เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 82 ศิษย์พี่ใหญ่ มีเรื่องแล้ว
“ท่านอาจารย์~ ศิษย์เหนื่อยจนสายตัวแทบขาดแล้วเนี่ย ท่านอย่าได้ล้อข้าเล่นอยู่เลย วันนี้ก็ไม่ใช่วันโกหกเสียหน่อย ช่างเถอะ ที่นี่ไม่มีใครรู้จักวันโกหกอยู่แล้ว เอาเป็นว่าท่านอย่าได้พูดจาไม่เข้าเรื่องอยู่เลย ไม่งั้นต้องฉี่รดที่นอน รอจนศิษย์เพิ่มความแข็งขันอีกสักเล็กน้อยช่วยท่านเสาะหาภรรยาเคียงคู่ หลังจากนี้บุตรภรรยาพร้อมหน้า ผ่านชีวิตสุขโขสโมสร”
ฉินจิ่วเกอพูดเสร็จก็ม้วนตัวเข้าใต้โปงส่งเสียงกรนคร่อกๆ ไปในบัดดล
อาวุโสใหญ่เพลิงพิโรธแล่นสู่หัวใจ คว้าก้านไม้ไผ่ที่ข้างตัวขึ้นแกว่งไกวไปมา
จากนั้น ภายในห้องก็แว่วเสียงสุกรถูกเชือดดังลอดมา ฉินจิ่วเกอรู้แจ้งบัดเดี๋ยวนั้น การนอนไม่ใช่เรื่องดี
วัยเด็กหัดขี้เกียจสันหลังยาว แก่เฒ่าตกระกำแสนลำเค็ญ
หมั่นพากเพียรฝึกปรือแต่เนิ่นๆ ขวนขวายตามหามรรคาแห่งดวงธาตุสู่จุดสูงสุดแห่งสวรรค์ การหลับนอนนอกจากจะเหน็ดเหนื่อยไม่คุ้มค่ายังอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย
“ท่านพูดจริงรึ?” คลานขึ้นจากเตียง มือลูบบั้นท้ายป้อยๆ ต้องเปลี่ยนท่าเดินเป็นคลานสี่ขา
“เลิกพล่ามไร้สาระสักที ศิษย์น้องเจ้าธาตุไฟแตก เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าสาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่?” ตอนที่อาวุโสใหญ่ออกด่านมันได้เสริมเพิ่มการป้องกันพรรคให้แน่นหนาขึ้นแล้ว นอกเสียจากชนชั้นกฎสรรพสิ่งมาเอง ใครก็ไม่อาจเล็ดรอดเข้ามาอย่างไร้ร่องรอยได้เด็ดขาด
ชีวิตของลั่วเฉินกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย อาศัยที่อาวุโสใหญ่พบความผิดปกติจากห้องมัน ผนวกกับพลังฝึกปรืออันลึกล้ำสูงส่งปกป้องหลิงไถเอาไว้ไม่ให้แตกสลายไปก่อน
อาวุโสสี่เองก็ออกหน้าช่วยเหลือ ปกป้องการทำงานของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ ลั่วเฉินจึงไม่สังขารแตกดับมรรคาล่มสลายไปก่อน
อาวุโสใหญ่ลองตรวจสอบอาการลั่วเฉิน พบว่าสาเหตุที่ทำให้มันธาตุไฟแตกเช่นนี้ ก็เพราะพลังกฎสรรพสิ่งที่มีแต่ชนชั้นกฎสรรพสิ่งเท่านั้นจะหยั่งรู้ได้ อีกทั้งยังแผ่ระลอกสุดไพศาลออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง
อาวุโสใหญ่ถามตัวเองดู ต่อให้ฉินจิ่วเกอจะขวัญกล้าเทียมฟ้าเพียงใดก็ยังมิบังอาจไปล่วงเกินสัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งเด็ดขาด
ชนชั้นกฏสรรพสิ่งและกลั่นดวงธาตุมิใช่พบเจอโดยง่าย พวกแรกหยั่งรู้กฎเกณฑ์ธรรมชาติ มิใช่เพียงการฝึกปรือเคี่ยวกรำฝีมือจนลึกล้ำจะนำมาเทียบเปรียบได้
อาวุโสใหญ่ไม่สามารถทำความเข้าใจต่อกฎสรรพสิ่งนั้นได้ เมื่อประเมินดูแล้ว นั่นสมควรเป็นแก่นที่หลงเหลือของกฎเกณฑ์ระดับชนชั้นกฎสรรพสิ่งขั้นสูงสุด แม้แต่นักปรุงยาขั้นหกยังไม่อาจขจัดชะล้างได้
ฉินจิ่วเกอเองก็ไม่ปิดบัง เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในมิติบรรพกาลทั้งหมดแก่อาวุโสใหญ่ได้ฟัง อาวุโสใหญ่ยิ่งได้ฟังยิ่งบังเกิดความร้อนรน ปราศจากความปีติยินดีแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าขวัญกล้าบังอาจเกินไปแล้ว ตัวประหลาดกฎสรรพสิ่งพลังฝีมือทะลวงฟ้า ทั้งยังหยั่งรู้ในกฎเกณฑ์ แม้จะผ่านมานานนับพันปี พลังแห่งกฎเกณฑ์ย่อมยังคงอยู่ระหว่างฟ้าดิน ไม่สลายไป”
“หากเป็นกฎเกณฑ์ของผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ชั้นกฎสรรพสิ่ง ไม่แน่ว่าข้าอาจสามารถร่วมมือกับน้องสี่ในการทดลองดู ทว่าอีกฝ่ายก่อนร่วงหล่นที่จริงบรรลุถึงคอขวดตระเตรียมทะลวงด่านฝีมือแล้ว ความลึกล้ำร้ายกาจของกฎเกณฑ์นั้น แม้แต่ข้าก็ไม่อาจแก้ไขได้”
“เช่นนั้นทำอย่างไรดี?” ฉินจิ่วเกอนึกขึ้นได้ พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง ทรมาณจิตใจเคี่ยวกรำสังขารร่างกายท่าน บางทีนี่อาจเป็นบททดสอบของพระเอกก็เป็นได้
ยกตัวอย่างเช่น เจ้าของร่างเดิมตกตายเพราะธาตุไฟแตก ตอนที่ศิษย์น้องธาตุไฟแตก กลับพบว่าอีกฝ่ายอยู่ในอาการโคม่าเท่านั้น ชัดเจนว่าได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“แต่ทั้งข้าและซ่งเล่อต่างก็สืบทอดมรดกดวงธาตุของอีกฝ่ายมา ไม่เห็นว่าจะมีผลข้างเคียงอะไรเลย” ฉินจิ่วเกอสับสนงุนงง
“นั่นก็เพราะพวกเจ้าได้แสดงความเคารพต่อซากสังขารของมัน ใครทำอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น ในเมื่อซากร่างนี้เป็นเผ่ามนุษย์เหมือนกับพวกเจ้า มันก็ไม่ทำเรื่องยุ่งยากแก่พวกเจ้าหรอก แต่เจ้าเด็กลั่วเฉินนั้นหุนหันเกินไป ริบเอาต้นกำเนิดกฎเกณฑ์มาตรงๆ เกรงว่าก่อนตายอีกฝ่ายคงคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้น แม้จะตายไปแล้วเป็นพันปีแต่ก็ยังแอบทิ้งอุปสรรคเอาไว้อีก”
ยิ่งไม่ต้องพูดว่าลั่วเฉินตอนนี้เป็นเพียงพิสุทธิ์ไพศาลที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเท่านั้น ต่อให้เป็นชนชั้นกฎสรรพสิ่งด้วยกัน ตราบใดที่ขอบเขตไม่แข็งแกร่งเทียบเท่า อุปสรรคที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้ก็สร้างความวายป่วงให้ได้ไม่ต่างกัน
ลั่วเฉินนับว่าโชคดีแล้วที่ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้
“ท่านอาจารย์ ทุกหนทางมีทางออกไม่ใช่หรือ?” ตำราเต๋ากล่าวไว้ ห้าสิบเต๋าสมบูรณ์ สี่สิบเก้าฟ้าร้อยเปลี่ยนพันแปลง แม้แต่วิถีฟ้าเองยังมิใช่ไร้หนทางถอยโดยสิ้นเชิง
อุปสรรคกฎเกณฑ์ที่ชนชั้นกฎสรรพสิ่งทิ้งเอาไว้ ในเมื่อผ่านมานานปานนี้แล้ว ก็ควรที่จะมีหนทางแก้ไขแล้วกระมัง
“ข้าและน้องสี่จะลองกลับไปตรวจดูตำราบันทึกที่บรรพชนทิ้งเอาไว้หน่อย ดูว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง ถ้าเพียงแต่นักปรุงยาระดับเจ็ดหรือระดับแปดอยู่ด้วย ปัญหานี้ก็จะหมดไปทันที แต่น่าเสียดายนักปรุงยานั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ยิ่งไม่อาจทราบได้ว่าสำนักงานใหญ่ของสมาคุมปรุงยาตั้งอยู่ที่ใด จึงได้แต่ต้องยืนด้วยลำแข้งของพวกเราเอง”
อาวุโสใหญ่แจ้งให้ฉินจิ่วเกอรับทราบ จากนั้นก็ไปปรึกษาหาทางออกกับเหล่าศิษย์น้อง
พวกมันหาได้เป็นคนจิตใจคับแคบเห็นแก่ตัว ภารกิจของพวกมันก็คือการทำเพื่อมนุษยชาติเท่านั้น
นักปรุงยาระดับเจ็ดมีอิทธิพลเทียบเท่ากับสัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งเลยทีเดียว นักปรุงยาระดับแปด เกรงว่าแม้จะเป็นชนชั้นสุญญตาก็ยังต้องให้ความเคารพอยู่สามส่วน แล้วจะให้เชิญมาได้อย่างไร
หากหวังให้นักปรุงยาระดับเจ็ดออกหน้าลงมือ ไม่สู้ขอให้อสนีเทวะฟาดใส่กบาลอาวุโสสี่ยังจะง่ายกว่า ไม่แน่ว่าตาแก่นั่นอาจสมองเปิดโล่งบังเกิดการหยั่งรู้ในทันใด แสดงอิทธิฤทธิ์ออกมา
แล้วเวลาก็ผ่านไปเช่นนี้กว่าครึ่งเดือน ฉินจิ่วเกอนั่งบ่มเพาะพลังวิญญาณอยู่ภายในห้อง แม้จะยังไม่บรรลุขอบเขตปราณสุริยันขั้นสูงสุด แต่พลังปราณสุริยันขั้นปลายก็ได้ฝังรากลึกอยู่ในจุดตันเถียนแล้วเรียบร้อย
อาวุโสใหญ่พลิกเปิดตำราเก่าแก่หาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ จนท้ายที่สุดก็เจอข้อความท่อนหนึ่งที่น่าจะเป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียว
“ได้เรื่องบ้างไหมขอรับ?”
ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ผู้เป็นดาวนำโชคของพระเอก ฉินจิ่วเกอไม่คิดที่จะโยนความรับผิดชอบไปให้คนอื่น ทำให้เกิดความรวนเรเปล่าๆ
“มีบันทึกเล่าขานถึงมหาศึกสามเผ่าพันธุ์ในสมัยบรรพกาลอยู่เรื่องหนึ่ง มีคนผู้หนึ่งขนานนามตนเองว่าผู้เฒ่าเรืองปัญญา และเป็นผู้ควบคุมนาวาเรืองปัญญา เป็นที่รู้จักในสมัยต้นบรรพกาลสามหมื่นปี ปลายบรรพกาลสามหมื่นปี และก่อนบรรพกาลสามหมื่นปี”
“อะไรนะ?” ฉินจิ่วเกอลองนับคำนวณดู หากอีกฝ่ายไม่ได้โม้ ไม่ได้แปลว่าคนผู้นั้นมีชีวิตอยู่นานถึงเก้าหมื่นปีเลยหรอกรึ?
ชนชั้นกฎสรรพสิ่งมีอายุขัยหนึ่งหมื่นปี น่ากลัวว่าแม้แต่กฎสรรพสิ่งเองยังมีอายุขัยเพียงสองสามหมื่นปีเท่านั้น
ผู้เฒ่าเรืองปัญญาผู้นี้ อย่าบอกนะว่าเป็นเทพเซียนจากสวรรค์ ถึงได้มีอายุยืนยาวขนาดนี้?
อาวุโสใหญ่เองก็นับว่าเป็นยอดฝีมือในชนเผ่ามนุษย์ ฉะนั้นย่อมจำแนกออกว่าอันใดคือตำนานเรื่องเล่า อันใดคือประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นจริง
“ผู้เฒ่าเรืองปัญญาผู้นี้มีตัวตนอยู่จริง หากนับจนถึงตอนนี้ เท่ากับมันมีอายุถึงหนึ่งแสนปี สมควรเป็นบุคคลที่มีอายุขัยยาวนานที่สุดในทวีปฉงหลิง พลังฝึกปรือลึกล้ำเกิดคาดหยั่ง”
หากได้รับคำชมจากอาวุโสใหญ่เช่นนี้ แปลว่าระดับฝึกปรือของอีกฝ่ายจะต้องไม่ต่ำกว่ากฎสรรพสิ่งขั้นสูงสุดเป็นแน่
อาวุโสใหญ่มีพรสวรรค์เหนือคน ใช้เวลาเพียงสามร้อยปีก็สามารถบรรลุกลั่นดวงธาตุขั้นสูงสุดได้สำเร็จ ขาดแค่ทำการหยั่งรู้ในกฎเกณฑ์ก็จะบรรลุชั้นกฎสรรพสิ่งได้แล้ว มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งยวดว่าในชีวิตนี้จะบรรลุช่วงชั้นต่อไปได้
“ท่านกำลังจะบอกว่าผู้เฒ่าเรืองปัญญาผู้นี้มีหนทางรักษาศิษย์น้อง?” ฉินจิ่วเกอใตร่ตรองได้ไม่นานก็คิดว่าน่าจะมีความเป็นไปได้อยู่จริง ในเมื่อกล้าเรียกขานตัวเองว่าผู้เฒ่าเรืองปัญญา อีกฝ่ายจะต้องมีดีอยู่บ้างสิน่า ขอเพียงไม่ได้สติเลอะเลือนไปก่อน
เพราะถึงยังไงอีกฝ่ายก็อยู่มานานนับแสนปี มาลองคิดดูก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน แก่ปูนนั้นจะเป็นอัลไซเมอร์หรือเส้นเลือดอุดตันก็มีความเป็นไปได้สูงเลยทีเดียว
อันที่จริง ไม่ทราบเหมือนกันว่าฉินจิ่วเกอกำลังคิดเรื่องแย่ๆ กับผู้เฒ่าเรืองปัญญาท่านนั้นอยู่หรือเปล่า
อาวุโสใหญ่กล่าวสืบต่อ “ตอนที่มหาศึกจบลงในช่วงปลายบรรพกาล ผู้เฒ่าเรืองปัญญาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับนาวาเรืองปัญญา เล่ากันว่า ผู้เฒ่าเรืองปัญญาครอบครองต้นพฤกษาสวรรค์อยู่ต้นหนึ่ง ไม้ต้นนี้ผลิใบแปดพันปี ร่วงโรยแปดพันปี สองหมื่นสี่พันปีออกผล ผลของต้นไม้นี้เรียกว่าผลอู๋เลี่ยง(สุดหยั่งคาด)
“ผลอู๋เลี่ยงผนึกตะวันจันทราแลฟ้าดิน ผสานโชคชะตาห้วงจักรวาล เทียบได้กับยาอายุวัฒนะระดับเก้า หลังรับประทานสามารถรักษาได้ทุกโรค หงส์อัคคีนิรวาน กำจัดความอยุติธรรมทั่วหล้า”
เมื่อยกเรื่องผลอู๋เลี่ยงขึ้นมาพูด ไม่มีใครมองว่าเป็นเรื่องเร้นลับเกินจริง ในสมัยต้นบรรพกาล ผู้เฒ่าเรืองปัญญาได้รับสมญาว่าเป็นผู้รอบรู้
ใครก็ตามที่สามารถต้อนมันให้จนมุมได้ด้วยคำถาม สามารถเด็ดผลอู๋เลี่ยงจากต้นพฤกษาสวรรค์ได้ ครั้งหนึ่งมีสัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งได้รับมาหนึ่งผล คิดว่าเป็นสมบัติล้ำค่า
เมื่อทานเข้าไป ผมเผ้าหนวดเคราล้วนเปลี่ยนเป็นสีดำ รอยย่นตึงเรียบ กลับสู่วัยเยาว์ อายุขัยเพิ่มขึ้นอีกพันปี
นับแต่ช่วงต้นบรรพกาลเป็นต้นมา ทั่วหล้าถึงค่อยตระหนักว่าผลอู๋เลี่ยงไม่เพียงรักษาโรคภัยได้ทุกชนิด แต่ยังเพิ่มพูนอายุขัยได้อีกหนึ่งพันปีด้วย
ชีวิตก็เหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นชนชั้นสุญญตาเอง ตราบใดที่อายุขัยสิ้นสุดลง พลังฝึกปรือชั่วชีวิตก็จะสลายไป และกลับสู่วัฏสงสารเช่นเดียวกัน
สนองตามวิถีฟ้า ไม่กล้ากล่าวว่าไม่เสียใจ!
ผลอู๋เลี่ยงเพิ่มพูนอายุขัยหนึ่งพันปี นี่นับเป็นสมบัติระดับไหน ต่อให้เป็นศาสตราเซียนในตำนานก็ยังไม่มีมูลค่าเทียบเท่า
บนโลกนี้ นอกจากต้าหลัวจินเซียนที่มีอายุขัยยืนยาว ใครบ้างที่ไม่ตาย ใครกล้าไม่ตาย?
ผลอู๋เลี่ยง แค่เพียงคุณลักษณะยืดอายุขัยนั้น อย่าว่าแต่ชนชั้นกฎสรรพสิ่ง ต่อให้เป็นสุญญตาก็ยังต้องหวั่นไหว
“เช่นนั้นแล้วทั้งผู้เฒ่าเรืองปัญญาและนาวาลำนั้นใช่ยังอยู่หรือไม่?”
ฉินจิ่วเกอรีบถามอย่างร้อนรน สมบัติระดับนี้เรียกได้ว่าเกิดมาเพื่อตัวเอกเลยเทียว
อาวุโสใหญ่ผงกศีรษะ น้ำเสียงกลายเป็นสั่นสะท้านยากควบคุม “ในตอนที่ผลอู๋เลี่ยงปรากฏขึ้นบนโลก เจ็ดชนชั้นสุญญตาเคยพยายามแย่งชิงต้นพฤกษาสวรรค์ สังหารผู้เฒ่าเรืองปัญญา แย่งชิงผลอู๋เลี่ยง”
“แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ?”
“เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแสนปีแล้ว เป็นบั้นปลายของสมัยต้นบรรพกาล ผู้เฒ่าเรืองปัญญาใช้นาวาเรืองปัญญาดูดเจ็ดชนชั้นสุญญตาเข้าไปภายใน ว่ากันว่าสามวันหลังจากนั้น เจ็ดสุญญตาตายสี่เจ็บสาม สร้างความแตกตื่นพรั่นพรึงไปทั่วหล้า!”
“ซี๊ดด!”
จากตำนานของบรรพชนวิญญาณ จักรวาลแบ่งเป็นแดนแมงเม่า แดนไท่จี๋ และแดนอู่จี๋ สอดคล้องกับสามขั้นของเทพเซียน
ทวีปฉงหลิง เป็นเพียงผงคลีเล็กๆ ในแดนแมงเม่าเท่านั้น เปรียบได้กับน้ำหนึ่งหยดในห้วงสมุทร เล็กจ้อยจนไม่อาจเล็กจ้อยไปมากกว่านี้อีก
ในแดนแมงเม่า ขอบเขตสุญญตาถือเป็นขอบเขตสูงสุด มีสิทธิ์ขึ้นสู่แดนไท่จี๋ หรือก็คือดินแดนแห่งเทพเซียนไล่ล่าขวนขวายอายุขัยอันยืนยาว
เจ็ดชนชั้นสุญญตา ตายสี่เจ็บสาม เห็นได้ว่าระดับฝึกปรือของผู้เฒ่าเรืองปัญญาผู้นี้ได้บรรลุถึงระดับที่น่าหวาดสะพรึงกลัวเพียงใดแล้ว
มาตอนนี้ ผู้เฒ่าที่ว่าก็อยู่มานานร่วมแสนปี แถมยังไม่สิ้นลมหายใจไปก่อน เรียกได้ว่าเป็นซากหินดึกดำบรรพ์ที่ยังมีลมหายใจในคราบมนุษย์ ประเภทที่หากถูกนำไปจัดวางในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงแล้วจะมีคนมาล้อมดูอย่างแน่นหนาอะไรเทือกนั้น
“เช่นนั้นมันอาศัยอยู่ที่ใดหรือขอรับ?”
ฉินจิ่วเกอตาร้อนผ่าว มันที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเอก จะอย่างไรก็ยังนับเป็นพระเอกครึ่งหนึ่งล่ะ ว่ากันว่าหากมีบุคคลที่สามเข้ามา เป้าหมายของท่านก็จะดูน่ามองขึ้นอักโข ผู้เฒ่าเรืองปัญญาจะต้องไว้หน้าตนเองอยู่บ้างล่ะน่า
“ลือกันว่าผู้เฒ่าเรืองปัญญารู้แจ้งในฟ้าดิน แต่ไรมาล้วนไม่เคยจนมุมด้วยคำถาม ดังนั้นมันถึงได้อาศัยนาวาเรืองปัญญาท่องไปทุกแห่งหน ตามหาผู้ที่จะทำให้มันต้องจนมุมด้วยคำถามให้เจอ”
“ฮ่าฮ่า พวกสมองทึบที่มีความคิดอ่านเช่นนี้ช่างถูกใจข้าเหลือเกิน”
ฉินจิ่วเกอหัวเราะลั่น ตนเป็นคนสามชาติภพ กล้ามสมองเปิดออกดูยังหนักกว่าอีกฝ่ายไม่ต่ำกว่าสามจิน คิดจัดการอีกฝ่ายให้อยู่หมัดยังพอจะนับว่าเป็นไปได้
อาวุโสใหญ่ผงกศีรษะ น้ำไร้รูปถาวร กองทัพออกตีไม่ยึดติดรูปขบวน จึงสามารถเอาชัยอย่างพิสดาร หากคิดรับผลอู๋เลี่ยงมาใช้งาน ต้องวัดที่สมองหาใช่กำลัง ศิษย์ของมันย่อมสามารถทดลองดูได้
“ดี เจ้ามีใจคิดช่วยเหลือเช่นนี้ก็ดี” อาวุโสใหญ่ผงกศีรษะ ฉินจิ่วเกอในยามนี้ นับว่ามีบุคลิกภาพของศิษย์พี่ใหญ่อยู่บ้าง
ศิษย์พี่ใหญ่คืออันใด?
มิใช่พลังฝีมือสูงส่งก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่ การเป็นศิษย์พี่ ย่อมต้องมีจิตใจอารีต่อศิษย์ร่วมสำนัก เบื้องบนถึงห้องรับรองเบื้องล่างถึงห้องครัว สามารถเปลี่ยนผ้าปูไม่กลัวแมลงสาป
มีเพียงบุคคลเช่นนี้ สมบูรณ์พร้อมทั้งความจริงใจและคุณธรรม จึงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ได้!
หากกล่าวง่ายๆ นี่เป็นตำแหน่งที่เหนื่อยเปล่าไร้ค่าตอบแทน ฉินจิ่วเกอกลับรับใช้อย่างตั้งอกตั้งใจเพียงนี้ เรียกว่าไอคิวกลับด้าน เป็นพฤติการณ์ของพวกจิตพิการโดยแท้
“ช่วงหลายวันต่อจากนี้ ข้าจะหาข่าวว่านาวาเรืองปัญญาจอดที่ใด ว่ากันว่าผู้เฒ่าเรืองปัญญาท่องไปทั่วเหนือใต้ออกตก หากคิดติดตามหานับว่ายากลำบากอยู่บ้าง”
อาวุโสใหญ่หมุนกายจากไป การคัดเลือกศิษย์ทั้งห้ามานี้ มันเองลงแรงกายแรงใจไปไม่น้อย
ไม่ว่ากล่าวจากมุมใด พรรคหลิงเซียวกับบรรพชนวิญญาณเมื่อล้านปีก่อน มีความสัมพันธ์กันบางประการ
.
.
.