เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 8 ทำดีไม่ขึ้น
ยังไม่ทันกล่าวจบคำ คนต้องพลันติดคอขึ้นมา หน้าตายับย่นดูไม่ได้
พับผ่า ดันลืมไปว่าตนเองตอนนี้ถังแตก เปรียบกับขอทานตามข้างถนนยังยากจนยิ่งกว่า
ด้วยสถานการณ์ยามนี้ เกรงว่าเกิดใหม่อีกแปดชาติยังไม่อาจชำระหนี้ได้
ดูสิ สีหน้าของเจ้าอ้วนนั่น ราวกับสวาปามแมลงวันเข้าไปอย่างไงอย่างงั้น
เดิมทีคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่พลันรู้สึกสำนึกตนขึ้นได้ ที่ไหนได้ตนเองคิดมากเกินไป หลงดีใจเก้อไปรอบหนึ่ง
“แน่นอนว่า เงินหนึ่งเหมาบีบบังคับวีรบุรุษตกตาย” ฉินจิ่วเกอทอดตามองท้องฟ้า “เจ้าอ้วน เจ้าช่วยข้ารวบรวมรายชื่อผู้ที่ถูกข้าเอาเปรียบ จากนั้นค่อยคำนวนความเสียหายของศิลาวิญญาณออกมา”
“เอาจริงหรือ?” เจ้าอ้วนน่าตายดีอกดีใจคล้ายค้นพบทวีปใหม่
“ไร้สาระ ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ ก่อนหน้านี้ข้าเคยเอามาเท่าใด ยามนี้จะคืนกลับไปให้อีกเท่าหนึ่ง” ในใจของฉินจิ่วเกอบังเกิดโลหิตหยดหยาด ต้องกล้ำกลืนกลับไปด้วยรอยยิ้ม
เจ้าอ้วนน่าตายยื่นนิ้วอวบสั้นราวแครอทของตนออกมา นับคำนวนอย่างรอบคอบ “ศิษย์พี่ใหญ่ หากข้านับไม่ผิด ท่านติดค้างศิลาวิญญาณข้าไว้สามสิบสองชิ้น รวมแล้วประมาณสองจิน”
เจ้าอ้วนน่าตายยังเอ่ยต่ออย่างอ่อนโยน ลดราคาให้แก่ศิษ์พี่ใหญ่ “หรือไม่ท่านไปลองทบทวนดูก่อน ค่อยคืนให้ข้า? ศิษย์น้องเองก็ไม่ใช่เห็นแก่ได้ คืนมาสามสิบชิ้นก็พอแล้ว”
“โขลกๆๆ” ฉินจิ่วเกอแทบกระอักโลหิตทั้งปากทั้งจมูก “ค่อย ค่อยว่ากันทีหลังเถอะ เจ้าเอารายชื่อมาให้ข้าดูก่อนแล้วกัน ว่าแต่แถวนี้มีที่ไหนรับซื้อไตบ้างไหม?”
ขณะกล่าววาจา ฉินจิ่วเกอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน บังเกิดความคิดเอาตัวเข้าแลกขึ้นมา
“ขายตัว?” เจ้าอ้วนคาดไม่ถึงจริงๆ ศิษย์พี่ใหญ่ถึงขั้นจะแล่เนื้อตัวเองออกมาขาย มิใช่รสชาติเหม็นโฉ่ไปหน่อยหรอกหรือ?
“ขายไตต่างหาก เจ้าโง่!” ฉินจิ่วเกอเตะออกหนึ่งเท้า ส่งร่างเจ้าอ้วนน่าตายปลิวออกไป “ไปเขียนรายชื่อมาเร็วๆ ข้าจะรีบไปขายไต”
ตัวแบกความผิด ฉินจิ่วเกอเดินใจลอยกลับไปยังนอกห้องพักของตนเอง
ชายหนุ่มหยุดยืนหน้าประตู ทุบอกตนเอง “เป็นเพราะแกนั่นแหละไอ้ตัวไม่ได้เรื่อง ฮุบเอาสิ่งของผู้อื่น ยังเดือดร้อนให้บิดาต้องมาชดใช้!”
น่าเสียดาย เจ้าของร่างผู้นี้วิญญาณแตกดับไม่เหลือซากไปนานแล้ว ไม่อาจได้ยินคำรำพันของฉินจิ่วเกอ
มองดูที่พำนักอันเก่าโทรมของตนเอง ตะไคร่งอกปกคลุม หญ้ารกเรื้องอกเงย มุมกำแพงมีหยากไย่ใยแมงมุมถักทอ ยังฝุ่นหนาทึบนั่นอีก
เยี่ยมเยียนพำนักสถาน หวนรำลึกถึงมาตุภูมิ เพียงหวั่นคำครหา ความโดดเดี่ยวท่วมท้น เจ็บปวดทรมานสุดแสน
ไม่รอฉินจิ่วเกอเปิดประตู บานไม้กลับบังเกิดเสียงดังขึ้น เปิดออกด้วยตนเอง
“โอมมม โปเยโปโลเย” คนล่าถอยไปเจ็ดแปดก้าวค่อยหยั่งเท้ามั่น ชายหนุ่มประสานเคล็ดฝ่ามือ ตระเตรียมจัดการภูติผีที่ซ่อนอยู่ในห้อง
ภายในห้องบังเกิดเสียงฝีเท้าดังลอดมา ในความมืดมิใช่ภูติผีที่โผล่ออก หากแต่เป็นภูติน้อยตนหนึ่ง
“ศิษย์น้องเล็ก?” ฉินจิ่วเกอคาดไม่ถึง ภายในห้องพักของตน กลับเป็นตกฟางฉิงอวี่อยู่ภายใน
ตงฟางฉิงอวี่ราวผีเสื้อร่ายระบำ ทีเดียวคว้าจับมือของฉินจิ่วเกอไว้ได้ “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไม่สบายหายดีแล้วหรือไม่?”
ฉินจิ่วเกอพลันร้องโอดโอย มือยกกุมหัวคล้ายคนป่วยหนักปางตาย “ยังๆ อาการหนักหนานัก โอ๊ะโยะโหย ข้าปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว”
ศิษย์น้องเล็กปล่อยมือจากฉินจิ่วเกอ ยืนมองด้วยสายตาเย็นชาจากระยะประชิด ดูว่าฉินจิ่วเกอจะสามารถแสดงต่อได้อีกสักกี่น้ำ
ไม่กี่นาที ชายหนุ่มไม่อาจทำท่าต่อไปได้ ได้แต่ลดมือลงยอมแพ้แต่โดยดี
“เสร็จแล้ว?”
“เสร็จแล้ว” ฉินจิ่วเกอตอบอย่างว่าง่าย
“ไป เล่านิทานให้ข้าฟัง”
“นิทาน?” คำพูดของศิษย์น้องเล็กกระตุ้นเตือนเขาขึ้นมาได้
ใช่แล้ว เขาสามารถเล่านิทานหาเงิน ยังไงก็ดีกว่ารอเงินหล่นจากฟ้าล่ะ
“ศิษย์น้อง บอกข้ามา นิทานเรื่องเจ้าหญิงหิมะขาว เจ้าได้เล่าให้คนอื่นฟังบ้างหรือไม่?”
“แน่นอน” ตงฟางฉิงอวี่ถูไม้ถูมือ “ข้ากลับไปก็เล่าให้ผู้อื่นฟัง ผู้คนล้วนชมชอบ”
“สวรรค์คุ้มครองแล้ว ตลาดตอบรับดีไม่น้อย ดูท่าแล้วข้าสามารถเอาดีในสายนิยายได้จริงๆ”
ไม่ง่ายเลย ในที่สุดก็มีแสงสว่างที่ปลายขอบฟ้า
ถูกบีบเข้าตาจน ในที่สุดก็พบทางออก ฉินจิ่วเกอพบพานหนทางใหม่ในชีวิต…
ไม่ทราบเพราะสาเหตุใด อาวุโสสี่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องอุบัติเหตุวันก่อนอีก ดูแล้วไม่มีทีท่าล้างแค้นเอาคืน
เมื่อผู้เสียหายไม่ต้องการค่าทำขวัญ ฉินจิ่วเกอก็ไม่มีความสนใจวิ่งพล่านหนีไปที่ใดอีก คนเข้าห้องหับสะสางวัตถุดิบเพื่ออุตสาหกรรมนิยายของตน
เล่านิทานไม่ผ่าน กลุ่มเป้าหมายจำกัดยิ่ง แต่ยังสามารถทดลองเรื่องเล่าขนาดยาวที่เหมาะสมสำหรับทุกเพศทุกวัย เชื่อว่าน่าจะมีผลตอบรับไม่เลว
จากกิตติศัพท์ของศิษย์พี่ใหญ่ภายในพรรค ฉินจิ่วเกอรู้ดีว่าต้องซ่อนร่องรอยของตน หาเสื้อคลุมสีดำทึบมาตัวหนึ่ง จากนั้นให้เจ้าอ้วนน่าตายเป็นเกราะป้องกัน ให้ศิษย์น้องเล็กเป็นผู้โฆษณา
พริบตาผ่านไปห้าวัน ภายในพรรคหลิงเซียว ค่อยๆ เกิดกระแสฟีเวอร์ของกระบี่เย้ยยุทธจักรขึ้นมา
ทุกวันตอนบ่าย เพียงจ่ายด้วยศิลาวิญญาณขนาดครึ่งหัวแม่มือ ก็สามารถรับฟังเรื่องเล่าอันน่าตื่นตาตื่นใจจากบุรุษเสื้อคลุมดำ สาธยายเรื่องราวในยุทธจักรเกลื่อนคมกระบี่อันนองเลือด
บรรดาศิษย์ที่รู้ข่าวยิ่งมายิ่งมาก ต่างถูกดึงดูดกันปากต่อปาก หลั่งไหลมาตามกระแส
วันนี้มีผู้ฟังร่วมเจ็ดแปดสิบคน ล้วนมาเพื่อรับฟังตอนอวสานของนิยายเรื่องนี้
เจ้าอ้วนน่าตายเห็นผู้ฟังมากันเต็มแน่นสถานที่ มิอาจห้ามตนเองให้ซูฮกศิษย์พี่ใหญ่ได้จริงๆ
แม้แต่หรงเคอเคอที่มีอคติต่อศิษญ์พี่ใหญ่ รอบนี้ยังต้องบังเกิดความรู้สึกใหม่ต่อศิษย์พี่ขึ้น สำหรับกับศิษย์น้องเล็ก นั่นยิ่งเทียวมาทุกวี่วัน ที่สำคัญคือยังไม่จ่ายเงิน ฉินจิ่วเกอเองก็ไม่กล้าออกปากทวงถาม กระอักกระอ่วนยิ่ง
“เมื่อเห็นเหล็งฮู้ชงลงมือใส่เยิ่นหยิงหยิงจนสิ้นสติไป กำลังจะเข้าประมือกับตงฟางปู้ป้าย เยิ่นหว่อสิงทางด้านข้างเองไม่อาจนิ่งเฉย ใช้เคล็ดวิชาดูดดาวออกคิดลอบโจมตีเหล็งฮู้ชง มิคาดเหล็งฮู้ชงลงมือก่อน ใช้ออกด้วยกระบวนท่าลิงขโมยลูกท้อ จนเยิ่นหว่อสิงไม่อาจหายใจหายคอทัน สุดท้ายต้องขาดใจตายทั้งเป็น”
“สุริยันลาลับขอบฟ้า มองดูที่ไกลตาราวชโลมโลหิต สายลมแรงกรรโชก คลุมบรรพตครอบสมุทรกวาดผืนหญ้า ท่ามกลางสายลมใบไม้ร่วง เหล็งฮู้ชงเอาชนะเยิ่นหว่อสิง สุดท้ายกับ…”
ไม่รอให้ฉินจิ่วเกอวาดมังกรแต้มนัยน์ตาใส่นิยายจนจบเรื่อง เจ้าอ้วนน่าตายที่นั่งแถวหน้าพลันโพล่งแทรกขึ้นมา “สุดท้ายได้อยู่ครองคู่กับเยว่หลิงซานนางในฝันตั้งแต่วัยเยาว์ใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่” ฉินจิ่วเกอรู้แกว เจ้าอ้วนน่าตายลอบแฝงความหมายถึงศิษย์น้องสามหรงเคอเคอ แม้ศิษย์น้องหญิงและศิษย์พี่หญิงแตกต่างกัน หากยังมีคุณค่าพื้นฐานเช่นเดียวกัน คือเรือล่มในหนองทองจะไปไหน
“ข้าว่า สุดท้ายสุริยันลาลับขอบฟ้า สายลมใบไม้ร่วงพัดโบก เหล็งฮู้ชงและเยิ่นหยิงหยิงครองคู่รักกัน ใช่หรือไม่?” มีคนเห็นเจ้าอ้วนตอบแล้วเข้าใจผิด จึงเอ่ยปากขึ้นมา
“ไม่ถูกต้อง ชีวิตคนดั่งละคร รักคนหนึ่ง แต่งงานกำเนิดบุตรกลับเป็นอีกคน” ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะปฏิเสธซ้ำ
เห็นผู้ฟังต่างนิ่งงันเป็นไก่ไม้ ไม่มีคนกล้าคาดเดาอีก ฉินจิ่วเกอต้องปรบมือด้วยความเจ็บปวดใจ “อยู่ครองคู่กับตงฟางปู้ป้ายไง สุดท้ายเหล็งฮู้ชงกับตงฟางปู้ป้ายครองรักดูดดื่ม สองคนควงแขนท่องสวรรค์ด้วยกันนับแต่นั้นมา”
“หา?” หลายสิบคนต่างอ้าปากค้างจนคางตกถึงพื้น
“ก่อนหน้านี้ข้าบอกใบ้ตั้งหลายครา ไม่มีคนมองออกเลยหรือ?” ฉินจิ่วเกอทอดถอนรำพัน EQ ไม่ผ่าน
“อะไร ทำไมไปคู่กับตงฟางปู้ป้ายได้?” เจ้าอ้วยน่าตายใบหน้าอัปยศ ไขมันสั่นเทิ้ม “เยว่หลิงซานและเหล็งฮู้ชงรักกันแต่ยังเยาว์ สมควรเป็นพวกมันสองคนสิ”
กล่าวจบ มีเสียงผู้ฟังบางคนออกปากสนับสนุน ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับตอนอวสานของนิยายฉบับฉินจิ่วเกอ
“เพ้อเจ้อไร้สาระ” ศิษย์ที่หนุนหลังเยิ่นหยิงหยิงคัดค้าน “ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง มีแต่เยิ่นหยิงหยิงที่เหมาะกับเหล็งฮู้ชงที่สุดต่างหาก”
“ผู้ใดว่ากัน ข้ากลับสนับสนุนตงฟางปู้ป้ายกับเหล็งฮู้ชง” อาจเป็นเพราะแซ่ตงฟางเหมือนกัน ศิษย์น้องเล็กตงฟางฉิงอวี่เลยมีที่ยืนหยัดแน่ชัด ไม่รับฟังเหตุผลอื่นใดทั้งสิ้น
เมื่อเห็นนางมารน้อยออกปาก บรรดาฝูงชนที่เถียงกันหน้าดำหน้าแดงเมื่อครู่พร้อมใจกันไม่กล้าออกเสียงคัดง้าง ด้วยเกรงว่าจะเกิดการนองเลือดขึ้น ทั่วบริเวณพลันเงียบสงัดลงกะทันหัน บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน
ฉินจิ่วเกอจำต้องปรับบรรยากาศบรรเทาความอึมครึม อันที่จริงโชคลาภของตนในวันหน้าล้วนต้องพึ่งพาผู้ฟังเหล่านี้
ฉินจิ่วเกอกลืนน้ำลาย ตบโต๊ะยืนขึ้น “อันที่จริงเรื่องเล่านี้จบอย่างสมบูรณ์พร้อมงดงามยิ่ง พวกเจ้ารู้หรือไม่ ตอนจบที่น่าอนาถที่สุดคืออันใด? ”
ฝูงชนสั่นศีรษะ รอคอยฉินจิ่วเกอเปิดม่าน
แสงอาทิตย์สาดต้องแผ่นหลังฉินจิ่วเกอจนเจิดจ้าบาดตา คนถอนใจลึกล้ำลากยาว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมอารมณ์ความรู้สึกว่า “ความหลังราวหมอกควัน หนึ่งรอยยิ้มลบบุญคุณกำจัดความแค้น จากศิษย์น้องเปลี่ยนเป็นภรรยา ทิ้งหมวกเขียวไว้กลางใจคน! (ถูกสวมเขา)”
วาจากล่าวจบคำ ผู้ฟังต่างฮือฮา ร่างสั่นสะท้านไม่หยุดยั้ง
ที่แท้ อา ช่างน่าเวทนายิ่ง
ท่ามกลางศิษยานุศิษย์ที่สั่นเทิ้ม เจ้าอ้วนน่าตายอาการหนักที่สุด
ชัดเจนว่า ตอนจบเช่นนี้เปรียบกับเหล็งฮู้ชงครองรักกับตงฟางปู้ป้ายยังอเนจอนาถยิ่งกว่า
สำหรับหนิวว่านซานผู้หลงรักศิษย์พี่หญิงแล้ว หากเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นกับตนเอง
มิสู้เฉือนมันทิ้งเป็นเก้าพันชิ้นยังดีกว่า
เมื่อเห็นผู้ฟังต่างถูกสะกด ตงฟางฉิงอวี่ยืดตัวขึ้นอย่างภาคภูมิ ชายตามองใต้หล้า กอปรเป็นสภาวะหมื่นบรรพตยอมสยบขึ้นมา
มุมปากวาดเป็นรอยยิ้ม นัยน์ตาจ้องถลึง สองมือเท้าสะเอว รัศมีทรงอำนาจแผ่จากภายในสู่ภายนอก ไม่ต่างจากบูรพาไม่แพ้ที่แท้ทรู
ฉินจิ่วเกอสะท้านสั่น พลันได้คิดว่าตนเองกระทำผิดมหันต์เข้าแล้ว หากเป็นเพราะวันนี้ตนถ่ายทอดนิยายออกมา ศิษย์น้องหญิงเกิดอุตริฝึกวิชาลับล้ำค่าอันใดขึ้น ย่อมกลายเป็นความไม่รับผิดชอบของตนต่อเบื้องสูงเบื้องต่ำทั้งหลายนับร้อยในพรรคหลิงเซียวแล้ว
ชั่วเวลาที่ศิษย์น้องเล็กอาละวาดทั่วใต้หล้า เปล่งรัศมีพลังแห่งทรราช เหล่าศิษย์ทางด้านหลังพลันแตกฮือวุ่นวาย ราวนกกระจอกแตกรัง
โต๊ะเก้าอี้กระจัดกระจาย ไม่มีใครรอจ่ายเงินค่าฟังนิยายของวันนี้ เพียงพริบตาทั่วบริเวณเหลืออยู่ไม่กี่คน
มองไปที่ไกล เห็นมีคนยืนใต้แสงอาทิตย์อัสดง ค่อยย่างเท้าเข้ามาอย่างเชื่องช้า ท่วงท่าโออ่าอาจหาญ
“กลับมาจ่ายเงินก่อน!” เจ้าอ้วนน่าตายร้องทวงความเป็นธรรม
ไม่ง่ายเลยที่ศิษย์พี่ใหญ่บังเกิดเมตตาจิต หาเงินมาเพื่อชดใช้แก่ผู้ประสบเคราะห์กรรมเช่นตนเอง เมื่อมีผลประโยชน์เกี่ยวพัน ไหนเลยไม่บังเกิดโทสะได้
ทอดตามองอีกฝั่งที่เดินมา คนสูงเจ็ดฉื่อ ร่างราวมังกร แผ่รัศมีวีรบุรุษเยี่ยมยุทธ์ไม่ธรรมดา
เมื่อเข้าใกล้ ผู้มาใบหูลักษณะสมบูรณ์สมปรารถนา นัยน์ตาสีสนิม สันจมูกตั้งตรง ศีรษะลำตัวเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ หากฟังดีๆ จะได้ยินเสียงศิลาวิญญาณกระทบกันอันไพเราะดังมายามก้าวเดิน
เจ้าอ้วนน่าตายขวัญหนีดีฝ่อเมื่อเห็นชัดตาว่าเป็นผู้ใด วิ่งหนีหางจุกตูดไม่เหลียวหลัง เงินอันใดก็ล้วนไม่ต้องการแล้ว
สามารถข่มขู่เจ้าอ้วนน่าตายให้หวาดกลัวจนเสียกิริยาได้ถึงขั้นนี้ ฉินจิ่วเกอเดิมคิดว่ามีแต่เจ้าของร่างคนก่อนที่ทำได้
หากสังเกตให้ดี ด้านข้างคล้ายยังมีเหลืออีกคนที่ยืนรากงอกอยู่ห่างๆ คล้ายมีเจตนานำค่าเข้าฟังของวันนี้มามอบให้ฉินจิ่วเกอ
ฉินจิ่วเกอหันกลับไปด้วยความตื่นเต้น ที่มองเห็นกลับเป็นศิษย์น้องเล็กที่ยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ดูแล้วไม่มีทีท่าจะจ่ายค่าฟังอันใด
“อาวุโสสามมาแล้ว รีบไปจากที่นี่เร็ว” ที่ยังรั้งอยู่ มิใช่ศิษย์น้องเล็กไม่คิดหลบหน้าอีกฝ่าย หากแต่หวังดีคิดกระตุ้นเตือนฉินจิ่วเกอสักคำ นี่นับว่าทัศนคติของนางต่อศิษย์พี่ใหญ่บังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นบ้างแล้ว
อาวุโสสามที่รักเงินยิ่งชีพน่ะหรือ
ห้วงสมองเริ่มบังเกิดความโกลาหล ฉินจิ่วเกอสังหรณ์ถึงลางร้าย
เมื่อมองอีกที ผู้คนที่นั่งอยู่เต็มสถานที่เมื่อครู่แม้แต่ครึ่งวิญญาณก็ยังไม่เหลือ วันนี้สูญเสียลาภไปมหาศาล คิดแล้วก็เจ็บปวดไปถึงทรวง
สรุปแล้วฉินจิ่วเกอกลับไม่ได้เงินเข้ากระเป๋าตามที่วางแผนไว้ จึงมิอาจไม่ด่าทอออกมา “ฟังนิทานแล้วไม่จ่ายเงิน ตงฟางปู้ป้ายจะลงมือแล้ว! แต่พวกเจ้าไม่มีคัมภีร์ทานตะวัน ตะกายกำแพงไปเถอะ!”
เห็นอาวุโสสามที่แม้แต่นางมารน้อยยังหลบหลี้หนีไกล เป็นที่คาดคำนวนเกียรติภูมิเกริกไกรของมันออก
พรรคหลิงเซียว นอกจากอาวุโสใหญ่และหัวหน้าพรรคที่ปิดด่านกักตนแล้ว ทั้งหมดมีอาวุโสสี่ท่าน
อาวุโสสองผู้รักหน้าถือตา อาวุโสสามผู้หน้าเงิน
อาวุโสสี่ฝึกปรือฝีมือสุดพิสดาร อาวุโสห้าผู้ไม่เป็นโล้เป็นพาย
คานบนไม่เที่ยงตรง คานล่าง….