เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 92 เจตนาสังหาร
“ถ้าเจ้ายังไม่ยอมเคลื่อนไหว นายท่านจะฉี่รดศีรษะเจ้าก่อนรอบหนึ่ง จากนั้นค่อยเอาเจ้าไปโยนลงหลุมส้วม ดองไว้สักสิบวันแปดวัน ให้กลายเป็นบรรทัดดองเหม็นเน่าหมื่นปี ดูซิยังจะอวดเทพได้อีกมั้ย!”
ฝีมืออันชั่วช้านัก ไม่ลงมือไม่ด่าทอ กลับใช้วิธีการนี้
แม้แต่จิตวิญญาณที่หลับใหล หากเจอไม้นี้เข้าไปยังต้องแหกตาตื่น บรรทัดทองใต้เท้าฉินจิ่วเกอยามนี้ค่อยๆ สั่นสะท้าน คล้ายกำลังขัดขืนดิ้นรน
มันเป็นถึงอาวุธเทพ กลับมีคนกล้าเอามันไปโยนลงบ่อขี้ สวรรค์ยังมีนัยน์ตาหรือไม่
“เฮอะ” ฉินจิ่วเกอรู้ดี พวกนี้มันพวกเกิดปีเทียน ไม่จุดสว่าง “ศาสตราบรรพกาลสร้างมาเพื่อใช้ ไม่ใช่สร้างมาดูเล่น หากใช้ไม่ได้ ก็เอาไปทำไม้เช็ดตูดดีกว่า ให้ข้าลองดูสักทีก่อนค่อยว่ากัน”
ฟิ้วฟิ้ว!
บรรทัดตารางนิ้วหลบหนีจากใต้ฝ่าเท้าของฉินจิ่วเกอ บินสะเปะสะปะไปทั่วห้องลับ
กำแพงห้องลับสลักไว้ด้วยค่ายกล ป้องกันบรรทัดตารางนิ้ว
บรรทัดตารางนิ้วที่หัวร้อนลุกเป็นไฟยามนี้หันหัวกลับมาแล้ว ทะบานเข้าใส่ฉินจิ่วเกอ ตระเตรียมมอบบทเรียนอันสาสมแก่มนุษย์ที่คิดสร้างความอัปยศแก่มันผู้นี้
“เฮอะเฮอะ ไม่รับนาย แม้แต่อาวุธเซียนยังไม่อาจใช้พลังออกมาได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ดูซิว่าเจ้าจะสร้างเรื่องสร้างราวได้แค่ไหนกัน” ฉินจิ่วเกอใช้หมื่นบรรพตค้ำสมุทร พลังหมื่นจินถาโถม สะกดทับบรรทัดตารางนิ้วลงกับพื้นเช่นเดิม ก่อนยกเท้าเหยียบตรึงไว้อีกครั้ง
“เร็วหน่อยน้า ตกลงจะรับไม่รับข้าเป็นนาย หากแกล้งทำเป็นตายอีกครั้ง ข้าจะเอาเจ้าไปทำไม้เช็ดก้น ทุกวี่วันเสียบคาอยู่หน้าส้วม!”
หวือหวือ
บรรทัดตารางนิ้วส่งสัญญาณขอความเมตตา ภายใต้พฤติการณ์อันต่ำตมของฉินจิ่วเกอ มันถูกบีบบังคับให้ยอมศิโรราบ ไม่มีทางเลือก หากคิดทุบตีลงไม้ลงมือ บรรทัดตารางนิ้วล้วนน้อมยอมรับ แต่หากเอาอาวุธวิเศษชั้นสูงไปทำไม้เช็ดก้น นั่นไม่อาจยอมรับได้จริงๆ
“เชอะ คิดว่าจะยอมตายไม่ยอมสยบซะอีก อันที่จริง เอาไม้บรรทัดวิเศษมาทำไม้เช็ดก้น คนหลังเข้าห้องน้ำปลดทุกข์แล้วย่อมสดชื่นกระปรี้กระเปร่ายิ่ง รับประกันว่าท้องไส้จะยิ่งเดินสะดวก กลิ่นตลบหอมอวลไปทั่วสี่ทิศ จะลองดูสักทีมั้ย?”
วี้วี้
บรรทัดตารางนิ้วสื่อสัญญาณอันอ่อนโยนนุ่มนวลมาอีกครั้ง วิญญาณศาสตราของอาวุธบรรพกาล เริ่มสื่อสารกับฉินจิ่วเกอก่อนแล้ว
ไร้หนทางแล้ว เมื่อต้องพบเจอคนสารเลว คงได้แต่ต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมแล้ว
ไม่จำเป็นต้องหยดเลือดรับเป็นนาย จิตวิญญาณอาวุธบรรพกาลเองกลับยังกระตือรือร้นต่อท่านยิ่งกว่าแม่นางในหอนางโลม ไม่ทันเคลื่อนไหวก็เปลือยเปลื้องปราการทั้งมวล นอนแผ่หราอ้าซ่ารอคอยนายท่านทั้งหลายเลือกสรรแต่โดยดี
ฉินจิ่วเกอยื่นมือออก บรรทัดตารางนิ้วหนาหนักก็ลอยเข้าสู่ฝ่ามืออย่างเร่งร้อน
ระหว่างตัวมันและบรรทัดทอง ปรากฏเป็นการสื่อสารที่คล้ายมีคล้ายไม่มี ยามสะบัดกวัดแกว่งคล้ายแขนอีกข้างที่งอกเงยออก บงการบังคับได้ตามใจ เพียงความคิดบังเกิด บรรทัดตารางนิ้วก็เข้าสู่ตันเถียน สถิตอยู่ภายในพลังวิญญาณอันอบอุ่นของวังวนในตันเถียน
ฉินจิ่วเกอยามนี้กลายเป็นนายของบรรทัดตารางนิ้วแล้ว รับรู้ถึงความนึกคิดของนายเหนือคนก่อนของบรรทัดตารางนิ้ว
ที่แท้ ผู้สร้างบรรทัดตารางนิ้วขึ้นมา ก็คือนักจัดวางค่ายกลระดับเจ็ดผู้หนึ่ง
ในระหว่างกระบวนการสร้าง เนื่องจากกระบวนการเกิดความบกพร่องเล็กน้อย บรรทัดตารางนิ้วตกชั้นจากอาวุธชั้นเลิศ จึงถูกปรมาจารย์ท่านนั้นโยนทิ้ง สุดท้ายจับพลัดจับผลูตกมาอยู่ในมือของตระกูลซู
เหนือกว่าอาวุธชั้นบรรพกาล ก็คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงกลั่นดวงธาตุขึ้นไปจึงสามารถใช้งานได้
อาวุธศักดิ์สิทธิ์เมื่ออยู่ในมือของกลั่นดวงธาตุ สามารถยกระดับความสามารถในการต่อสู้ของอีกฝ่ายขึ้นได้มากที่สุดถึงสามเท่า ตัดภูผาผ่าแม่น้ำ ล้วนเป็นเรื่องง่ายดายขึ้นมาทันที
หากเมื่อครั้งกระโน้น กระบวนการหลอมสร้างบรรทัดตารางนิ้วสำเร็จสมบูรณ์โดยไร้ข้อผิดพลาด บรรทัดวิเศษเล่มนี้จะถูกยกคุณสมบัติเป็นศัสตราศักดิ์สิทธิ์
ทว่าน่าเสียดายที่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย อาวุธศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนเป็นเพียงอาวุธบรรพกาล จู่ๆ ก็ร่วงหล่นตกชั้นมาหนึ่งระดับอย่างน่าขายหน้า จิตวิญญาณในบรรทัดตารางนิ้วแน่นอนย่อมไม่พึงพอใจยิ่ง
ชนะเป็นจ้าว บรรทัดตารางนิ้วเองก็คิดหวังให้มียอดฝีมือท่านใดสามารถรับเอามันไปไว้ข้างกาย
ตระกูลซูหลายร้อยปีมานี้ไม่ปรากฏกลั่นดวงธาตุผุดโผล่ขึ้นมา อย่างมากที่สุดที่เคยมีก็คือพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด คิดหวังฝึกปรืออาวุธที่เคยเทียบชั้นศัสตราศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าจิตวิญญาณในอาวุธย่อมต้องปฏิเสธ
จวบกระทั่งการมาถึงของฉินจิ่วเกอ ผู้ใช้ระดับพลังชั้นปราณสุริยันขั้นปลายกระทำเรื่องราวที่แม้แต่พิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดยังกระทำไม่สำเร็จ มิอาจไม่เรียกว่ามหัศจรรย์
เพียงแต่กระบวนการของมันนั้น… มิอาจให้คนนอกคนใดได้ล่วงรู้
“มหัศจรรย์ มหัศจรรย์ยิ่ง” ผู้นำตระกูลซูเห็นฉินจิ่วเกอออกมาจากห้องลับ แม้รัศมีพลังจะหมองหม่นลดทอนลง ทว่าภายในตันเถียน ปรากฏพลังหนุนเสริมสายหนึ่งขึ้นอย่างชัดเจน นั่นย่อมเป็นบรรทัดตารางนิ้วไม่ผิดแน่
“เจ้าทำได้ยังไง?” ซูมู่ซวนเบิกตาจนโปนโต ช่างน่าประหลาดอะไรเช่นนี้
ฉินจิ่วเกอสะบัดมือสองข้างประกบเข้าหากันทำท่าคารวะ ใบหน้าไม่เห่อแดงไม่ทระนงตน “โชคดี โชคดีเท่านั้นเอง ข้ากระทำเรื่องราวล้วนเพื่อช่วยคนผดุงคุณธรรม ในเมื่อคนยังพอใจ ไหนเลยอาวุธวิเศษเล่มหนึ่งจะไม่พอใจได้? ศรัทธากล้าแกร่ง แม้แต่หินแข็งยังเคลื่อนขยับ ภายใต้การมุมานะพยายามไม่ย่อท้อของข้า ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ”
“ประเสริฐ ประเสริฐยิ่ง” อาวุโสทั้งหลายของตระกูลซูต่างรายล้อมเข้ามา ห้อมล้อมฉินจิ่วเกอไว้ตรงกลาง กลุ้มรุมปรบมือแสดงความยินดี
หลังผ่านพายุคำสรรเสริญตามพิธีของบรรดาพ่อค้าทั้งหลาย ฉินจิ่วเกอเอ่ยถามไถ่ “ผู้นำตระกูล ข้าไฉนเห็นตระกูลท่านขนย้ายข้าวของมากมาย หรือพวกท่านคิดไปจากเมืองล่วนโต้วแล้ว?”
ผู้นำตระกูลซูแววตาอ้างว้างโดดเดี่ยว สะอื้นกล่าว “มันจำเป็น พวกเราตระกูลซูคลุกคลีในเมืองล่วนโต้วมานานกว่าสามร้อยปี น่าเสียดายยามนี้ตระกูลตกต่ำลง ส่วนตระกูลหยวนเองก็มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ช้านานย่อมต้องลงมือต่อพวกเราแน่ๆ ข้าและเหล่าอาวุโสต่างปรึกษาหารือ ขายกิจการทั้งมวลของตระกูลภายในเมืองล่วนโต้วและอพยพออกจากเมืองเพื่อหลีกหนีเรื่องเดือดร้อน”
“ทว่า” ผู้นำตระกูลซูชะงัก ซูมู่ซวนกลับยืนขึ้นอย่างอาจหาญ บุคลิกลักษณะแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง “ทุกสิ่งที่เคยเป็นของตระกูลซูเรา ไม่ว่าช้าเร็วพวกเราย่อมต้องเอากลับคืนมาในมือให้ได้ รอจนตระกูลเรากลับคืนสู่สังเวียนเมื่อไหร่ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ตระกูลหยวนจะถูกขับไล่ออกจากเมืองล่วนโต้วบ้าง!”
“ขอให้เจ้าโชคดี” ฉินจิ่วเกอกอดซูมู่ซวน ชกเบาๆ ไปที่ทรวงอกของอีกฝ่าย
“เช่นนั้น พวกเราก็ขอให้พี่ฉินฝึกปรือก้าวหน้าไร้อุปสรรค วันหน้าคงได้พบกันใหม่” วัตถุสิ่งของทั้งหมดล้วนถูกบรรจุลงหีบห่อสัมภาระ ผู้นำตระกูลซูนำพาเหล่าอาวุโสประจำตระกูล วันนี้ต้องเสร็จสิ้นการอพยพโยกย้ายออกจากเมืองล่วนโต้วของพวกมัน
เมื่อหาอาจารย์ไม่พบ นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของผู้คนโดยแท้จริง
ฉินจิ่วเกอไม่เข้าใจ หรือเป็นอาวุโสใหญ่ต้องตาถูกใจธิดาบ้านใด เลยวิวาห์เหาะเหินกันไปแล้ว ที่ออกมากับมันที่จริงเป็นแผนลวง ตัวมันเองกลับพาสาวหลบหนีไปเสพสุข?
หากอีกสองวันให้หลังปรากฏอาวุโสใหญ่เดินทางอย่างชื่นมื่นรื่นรมย์กับหญิงสาวงดงามมาพบฉินจิ่วเกอ เช่นนั้นตนเองสมควรเรียกหาอีกฝ่ายว่าอาจารย์หญิง? หรือประณามอาวุโสใหญ่ทรยศปณิธานแห่งสุนัขโสดคนโดดเดี่ยวของพรรคหลิงเซียวกันเล่า?
“ออกจากเมืองพร้อมกันเถอะ” ฉินจิ่วเกอเองก็คิดออกจากเมืองล่วนโต้วอันสับสนวุ่นวาย เสาะหาอาวุโสใหญ่ตามรอบนอกชานเมืองแทน
ไม่แน่ มันอาจจู่ๆ หาตัวอาจารย์ของมันเจอ ซุกซ่อนในดงไม้ดงหญ้าอันใดก็ได้ ฉินจิ่วเกอเดาสุ่มด้วยมีอคติ
“ตกลง” ผู้นำตระกูลซูผงกศีรษะ หลายวันมานี้ ตระกูลหยวนรักษาความสงบเงียบ นับเป็นบุคคลตัวอย่างของการพูดได้ทำได้อย่างแท้จริง
ไม่ว่าตระกูลซูจะขายกิจการหรืออพยพย้ายถิ่นฐาน ตระกูลหยวนยังคงเก็บเงียบเรียบร้อย นับแต่ต้นจนจบล้วนไม่แยแสสนใจ
ยิ่งเป็นเช่นนั้น ตระกูลซูยิ่งไม่แน่ใจในเจตนาของตระกูลหยวน ได้แต่เก็บรวบรวมทรัพย์สินเงินทอง เสาะหาสถานที่เงียบสงบไร้คลื่นลมเพื่อบ่มเพาะสักหลายสิบปี
อาศัยทุนรอนทรัพย์สมบัติของตระกูลซูที่มี สามารถใช้ได้ไปอีกหลายสิบปี มิใช่ไม่อาจทวงคืนที่สูญเสียไปในวันนี้ได้
ฉินจิ่วเกอขึ้นควบม้า เดินทางออกจากเมืองพร้อมตระกูลซู
ปรมาจารย์นักปรุงยาท่านนั้นพอดีรอคอยอยู่ที่หน้าประตูเมือง มันสนทนาแลกเปลี่ยนกับผู้นำตระกูลซูเล็กน้อย ตระกูลซูในวันนี้ชิงออกจากเมืองล่วนโต้วก่อน มันเองก็มาเพื่อส่งสหาย
ฉินจิ่วเกอเองก็แสดงท่าทางคารวะทักทายปรมาจารย์เหยียนโดยไม่ออกเสียง คนทั้งสองร่วมเดินทางส่งผู้นำตระกูลซูออกนอกเมือง จวบกระทั่งถึงที่ห่างไกลจากประตูเมือง
ท่ามกลางทะเลทรายเวิ้งว้าง ผืนทรายตะปุ่มตะป่ำขึ้นลงไม่ราบเรียบ ต้นหญ้าแห้งแล้งตายซากทอดยาวตลอดรายทาง โดดเดี่ยวเวิ้งว้างไร้เงาสิ่งมีชีวิต
นี่คือกลุ่มคนตระกูลซูชุดสุดท้าย นอกจากผู้นำตระกูลซูและอาวุโสไม่กี่คน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเด็ก สตรี และคนชรา
ก่อนหน้านี้พวกมันกริ่งเกรงตระกูลหยวนล้างแค้น ตระกูลซูรอคอยชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อนค่อยๆ กระจายตัวออกจากเมือง ขบวนแรกเหล่านั้นล้วนเป็นเหล่ารุ่นเยาว์ของตระกูล
ผู้คนหลายร้อยอพยพโยกย้ายออกจากถิ่นฐานบ้านช่องอันคุ้นเคย เดินทางกันไปอย่างเงียบงันราวความตาย เสียงสะอื้นร่ำไห้ดังขึ้นเป็นระยะๆ ตามมาด้วยเสียงกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงท้องไป
มีบรรยากาศโศกาอาดูรอยู่ประเภทหนึ่ง บรรยากาศประเภทนี้มักกดทับอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ตระกูลซูยามนี้คนจากลาล้วนชืดชา ผู้ที่มาส่งพวกมันนอกจากปรมาจารย์เหยียนแล้วก็มีบุรุษหนุ่มที่เพียงเพิ่งรู้จักหนึ่งคนเท่านั้น
เมื่อมาถึงร้อยลี้นอกเขตเมืองล่วนโต้ว เป็นปากทางเข้าสู่เทือกเขานับหมื่นพัน ขุนเขาไสลสลับทับซ้อนเป็นชั้นๆ ยอดภูเขาสูงชะลูดสุมซ้อนกันไป บนภูเขานอกจากความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ก็คือความโดดเดี่ยวอ้างว้าง น้อยครั้งจะพบพานสัญญาณชีวิต
“ขอบคุณทั้งสองท่านที่มาส่ง วันหน้าค่อยพบกันใหม่” ผู้นำตระกูลซูส่งสัญญาณให้หยุดขบวน บอกกล่าวร่ำลาต่อปรมาจารย์เหยียนและฉินจิ่วเกอด้วยจิตใจอันเจ็บปวด
“อืม รักษาตัวด้วย” ปรมาจารย์เหยียนผู้ไม่ชมชอบพูดจากล่าวลา น้อมส่งผู้นำตระกูลซูรอบนี้ น้ำใจเก่าก่อนถือว่าล้วนตอบแทนกลับคืนหมดสิ้นแล้ว
“ฟ้ากว้างดินไพศาล ดีร้ายผู้ใดกำหนด ผู้นำตระกูลซู ครั้งหน้าที่พบกัน หวังว่าท่านกลับคืนสู่เมืองล่วนโต้วแล้ว”
“เฮ้อ น้ำใจสหายไม่ยั่งยืน ตระกูลซูข้าทำการค้าในเมืองล่วนโต้วมานานหลายร้อยปี มาถึงรอบนี้ที่ต้องอำลาจากไป สหายเก่าทั้งหลายล้วนหายหน้าไปสิ้น” ผู้นำตระกูลซูใจดั่งน้ำนิ่ง คนหยุดลงที่ปากทางเข้าเทือกเขาสิบหมื่นบรรพต มรสุมลมพายุฝนซัดสาดในใจ อาชาไม่ก้าวเดินไปเบื้องหน้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ขณะที่ผู้นำตระกูลซูและบริวารกำลังจะเข้าสู่ภายในภูเขา ปรากฏเสียงหัวร่ออย่างบ้าคลั่งสายหนึ่งครอบคลุมลงมาจากทั่วทั้งสี่ทิศ สุ้มเสียงสะท้อนออกมาจากภายในส่วนลึกของภูเขา สะท้อนก้องไปมาราวเสียงอสนีบาตฟาดถล่ม
“ผู้ใด?” ผู้นำตระกูลซูสยบอาชาใต้ร่างที่ได้รับความแตกตื่น ในใจขนลุกชี้ชัน ร่างเย็นวาบด้วยสังหรณ์ร้าย
ภายในทางน้อยที่ทอดเข้าไปในหุบเขา พลันปรากฏกลุ่มคนและม้าขึ้นกลุ่มหนึ่ง จากนั้น โดยรอบบริเวณปรากฏเหล่าโจรร้ายผุดโผล่ออกมา ห้อมล้อมตระกูลซูเอาไว้อย่างแน่นหนา
ภายในกลุ่มโจรปรากฏธงยกชูขึ้นท้าทาย บนป้ายขีดเขียนด้วยอักษรเลือดเป็นคำว่าประหารเทพสามตัว
ปรมาจารย์เหยียนเองก็คาดไม่ถึง ไม่นึกว่าจะมีคนกล้าคิดกำจัดล้างตระกูลซูให้สิ้นซาก
ตัดหญ้ายังเหลือตอ ขนาดมีตนเองนั่งบัญชาการ กลับยังมีคนกล้าลงมือกับตระกูลซู?
ซูมู่ซวนรวมถึงเหล่าอาวุโสต่างร้อนรน พวกมันคือกลุ่มขบวนปิดท้ายของตระกูล ภายในขบวนเต็มไปด้วยเด็กสตรีผู้ชรา รวมทั้งยังมีขุมกำลังหลักของตระกูล หากถูกกำจัดล้างลง ณ ที่นี้ ตระกูลของมันล้วนจบสิ้นกัน
“พวกเจ้าเป็นใคร ผู้ใดบงการพวกเจ้า ล้วนไสหัวไปให้แก่ข้า!!” ปรมาจารย์เหยียนตวาดลั่น ด่าทอบรรดาโจรร้ายอย่างไม่หวาดหวั่น
“ฮ๋าฮ่า ตระกูลซูคิดไป ไฉนไม่ไปร่ำลาตระกูลหยวนของข้าบ้าง หรือว่าไม่เห็นหัวข้า?”
“น่าเบื่อสิ้นดี พวกตัวร้ายออกโรงทีไรต้องหัวเราะสองทีตลอด ไม่กลัวสำลักบ้างหรือไง” ฉินจิ่วเกอเห็นอักษรประหารเทพ ก็สามารถเชื่อมโยงได้ว่าผู้จัดฉากบงการคือตระกูลหยวน
“บรรพชนตระกูลหยวน หยวนเฟิง?” ผู้นำตระกูลซูตะลึงลาน ตระกูลหยวนถูกยอดคนในเมืองเทียนเอินไล่ล่าฆ่าล้าง ยอดฝีมือล้วนต้องตาย เหลือเพียงบรรพชนหยวนเฟิงที่รอดชีวิตมาได้ นั่นคือยอดคนชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่ง!
“อะไรกัน? คิดไม่ถึง?” หยวนเฟิงนำพาบุตรหลานมา บุตรหลายทั้งตระกูลผุดโผล่ออกมาจากทางภูเขา คนออกคำสั่งตั้งขบวนใส่คนนับร้อย เรียกว่าเจตนาดีไม่มาโดยแท้
“หยวนเฟิง เจ้าหมายความว่ายังไง?” ปรมาจารย์เหยียนก้าวออกไป เอ่ยถามอย่างอาจหาญ
“ตาแก่ไม่รู้จักตาย เดิมทีตระกูลหยวนเราฮุบกลืนตระกูลซู เป็นเรื่องระหว่างพวกเรา ประดุจดั่งน้ำบ่อไม่ก้าวก่ายน้ำคลอง แต่เจ้ากลับมากวนน้ำให้ขุ่น ใช้ฐานะของเจ้าลากถ่วงตระกูลเราไว้ ตอนนี้อยู่ในถิ่นของเรา ยังกล้าอวดเบ่งถึงขั้นนี้!”
บรรพชนหยวนไม่แยแสฐานะของปรมาจารย์เหยียน ออกปากด่าทออย่างเผ็ดร้อน ยามนี้ฟ้าสูงฮ่องเต้ไกล นักปรุงยาคนหนึ่งไม่นับเป็นอันใดได้
ปรมาจารย์เหยียนคิดไม่ถึงว่าตระกูลหยวนกล้าทำอย่างนี้ต่อตนเอง หน้ากลับกลายเป็นเขียวคล้ำ มันเป็นถึงนักปรุงยาระดับสี่เชียวนะ !
“เจ้า พวกเจ้าขวัญกล้าบังอาจนัก ไม่กลัว..”
ไม่รอจนปรมาจารย์เหยียนกล่าวจบ ฉินจิ่วเกอแค่นหัวเราะขื่น ก้าวเท้าออกมา
มันดึงผู้ชราที่กำลังเมาโทสะกลับเข้าขบวน เอ่ยแยกแยะ “พวกมันเมื่อกล้าโผล่ออกมา ย่อมมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดรอดกลับไปได้”
ผู้คนทั้งหมดงุนงงสงสัย ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่ม “ถึงตอนนั้น ค่อยป่าวประกาศว่าระหว่างการถอนตัวอำลาของตระกูลซู กลับพบเจอกับโจรร้ายรอบนอกเมืองล่วนโต้วเข้าปล้นชิง ในความชุลมุนล้วนถูกฆ่าตายหมดสิ้น มิใช่กลบเกลื่อนได้อย่างแนบเนียนหรอกหรือ”
.
.
.