เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 149 ไม่อาจบังคับได้
บทที่ 149 ไม่อาจบังคับได้
เหยาจินเกอมึนงง “หมอเวิน ห้องประชาสัมพันธ์ตามหาคุณทำไมเหรอ?”
อีกฝ่ายส่ายหน้า เธอเองก็ไม่รู้เช่นกัน
เวินเสาอวิ๋นทำได้แค่ลากกระเป๋าเดินทางไปยังห้องประชาสัมพันธ์ เมื่อเข้าไปถึงแล้วก็เห็นผู้ชายหลายคนรออยู่ในห้อง
หนึ่งในนั้นมีคนที่สวมชุดนอนอยู่ด้วย เขาหอบหายใจ “เวินอวิ๋นเสาใช่ไหม! ผมเป็นเพื่อนของฉู่เหิง เขาบอกให้คุณรอเขาก่อน!”
เมื่อพูดถึงฉู่เหิง สีหน้าของแพทย์หญิงก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เธอลากกระเป๋าแล้วหันหลังจะเดินออกไป
แต่ก็มีผู้ชายหลายคนรีบเดินตามมารั้งเอาไว้
“ที่ผมพูดคุณไม่ได้ยินเหรอ? ผมบอกว่าฉู่เหิงบอกให้คุณรอเขาก่อน”
แต่ตอนนี้เอง ก็มีประกาศว่าเครื่องบินกำลังจะขึ้นแล้ว
เวินอวิ๋นเสามองพวกเขาอย่างเย็นชา “ขอโทษด้วยนะคะ ฉันต้องขึ้นเครื่องแล้ว”
“นะ… นี่”
“ฉู่เหิงบอกว่า…”
“เขาบอกให้ฉันรอ ฉันก็ต้องรอเขาเหรอคะ?” เวินอวิ๋นเสาถามกลับ “ถ้าพวกคุณยังขวางฉันแบบนี้ ฉันจะแจ้งตำรวจ”
เหยาจินเกอที่อยู่ทางนั้นกวักมือเรียกเธอ “หมอเวิน! เร็วหน่อย พวกเราต้องขึ้นเครื่องแล้ว”
เวินอวิ๋นเสาร้องตอบ “มาแล้ว!”
เธอลากกระเป๋าไปยังจุดตรวจตรงทางขึ้นเครื่อง
“เดี๋ยวสิ! นี่…”
“ผู้หญิงคนนั้นทำตามใจเกินไปแล้ว! โทรหาฉู่เหิง!”
“โทรแล้ว เขาบอกให้พวกเรารั้งเธอไว้ให้ได้ พวกเรารั้งได้เหรอ? เข้าไปชิงตัวมาก็ไม่ได้” สังคมสมัยนี้ปกครองกันด้วยกฎหมาย อีกทั้งยังมีคนอยู่มากมายขนาดนี้ หากเข้าไปชิงตัวจริง ๆ พวกเขาคิดว่าอาจจะได้กินลูกปืนเข้า
“ทำได้แค่รั้งเอาไว้นั่นแหละ”
ยิ่งพวกเขาพูดถึงฉู่เหิง สีหน้าของเวินอวิ๋นเสาก็ยิ่งย่ำแย่ขึ้นเรื่อย ๆ
หญิงสาวสูดลมหายใจ แล้วยื่นคำขาด “ฉันกับฉู่เหิงไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน พวกคุณได้โปรดอย่าขวางฉันไว้เลยค่ะ ฉันจะแจ้งตำรวจจริง ๆ นะ”
เธอผลักคนตรงหน้าออก แล้วเดินตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง
คนอื่น ๆ ในทีมต่างก็ขึ้นไปกันหมดแล้ว
เวินอวิ๋นเสากำลังจะเดินเข้าไป แต่ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน
หลังจากเธอรับสาย ก็ขมวดคิ้ว “อะไรนะคะ ครั้งนี้ฉันไม่ต้องไปต่างประเทศเหรอ? ทำไมล่ะคะ?”
“ฉันเป็นคนติดต่อไปหาทางโรงพยาบาลเอง” หยางไต้ในชุดกี่เพ้าเดินมาพร้อมกับบอดี้การ์ดอีกหลายคน
เวินอวิ๋นเสางุนงง “คุณคือ…”
“คุณนายฮั่วไม่ใช่เหรอ?”
“ป้าไต้ สวัสดีครับ”
หยางไต้ทักทายเหล่าเพื่อน ๆ ของฉู่เหิงที่โดนตามตัวออกมา ก่อนจะพูดกับพวกเขาว่า “พวกเธอกลับไปเถอะ! ทางนี้ให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”
วัยรุ่นเหล่านั้นพยักหน้าพร้อมกัน ก่อนจะจากไปพร้อมรอยยิ้ม
เพิ่งเดินออกจากสนามบิน พวกเขาก็เผยสีหน้าตกใจออกมา
“เกิดอะไรขึ้น เวินอวิ๋นเสาคนนั้นมีที่มาที่ไปยังไงกันแน่! ถึงได้เชิญคุณนายฮั่วมาได้”
“ใช่น่ะสิ! ตั้งแต่เกิดเรื่องกับฮั่วเซียวหมิง คุณนายฮั่วก็แทบไม่ออกจากบ้านเลย”
“ช่วงนี้ตระกูลฮั่วไม่ได้ยุ่งกับเรื่องจัดการทรัพย์สินหรอกเหรอ? ไม่มีฮั่วเซียวหมิงแล้ว คนตระกูลฮั่วก็ไม่มีใครรับช่วงต่อไหวแล้ว”
“มีแค่ฉันเหรอที่สงสัยว่าฉู่เหิงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลฮั่วตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เพื่อนคนอื่นก็ได้แต่มองหน้ากันอย่างสับสน
พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าฉู่เหิงไปสนิทกับคนตระกูลฮั่ว
“โทรหาฉู่เหิงก็รู้เองนั่นแหละ”
ทางด้านฉู่เหิงเองก็เตรียมจะขึ้นเครื่องบินส่วนตัวไปดักรอ เมื่อได้ยินที่เพื่อนบอก ก็เงียบไปชั่วขณะ “ฉันกับตระกูลฮั่วไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน น่าจะเป็นคนอื่นมากกว่า”
คนเดียวที่มีความสัมพันธ์อันดีกับคนตระกูลฮั่ว มีเพียงฉู่ลั่วเท่านั้น
…
ณ ห้องพักวีไอพีในสนามบิน
“คุณหนูเวิน ไม่ใช่ว่าป้าอยากบังคับให้เธอรออยู่ที่นี่หรอกนะ” หยางไต้กล่าวกับเวินอวิ๋นเสาอย่างนุ่มนวล “แต่เรื่องของความรู้สึก ปล่อยให้ค้างคาไม่ได้”
ใบหน้าของเวินอวิ๋นเสาฉายแววขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย แต่เธอไม่สามารถใส่อารมณ์กับผู้อาวุโสได้ จึงพูดเพียงว่า “ฉันกับเขาไม่ได้เจอหน้ากันมาสิบกว่าปีแล้วค่ะ ความรู้สึกก็ไม่มีอะไรที่ค้างคาด้วย”
หยางไต้ตะลึงไปชั่วขณะ แต่ก็พูดอย่างอ่อนโยน “เธอคิดแบบนี้ แต่ฉู่เหิงเหมือนจะไม่ใช่นะ เธอวางใจได้ วันนี้ป้าอยู่ที่นี่ จะรับประกันความปลอดภัยให้เอง หลังจากที่เจอเขาแล้ว ถ้ายังอยากไปต่างประเทศ ป้าจะส่งเธอขึ้นเครื่องด้วยตัวเอง”
สีหน้าของเวินอวิ๋นเสาดีขึ้นมาหน่อย “ฉันกับเขาไม่มีอะไรที่ต้องพูดกันแล้วค่ะ แต่ว่า… ถ้าเขาอยากเจอ ก็ให้เขาเจอไปเถอะค่ะ!”
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า…
ฉู่เหิงลงจากเครื่องบินก็รีบตรงมาที่ห้องวีไอพี เขาวิ่งมาเร็วมากจนหายใจแทบไม่ทัน ไม่เหลือคราบผู้จัดการใหญ่ของธุรกิจตระกูลฉู่เลยแม้แต่น้อย แต่กลับดูเหมือนชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง
เขายืนอยู่หน้ากระจก ที่สามารถมองเห็นบรรยากาศด้านในห้องพักได้
หญิงสาวคนหนึ่งนั่งหันข้างอยู่บนโซฟา ผมยาวหยิกเป็นลอนเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าสะสวย ยามที่เธอพูด มุมปากจะมีลักยิ้มเล็ก ๆ เหมือนกับในความทรงจำทุกประการ
ทั้งชวนให้คิดถึง และรู้สึกต่างออกไประคนกัน
ฉู่เหิงยื่นมือออกไปผลักประตู สองคนที่กำลังคุยกันต่างก็มองมาที่เขา
รองเท้าหนังเป็นมันวาวของเวินอวิ๋นเสา กางเกงสูททรงกระบอก เขามองขึ้นไปช้า ๆ จนเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยนั้น
ริมฝีปากอมชมพูของหญิงสาวเม้มเบา ๆ มือที่วางอยู่บนหัวเข่ากำแน่นโดยไม่รู้ตัว
หยางไต้ลุกขึ้นยืนส่งยิ้มมาทักทาย เขาเองก็กล่าวสวัสดีอย่างเรียบร้อยเช่นกัน
คุณนายฮั่วกำชับ “ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันนะ ถ้าฝ่ายหญิงเขาไม่ยอม ก็อย่าไปบังคับล่ะ”
ฉู่เหิงก้มหน้ารับคำ เอ่ยน้ำเสียงแหบพร่า “ผมจะบังคับเธอได้ยังไงครับ”
“แบบนั้นก็ดี พวกเธอคุยกันไปนะ ฉันจะออกไปข้างนอก”
ก่อนจะออกไป หยางไต้ขยิบตาให้เวินอวิ๋นเสา พร้อมยืนยันว่าไม่ต้องกังวล ตัวเองจะรออยู่ไม่ไกล
ฉู่เหิงเห็นสายตาของคุณนายฮั่ว ก็รู้ว่าจงใจทำให้เขาเห็น
ทำเอาชายหนุ่มยิ้มเยาะตัวเอง “ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี เธอระแวงฉันขนาดนี้เลยเหรอ?”
เวินอวิ๋นเสาเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา พลางขมวดคิ้วมุ่น