาวุโสสี่ลูบเครายาว จากนั้นคุ้ยเอามันหวานจากกองไฟออกมาอีกคำรบ ยังใจกว้างแบ่งให้สวีเซิ่งครึ่งหนึ่ง สวีเซิ่งรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ค่อยๆ ละเลียดชิมทีละคำ ไม่กล้ารับประทานหมดเร็วเกินไป
“กลัวอะไร” อาวุโสสี่กล่าว “เจ้าเฒ่านั่นก็แค่ขี้เกียจ ดีซะอีกที่มีไฟไหม้หอบใหญ่ จะได้ช่วยยืดเส้นยืดสายให้กับมัน ไม่อย่างนั้นทุกวี่วันรับประทานอิ่มหนำแล้วต้องมาหาเรื่องข้า เผาได้ดี ดีที่สุดคือเผาเดรัจฉานนี่ให้ตายไปเลย!”
อาวุโสสี่ด่าทออย่างหรรษา ด่าทอจนน้ำลายแตกฟองกระเซ็นเต็มหน้าสวีเซิ่ง
ยามนี้ทะเลเพลิงกินวงรัศมีนับพันเมตร หมื่นมวลไม้กำลังถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน อุณหภูมิสูงจนแม้แต่ยอดฝีมือหนึ่งดวงธาตุอย่างมันยังรู้สึกร้อนลวก แผ่นหลังหลั่งเหงื่อโชก มารดามันเถอะ พวกมันเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง มิใช่ศัตรูฆ่าบิดาใช่ไหม?
อาจารย์นักปรุงยาผู้ทรงเกียรติ ไม่ว่าไปที่ใดล้วนมีแต่คนประเคนสิ่งของให้ แต่จากปากคำของอาวุโสสี่ ไฉนคล้ายยังมีคนสร้างความลำบากแก่มันได้?
ในใจของสวีเซิ่งเข้าใจว่านักปรุงยาไม่ต่างจากองค์หญิงน้อยซึนเดเระ มือถือสากปากถือศีล ของมีค่าใดๆ ล้วนบอกว่าไม่เอาไม่เอา
หากเป็นผู้ฝึกตนอิสระเช่นสวีเซิ่งผู้ไร้คนหนุนหลัง นักปรุงยาขั้นสี่ผู้หนึ่งพบเจอมันยังเชิดจมูกขึ้นสูงชัน อวดเบ่งวางก้าม
สวีเซิ่งตรัสรู้แล้ว เทพเซียนสัประยุทธ์ มันที่เป็นคนธรรมดาอย่าเข้าไปสอดจะดีที่สุด
ดูท่าทางยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่นจากอาวุโสสี่ที่แทบจะโบกพัดสุมไฟใส่กองเพลิงเข้าไปอีกทบทวีแล้ว สวีเซิ่งมีเหตุผลให้ระแวงสงสัยว่าเป็นมันเองที่วางเพลิงใส่อีกฝ่าย ช่างเป็นถ้ำเสือวังมังกรโดยแท้
อาวุโสสามถูกมหาอัคคีภัยบีบคั้นจนขึ้นสวรรค์ก็ไร้ทางลงนรกก็ไร้ประตู ในใจเย็นเยียบ สิ้นหวังไร้ทางออก
“บัดซบ ล้วนลงนรกกันหมดแล้วหรือไร?” กำลังเสริมที่รอเท่าไหร่ก็ไม่มา พรรคหลิงเซียวนี้ฮวงจุ้ยปีศาจชัดๆ เช้ายันเย็นแม้แต่สุนัขสักตัวยังไม่เคยโผล่หางออกมา คงไม่ต้องพูดถึงหน่วยกู้ภัยใดๆ แล้ว
ตรงจุดนี้ ฉินจิ่วเกอตระหนักซาบซึ้งถึงทรวงใน ครั้งก่อนที่เจ้าอ้วนน่าตายชนมันตกถังส้วมไป หากมิใช่ตนเองมีไหวพริบปฏิภาณดี เกรงว่าป่านนี้คงถูกดองอยู่ในหลุมอุจจาระไปแล้ว
อาวุโสสามกลับไม่มีคุณลักษณะบ้าๆ บอๆ เหมือนอย่างฉินจิ่วเกอ เมื่อรู้ว่าตนเองกำลังจะถูกย่างจนกลายเป็นขี้เถ้า คนก็เหวี่ยงความเคอะเขินทิ้ง สำแดงวิชายิ่งใหญ่ ดวงธาตุทองคำเข้มแข็งไร้ผู้ต้าน เชื่อมต่อทั้งฟ้าดิน
ความในใจของอาวุโสสามในยามนี้ไม่ผิดไปจากฉินจิ่วเกอในวันนั้น โลกหล้าอันเย็นชา น้ำใจคนแห้งแล้งนัก!
“เคลื่อนสวรรค์!” ขานออกสองคำ กึกก้องสะท้านทั่วท้องฟ้า
ที่จริงไม่ต้องถึงรอบอาวุโสสามลงมือ เพียงเจตจำนงของกลั่นดวงธาตุอันไร้ผู้ต้าน เหินทะยานออกภายนอกพรรคหลิงเซียว หยุดลงที่แม่น้ำยาวขุนเขาเขียว
แม่น้ำฉางซาน ห่างจากพรรคหลิงเซียวหนึ่งพันเมตร สายมหานทีอันยิ่งใหญ่ไพศาล
สองฟากฝั่งสดใสตระการ ควันเมฆล่องลอยฟุ้ง สายลมโรยระรื่น เป็นสถานที่สันโดษกักตนที่ดียิ่ง
ดึกดื่นค่อนคืน แม่น้ำฉางซานเกิดความเคลื่อนไหว ใต้ผิวน้ำดำมืดที่เงียบสงัด มวลน้ำมหาศาลนับหมื่นจินไหลโกรกเชี่ยวกรากไม่หยุดยั้ง
แม่น้ำกว้างร้อยเมตร ยาวสามพันลี้ นี่คือแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้
อาวุโสสามกลับมิได้เคลื่อนไหวร่างกาย สังขารของมันอยู่ท่ามกลางกองไฟ สรรพชีวิตล้วนเผาไหม้เป็นจุล
หลงเหลือเพียงอาวุโสสาม อาภรณ์ไม่ขยับไหว สุขุมเยือกเย็นยิ่ง
อาศัยพลังจิตเหินร่างไปถึงแม่น้ำฉางซาน อาวุโสสามต้องใจกระตุก แม่น้ำอันเชี่ยวกรากนัก จากนั้นหยุดร่างลง
ฟ้าดินแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดงัน สายน้ำไร้สรรพเสียง อาวุโสสามค่อยๆ ขับเคลื่อนความคิด มวลมหานทีครึ่งสายถูกยกขึ้นจากพื้น ลอยขึ้นสู่อากาศ
พลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องออกท่าออกทาง เพียงหนึ่งความคิด ก็สามารถพลิกฟ้าคว่ำปฐพี ทุกอย่างล้วนสามารถ
กลั่นดวงธาตุถูกเรียกเป็นยอดคนเหนือหล้า ก็เพราะพลังอำนาจพลิกขุนเขาคว่ำสมุทรเช่นนี้เอง
ในรอบพันปี สายนทีที่ไหลหลั่งไม่ขาดสาย วันนี้ต้องหยุดลงชั่วขณะ ท้องน้ำค่อยถูกเติมเต็มจากสายน้ำอีกครั้ง ถะถั่งถาโถมต่อเนื่องต่อไป
มวลน้ำครึ่งสายถูกแขวนลอยไว้กลางอากาศเหนือท้องฟ้าพรรคหลิงเซียวหนึ่งพันเมตร ก่อนสาดเทลงเบื้องล่างดั่งทางช้างเผือก
อุณหภูมินับพันองศา ถูกน้ำตกมหาศาลราดรดลงยังขุนเขาร้อนลวกแผดเผา กลายเป็นกลุ่มควันลอยฟุ้งขึ้นเบื้องบนเหมือนควันน้ำอุ่นจากฝักบัว
ชั่วระยะเวลาสั้นๆ อาวุโสสามใช้พลังจิตยกสายน้ำหนักนับหมื่นตันค้างไว้กลางอากาศ ค่อยๆ เทลงเบื้องล่าง
สวีเซิ่งในที่ไกลตะลึงลานไปนานแล้ว นั่นมันมวลน้ำมหาศาล ล้วนถูกเทลงมาในทีเดียว แม้แต่ตัวมันเองยังต้องแตกตื่นต่อสายน้ำที่ถูกยิงลงมา
อาวุโสสี่ทอดถอนใจ คนดีอายุสั้น คำสาปอยู่ยั้งนับพันปี!
อาวุโสสามไม่ตาย ทั้งยังจิตใจแจ่มใสยิ่ง
อาวุโสสี่เก็บมันหวานที่ถูกเผาขึ้นมาจากเศษซากกองไฟ จากนั้นเอาไปแบ่งสันปันส่วนกับอาวุโสสอง ทอดทิ้งสวีเซิ่งให้ยื่นอย่างโง่งมที่ตรงนั้น ปากอ้าค้าง
แม่น้ำครึ่งสายถูกใช้ดับไฟ เมื่อทิ้งลงใส่กองไฟที่เหมือนจะไม่อาจดับลงได้ เพียงไม่กี่วินาทีก็มอดลงสิ้น ทั่วบริเวณกลับคืนสู่ความปกติ
ความร้อนแปรเปลี่ยนเป็นไออย่างรวดเร็ว หลังเขาที่ถูกเผาไหม้จนดำเกรียม กลุ่มไอควันระเหยฟุ้งขึ้นสู่เบื้องบนอากาศ พริบตาก็เกิดฝนพรำลงมา
กลั่นดวงธาตุคือความน่ากลัวระดับนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงระดับเหนือขึ้นไป กฎสรรพสิ่งที่หยั่งทราบได้ของตัวประหลาดกฎสรรพสิ่งพวกนั้น
เพียงแต่ไม่มีผู้ใดบรรลุขอบเขตกฎสรรพสิ่ง ขอเพียงพวกมันขยับเคลื่อนไหว ห้วงมิติล้วนล่มสลาย ผืนแผ่นดินพังทลายสิ้น!
อาวุโสสามที่รอดพ้นความตาย ดับไฟป่าบนเขาไปอย่างฉิวเฉียดโมโหโกรธายิ่ง เริ่มการตามล่ามือวางเพลิง
อาวุโสสามเป็นคนดี ทว่าคนดีก็มีขีดจำกัด
.
.
.