เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 94 ดาวช่วยชีวิตมาถึง
“เข้ามาเถอะ ใครจะไปใครจะอยู่ มาลองดูสักตั้ง!” ฉินจิ่วเกอรักษาท่วงท่าแมวจ้องตะครุบเหยื่อ ชักกระบี่ไร้คมออกกวัดแกว่งเข้าต่อกรกับคนทั้งสอง หากไม่ได้ดึงบรรทัดตารางนิ้วออกมาทันที
มันคิดทดสอบดูก่อนว่าระหว่างคนทั้งคู่ผู้ใดเข้มแข็งกว่า เคล็ดกิเลนครองฟ้าอันทรงพลังสูงสุด เมื่อใช้ควบคู่กับอาวุธบรรพกาล สามารถสังหารพวกมันได้หนึ่งคน ชายหนุ่มต้องเลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเป้าคนแรก
แม่ทัพไปศึกค่อยดับขันธ์ คูน้ำใกล้บ่อรอวันรั่ว นักล่าจะตายก็ตายตอนล่าเหยื่อนี่ล่ะ
นายโจรหลิวและหยวนหลงทุ่มกำลังโจมตีทั้งหมดหวังสังหารคน ขณะที่ฉินจิ่วเกอเองก็วางแผนลากสายตกปลายาวเพื่ออ่อยเหยื่อ ดูว่าผู้ใดแกร่งสุดผู้นั้นต้องตายก่อน
เพล้งเพล้ง!
ชัดเจนว่ามีนักจัดวางค่ายกลสร้างยันต์พิทักษ์ชีพ น่าเสียดายที่อักขระยันต์ล้วนเป็นของตาย
เกราะกำบังช่วยพิทักษ์ปรมาจารย์เหยียนและผู้นำตระกูลซูไว้ได้ชั่วคราว ก็ถูกหยวนเฟิงใช้พลังกลั่นดวงธาตุของมันโจมตีแตกสลายไปต่อหน้าต่อตา
ภายใต้กำปั้นนี้ หากมิใช่ชนชั้นกลั่นดวงธาตุไม่อาจต้านรับได้เลย
ประมุขตระกูลซูบรรลุถึงขีดสุดขั้นวิสุทธิ์ไพศาล แต่เพียงคลื่นพลังสีทองแล่นผ่านร่าง ปากก็กระอักโลหิตออกมา
ต่อให้เป็นขีดสุดวิสุทธิ์ไพศาล ต่อหน้าชนชั้นกลั่นดวงธาตุ ก็ล้วนไม่ต่างอะไรจากขยะ
ปรมาจารย์เหยียนก็ตาขาว ไหนเลยจะกล้าท้าทายหยวนเฟิง มันจำต้องนอบน้อมโอนอ่อน ละทิ้งความโอหังไว้เบื้องหลัง คุกเข่าขอความเมตตาจากอีกฝ่าย
ผัวะ!
ฝ่ามือตบฟาดออก เดิมก็ไม่ชอบหน้านักปรุงยาอยู่แล้ว หยวนเฟิงจึงตบอีกฝ่ายจนปลิวลิ่ว
มันจงใจออมมือไว้ เพียงทำให้ปรมาจารย์เหยียนฟันร่วง ปากจมูกเลือดท่วม
ความจริงพิสูจน์ชัด นอกจากอาวุโสสี่ของพรรคหลิงเซียวแล้ว นักปรุงยาคือบุคคลไร้พิษภัยที่คนทั่วไปเข้าถึงง่าย
กิจกรรมของนักปรุงยาในทวีปฉงหลิง ยิ่งง่ายดายในการถูกเข้าใจผิดและเกิดความอาฆาตจากผู้คน
ยันต์พิทักษ์ชีพของปรมาจารย์เหยียนถูกหยวนเฟิงฉีกทำลายอย่างง่ายดาย ผู้นำตระกูลซูสีหน้าฉายแววสิ้นหวัง มันโจมตีสังหารโจรเล็กโจรน้อยไปอีกหลายราย ลมหายใจเย็นเยียบ วันนี้ตระกูลซูประสบหายนภัยยากรอดพ้น สิ้นหวังไร้หนทาง
“หญ้าเปื่อยคิดแข่งขันกับจันทร์สุกใส?” หยวนเฟิงลอยค้างกลางอากาศเหนือแอ่งโลหิตที่หลั่งนอง สีหน้าเยือกเย็นไร้ใจราวภูตเทพ
ปรมาจารย์เหยียนหอบหายใจ ปากอ้าไม่ทันออกเสียงก็สาปแช่งด่าทออย่างดุร้าย
“ผู้ชนะเป็นจ้าว ลงมือเถอะ!” ผู้นำตระกูลซูล้มลงกับพื้น ปิดตาไม่มองดูอีก เสียงคร่ำครวญกรีดร้องโหยหวนก่อนตายของคนในตระกูลเสียดแทงแทรกลึกเข้าสู่ใบหูมัน
หยวนเฟิงแค่นเสียงเย็น ยกเท้าเตะส่งๆ ใส่ศีรษะไร้ลำตัวที่กลิ้งหลุนๆ ออกไปให้พ้นทาง “ดี ข้าส่งพวกเจ้าไปปรโลกเอง!”
ขณะที่หยวนเฟิงกำลังจะถอนรากถอนโคน ทางด้านข้าง ฉินจิ่วเกอเองที่กำลังประมือกับสองโจรร้ายค่อยๆ เสียเปรียบขึ้นเรื่อยๆ
ฉินจิ่วเกอวางแผนตระเตรียมใช้ออกด้วยบรรทัดตารางนิ้วได้ทุกเมื่อ อยู่ที่ว่าจะฆ่าใครก่อนดี
หันซ้ายแลขวา ฉินจิ่วเกอยังไงก็รู้สึกว่าหยวนหลงมีแรงคุกคามมากกว่า ถึงยังไงอีกฝ่ายก็อายุยังน้อย ทั้งยังมีพรสวรรค์ด้านการฝึกปรือที่สูงส่งมากทีเดียว
หันกลับมามองนายโจรหลิว คนผู้นี้ชะตาชีวิตมาได้เพียงเท่านี้ ภัยคุกคามอยู่ในขอบเขตจำกัด
“เจ้าเด็กนี่ยื้อได้อีกไม่นานแล้ว รีบสังหารมันเร็วเข้า! ” หลังสู้ศึกกันมาพอสมควร นายโจรหลิวถึงค่อยตื่นตะลึงเมื่อพบว่า ที่แท้เจ้าสารเลวนี่กลับมีฝีมืออยู่พอตัว ตัวอันตรายเยี่ยงนี้จะปล่อยเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด
หยวนหลงผงกศีรษะเห็นด้วย มันเองก็หวาดกลัวในศักยภาพของฉินจิ่วเกอเหมือนกัน จึงหมายมั่นที่จะดับชีวิตอีกฝ่ายในคราเดียว
“ลองเจอยันต์หยกหน่อยเป็นไร! ” ในมือหยวนหลงพลันปรากฏแผ่นยันต์ขนาดครึ่งฝ่ามือขึ้นมาแผ่นหนึ่ง ลักษณะเหมือนแผ่นน้ำแข็งบางเฉียบที่แผ่ระลอกพลังวิญญาณอันแกร่งกร้าวออกมา
นี่คือยันต์หยก มีแต่ชนชั้นกลั่นดวงธาตุเท่านั้นจึงจะสามารถผลิตออกมาได้
ภายในบรรจุไว้ด้วยพลังจู่โจมขั้นสูงสุดของผู้สร้างที่เป็นกลั่นดวงธาตุ ซึ่งโดยปกติแล้วจะถูกส่งมอบให้กับศิษย์ในตระกูลเพื่อเป็นไพ่ตายรักษาชีวิต
นั่นเป็นถึงการโจมตีของยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุ ต่อให้พลังในรูปแบบยันต์จะด้อยอานุภาพกว่ายามปกติ แต่ก็ยังไม่ใช่พลังที่ปุถุชนทั่วไปจะรับมือได้โดยเด็ดขาด
ฉะนั้นยันต์หยกในมือของหยวนหลงย่อมเพียงพอที่จะสร้างความบาดเจ็บเจียนตายให้แก่พิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด
ฉินจิ่วเกอเองก็รู้ว่าของในมือหยวนหลงคือสิ่งใด ไม่ยุติธรรม! อาวุโสใหญ่ไม่เห็นเคยให้ของอย่างนี้กับมันบ้างเลย เอาแต่พูดว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนอยู่นั่น
ณ เวลาเช่นนี้ ฉินจิ่วเกอไม่กล้าซุกงำไพ่ในมืออีกต่อไป พลังจู่โจมของยันต์หยกสามารถทำให้พิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดบาดเจ็บปางตาย หากมันยังลังเลไม่ทุ่มออกสุดตัว น่ากลัวว่าจะจบเห่กันเพียงเท่านี้
“เคล็ดกิเลนครองฟ้า! ” เกิดเสียงเปรี๊ยะๆ สองครา พร้อมกับฝ่ามือขนาดใหญ่ยักษ์ที่ผนึกก่อตัวขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีประกายแสงสีทองสาดวาบออกมาจากจุดตันเถียนของฉินจิ่วเกอ
แสงสีทองนั้นลอยหวือไปทางฝ่ามือใหญ่ยักษ์ข้างนั้น ก่อนถูกรวบกำไว้แน่นหนา ในอากาศถึงกับปรากฏบรรทัดสีทองเล่มใหญ่ขึ้นแทนที่ ราวกับสามารถตัดผ่าภูผา สะบั้นศีรษะได้ง่ายๆ
ก่อนหน้านี้บรรทัดตารางนิ้วอย่างน้อยก็มีโอกาสที่จะได้กลายเป็นศาสตราศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้การยกระดับขั้นจะล้มเหลว แต่ในหมู่ศาสตราบรรพกาลก็ยังถูกจัดให้อยู่ในระดับสูงส่งสุดสูงอยู่ดี
ฝ่ามือข้างนั้นกวัดแกว่งบรรทัดในมือไปมา ก่อกวนคลื่นลมมรสุม อากาศโดยรอบเริ่มเดือดพล่าน
เอาแค่ขนาดที่น่าหวาดสะพรึงนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้โจรภูเขาทั้งหมดต้องหวาดกลัวได้แล้ว พลังชนิดนี้ ต่อให้เป็นพิสุทธิ์ไพศาลก็ยังไม่กล้าส่งเสียงรบกวน
ทันใดนั้น คนทั้งหมดก็หยุดโจมตี ต่างเงยหน้ามองไปทางไหล่เขาเป็นตาเดียว
ยันต์หยกในมือหยวนหลงสลายไป ยันต์คุ้มภัยที่บรรพชนมอบให้แก่มันสำแดงพลังออกมา แผ่พุ่งไปทางฝ่ามือยักษ์ข้างนั้น ฝ่ามือนั้นปกคลุมไปด้วยเกล็ดของกิเลน ลักษณะเหมือนกรงเล็บมังกรดำที่มีชีวิต กล้ามเนื้อกระดูกของเสือขาวและขนที่ส่องประกายดั่งผลึกหงส์อัคคี เทียบกับพลังของกลั่นดวงธาตุแล้วยังน่าเกรงขามยิ่งกว่า
นายโจรหลิวยามนี้เผ่นหนีไปไกลลิบแล้ว พลังทั้งสองสายต่างก็สามารถบดขยี้มันได้ง่ายๆ
ตูมม!
การจู่โจมของยันต์หยกคล้ายจะเป็นการจู่โจมทางจิต เมื่อบรรลุถึงฝ่ามือยักษ์ก็ทะลุผ่านไป พุ่งฉิวเข้าหาฉินจิ่วเกอ
ศักดานุภาพทางวิชายุทธ์ของเคล็ดกิเลนครองฟ้านั้นกระทั่งสูงล้ำยิ่งกว่าขีดจำกัดเก้าระดับเสียอีก ทั้งยังมีคลื่นทางจิตวิญญาณอันเก่าแก่เหมือนๆ กันแฝงอยู่
แกร่ก หัตถ์กิเลนเบนทิศกลับหลัง ท่าทางราวกับอาจารย์ผู้เข้มงวดที่กำลังเงื้อไม้บรรทัดขึ้นตระเตรียมที่จะลงโทษนักเรียนที่ประพฤติตัวไม่ดี บรรทัดตารางนิ้วในมือวาดหวดลงใส่พลังโจมตีสายนั้นอย่างหมดจดงดงาม
“แย่แล้ว! ” ตอนที่หยวนหลงเริ่มใช้ยันต์หยก หยวนเฟิงที่อยู่บนตีนเขาก็แสดงปฏิกิริยาออกมาทันที
เพราะยันต์หยกนั่นเป็นสิ่งที่มันสร้างขึ้นเอง ด้านในจึงมีสัมผัสเทวะของมันอยู่ ทันทีที่พบเห็นหัตถ์ปีศาจอันเร้นลับข้างนั้น หยวนเฟิงก็คาดการณ์ได้ทันทีว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร
หลงเอ๋อร์กำลังจะแพ้!
คว่าก
บรรทัดตารางนิ้วตัดผ่าการจู่โจมสายนั้นจนขาดสะบั้น ก่อนจะถูกหัตถ์กิเลนผนึกตรึงเอาไว้กับพื้นอย่างแน่นหนา
จากนั้นบรรทัดก็ยืดขยายออกจนมีขนาดใหญ่กว่าเดิมสิบเท่า เหมือนศิลาสวรรค์ร่วงหล่นลงจากฟ้า สะกดทับพลังจู่โจมของยันต์หยกแผ่นนั้นเอาไว้อย่างดื้อด้าน
ยันต์หยกจะอย่างไรก็เป็นวัตถุไร้ชีวิต ฉะนั้นจึงไม่อาจต้านรับพลังที่ทาบทับลงมาได้นาน เพียงพริบตาก็เริ่มเกิดรอยปริแตก
ประกายวิญญาณภายในเริ่มที่จะเสื่อมสลายโรยแรง พลังเสี้ยวสุดท้ายยังคงดิ้นรนขัดขืน หากท้ายที่สุดก็ถูกหัตถ์ปีศาจข้างนั้นบดขยี้จนสูญสลายไป
กึง! บรรทัดตารางนิ้วร่วงเสียบลงกับพื้น เกิดรอยลึกราวร้อยฉื่อ สามารถจินตนาการได้ว่าพลังเมื่อครู่นั้นน่าหวาดหวั่นปานใด
“ทารกน้อย เจ้ากล้า! ” หยวนหลงคือความหวังในการฟื้นฟูตระกูลหยวน หยวนเฟิงจึงมิอาจไม่ร้อนใจ ล้มเลิกการล่าล้างปรมาจารย์เหยียนและประมุขตระกูลซู ก่อนมุ่งหน้าขึ้นไหล่เขาด้วยความเร็วสูง
ก่อนหน้าที่ได้พบเห็นรูปโฉมของฉินจิ่วเกอ มันก็รู้แล้วว่าเจ้าหมอนี่จะต้องไม่ใช่สุภาพชนคนดีอย่างแน่นอน หากอีกฝ่ายคิดฆ่าคน มันก็กล้าที่จะฆ่าจริงๆ!
ยันต์หยกสลายกลายเป็นผง ไพ่ตายใบสุดท้ายของหยวนหลงไม่ประสบผลสำเร็จ สายตาตอนที่มองมาทางฉินจิ่วเกออีกครั้งเต็มไปด้วยความอาฆาต ตอนที่บรรทัดตารางนิ้วถูกดึงออกมา อาวุธเล่มนั้นก็กวาดวาดเข้าหามันแล้ว อีกนิดเดียวก็จะบรรลุถึงตัว
“อย่า! ” หยวนหลงสับเท้าล่าถอยจนวุ่นวาย คนรู้สึกเหมือนตกลงสู่โพรงน้ำแข็ง ถูกพลังคุกคามของฉินจิ่วเกอทำให้หวาดกลัวจับใจจนลืมที่จะหลบ
ในกรอบสายตาคือใบหน้าอันดุดันที่เพียงพริบตาก็แทบจะเข้ามาประชิด องคาพยพทั้งห้าของอีกฝ่ายค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนท้ายที่สุดแม้แต่รูขุมขนก็ยังปรากฏให้เห็นชัดเจน แสงสีทองอร่ามโรยตัวเหมือนสายน้ำขึ้นก่อน ตามมาด้วยบรรทัดที่เปี่ยมท้นพลังวาดกราดลงเบื้องล่าง ฟาดถล่มลงใส่กระหม่อมของมัน
สาเหตุที่ศาสตราบรรพกาลเป็นวัตถุอันล้ำค่าก็เพราะสติปัญญาที่แฝงอยู่ในตัวศาสตรา อันเป็นสิ่งที่สามารถยกระดับไอวิญญาณภายในร่างของผู้ฝึกตนได้อย่างมากมายมหาศาล
กระทั่งว่าความแหลมคมของศาสตราบรรพกาลนั้นสามารถผ่าการป้องกันของคู่ต่อสู้ได้ง่ายๆ
นอกจากสัตว์อสูรแล้ว แทบจะไม่มีใครที่กล้าใช้ร่างกายเปลือยๆ ต้านรับศาสตราวุธซึ่งหน้า
“หยุดมือ! ” ตอนที่ฉินจิ่วเกอวาดบรรทัดตารางนิ้วลงกลางกระหม่อมของหยวนหลง หยวนเฟิงยังอยู่ห่างออกไปร้อยเมตร ทำได้เพียงเบิ่งตามองอยู่ไกลๆ
เพื่อที่จะข้ามระยะหนึ่งร้อยเมตร หยวนเฟิงจำต้องใช้เวลาสองวินาที ในเวลาสองวินาทีนี้ ตอนที่มันเพิ่งตะโกนให้หยุด ฉินจิ่วเกอก็ชะงักไปหนึ่งวินาที จากนั้น ชายหนุ่มก็ยิ่งเพิ่มแรงจู่โจมอย่างเหี้ยมเกรียมไม่ยั้งมือมากขึ้นไปอีกขั้น
โพล๊ะ!
เกิดเสียงเหมือนลูกแตงโมถูกผ่ากระจาย ของเหลวสีขาวปนแดงทะลักล้นออกมา กะโหลกศีรษะที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งลอยกระเด็นขึ้นฟ้า สร้างความตกใจกลัวจนขวัญบินให้กับนายโจรหลิวที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ
พอเห็นหยวนเฟิงกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งพุ่งตัวมาราวกับเสียสติ นายโจรหลิวก็หันหลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ไม่กล้ามีความคิดยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป
“มอบชีวิตเจ้ามา! ” เมื่อหยวนเฟิงประชิดใกล้ฉินจิ่วเกอ หยวนหลงก็ได้ถูกผ่าแยกศีรษะออกเป็นสองซีกไปแล้ว เหลือไว้เพียงซากศพไร้ชีวิตที่แทบทนดูไม่ได้ ทั้งยังกระตุกอยู่เป็นพักๆ
ฉินจิ่วเกอมือหนึ่งถือบรรทัดตารางนิ้ว สายตาจ้องมองหยวนเฟิงอย่างไม่ลดละ จากนั้นก็สะบัดตัววาดบรรทัดในมือออกใส่อย่างดุดัน
ตูม!
แม้แต่ขุนเขายังต้องสั่นสะเทือน ฉินจิ่วเกอร่างปลิดปลิวโลหิตพุ่งกระฉูด แสงวิญญาณบนบรรทัดในมือรุบหรู่ลงทันควัน บ่งบอกว่าต้านรับแรงปะทะมหาศาล หยวนเฟิงรั้งพลังไว้ครึ่งหนึ่ง มันไม่คิดปล่อยให้ฉินจิ่วเกอตายไปง่ายๆ เช่นนี้แน่
คนร่วงหล่นลงกระแทกพื้น ร่างคลุกเปื้อนดินจนกลายเป็นเนินขนาดย่อมๆ พลังอันมหาศาลวิ่งพล่านไปทั่วร่างเหมือนสายอสนีบาตแปลบปลาบ สร้างความเจ็บปวดไปถึงเส้นชีพจรจุดตันเถียน เลือดที่กระอักออกมาติดๆ กันยังส่งควันร้อนฉุยอีกด้วย
ขอบเขตกลั่นดวงธาตุ ไม่ใช่ขอบเขตที่คนทั่วไปจะบรรลุถึงได้จริงๆ ช่างน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก!
“ไสหัวออกมา! ” หยวนเฟิงแหวกตัดอากาศ ใช้พลังที่เหลือในร่างป่นสลายพื้นดินก้อนศิลาที่ขวางทาง ก่อนคว้าตัวฉินจิ่วเกอออกมาจากพื้น ดึงทึ้งอีกฝ่ายจนเหมือนตุ๊กตาที่พังยับเยิน
“ฮึ่ม เจ้าเด็กเมื่อวานซืน ฝีมือแค่นี้ยังกล้าลำพองเสนอหน้า จำไว้เป็นบทเรียนเสีย เผื่อวันหน้าจะไม่ไร้สมองถูกใครฆ่าตายเอาเสียก่อน” บุคคลปริศนาส่งเสียงมา ก่อนมายืนขวางอยู่หน้าฉินจิ่วเกอ หยวนเฟิงที่บุกตะลุยเหมือนวัวคลั่งมาโดยตลอดพลันถูกห้ามทัพไว้เท่านี้
“แค่กๆ ” ฉินจิ่วเกอเริ่มเห็นดวงดาว ศีรษะหมุนคว้างจวนเจียนจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อ จึงทำได้แค่ทรุดตัวลงแหงนหน้าขึ้นมองผู้มาแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์ของท่านผู้นี้เป็นดั่งวีรชนผู้กล้า ทันทีที่พบเห็นความอยุติธรรมจึงชักดาบออกมาช่วยเหลือทันที”
“ผายลมสิ” อาวุโสใหญ่แค่นเสียงออกจมูก “ขู่กระโชกทรัพย์จากตระกูลหยวนมาหลายหมื่น เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้?”
ฉินจิ่วเกอยิ้มขื้น : “ท่านเอาแต่ป้วนเปี้ยนอยู่ในเมืองล่วนโต้ว รอถึงตอนนี้ถึงค่อยออกมา”
อาวุโสใหญ่ฉีกยิ้มกว้าง ชัดเจนว่าศิษย์ถูกทุบตีจนปางตาย ตนรู้สึกสบายตัวสบายใจยิ่ง “คนหนุ่มคนสาวไม่รู้จักยั้งคิด กระทำเรื่องราวอย่างหุนหันพลันแล่น ครั้งนี้ถือว่าเป็นบทเรียนเตือนใจ เพื่อที่ว่าครั้งต่อไปจะได้ไม่ไปสร้างปัญหาที่ไหนอีก”
บ่งบอกว่า ตั้งแต่ลืมตามองดูโลกจนถึงบัดนี้ ฉินจิ่วเกอก็เป็นยอดฝีมือตัวน้อยด้านการก่อกวนเรื่องราวมาตลอด สมัยยังเล็กก็ได้ก่อวีรกรรมฉี่รดตัวอาวุโสใหญ่ เผาบ้านไปเกือบครึ่งหลัง จนอาวุโสสามต้องทุบอกด้วยความคั่งแค้น
มาจนถึงตอนอายุได้เจ็ดขวบ พรรคหลิงเซียวก็ถูกหายนะร่วงหล่นใส่กบาลมาอย่างต่อเนื่องตามกัน จนกลายสภาพไปเป็นสถานที่เปลี่ยวร้างที่แม้แต่สุนัขยังไม่กล้าเฉียดกราย แม้แต่หนูยังไม่กล้าออกหากินตอนกลางคืน
ส่วนตอนที่ฉินจิ่วเกออายุได้สิบห้าสิบหกสิบเจ็ดนั้น ในพรรคยิ่งวุ่นวายจนไก่เตลิดสุนัขเผ่นหนี ความเกลียดชังของศิษย์ภายในพรรคที่มีต่อศิษย์พี่ใหญ่เรียกได้ว่าเทียบเท่ากับนายโจรหลิวเลยทีเดียว
หลังจากตกระกำลำบากเพราะฉินจิ่วเกอมานานยี่สิบปี ศิษย์ตรงหน้าถึงค่อยเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา แต่สุดท้ายพอออกนอกพรรคก็ไปตอแยพรรคจอกประกายสิทธิ์และผู้ฝึกวิชาปีศาจเข้าอีก ดูท่าคงต้องตามเช็ดตามล้างมันไปชั่วชีวิต
พอได้เห็นเจ้าเด็กเกกมะเหรกนี่แล้ว อาวุโสใหญ่ก็มีความคิดที่จะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายคามือมาได้ระยะหนึ่งแล้วเหมือนกัน
ติดตรงที่สายสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์อันแน่นแฟ้น โดยปกติจึงไม่อาจลงมือขั้นเด็ดขาด
ครั้งนี้ได้หยวนเฟิงลงมือแทน เรียกได้ว่าประเสริฐเลิศเลอยิ่ง สมควรได้รับเสียงปรบมือจากฝูงชนสักรอบหนึ่ง
“เจ้า เจ้าเป็นใคร? ” หยวนเฟิงเห็นอีกฝ่ายคลี่คลายการจู่โจมของตนได้ง่ายๆ บวกกับโฉมหน้าที่เปล่งรัศมีดั่งเทพเซียนของอีกฝ่าย แปลว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับยอดฝีมือ
ยอดฝีมือตัวจริง จำต้องมีผมเผ้าขาวโพลน มีเครายาว ใบหน้าอิ่มเอิบเปี่ยมไมตรี รัศมีเซียนซึมลึกถึงกระดูก
.
.
.