เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 155 งูสวาท
บทที่ 155 งูสวาท
ฉิงจื่อฉิงได้ยินเสียงกระแอมไอของซ่งอวิ๋นชิง ก็เข้าใจขึ้นมาทันที “โธ่เอ๊ย! ป้าว่า… ลั่วลั่ว นี่เป็นเรื่องปกตินะ!”
สองสามีภรรยากลัวว่าเด็กสาวจะไม่เข้าใจ แต่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
ฉู่ลั่วเอ่ย “ไม่ปกติค่ะ ผู้หญิงคนนั้นดูดกลืนพลังหยางของเขา”
ซ่งอวิ๋นชิงกับฉิงจื่อฉิงมีสีหน้าเขินอายเล็กน้อย “คือว่า… คนหนุ่มสาว ไม่รู้จักหักห้ามใจตัวเอง ป้าจะสั่งสอนจือหนานเอง”
ฉู่ลั่วพูดต่อ “จิ่งเจียเหยียนเป็นงูสวาทค่ะ คนที่ถูกเสน่ห์ของมันจะเจ็บป่วย หากปล่อยไปนานเข้า ก็ถึงตายได้”
ซ่งอวิ๋นชิง “…”
ฉิงจื่อฉิง “…”
ที่บอกว่าดูดกลืนพลังหยาง ที่แท้ก็เป็นการดูดกลืนพลังหยางจริง ๆ
ไม่ใช่การดูดกลืนพลังหยางแบบที่พวกเขาคิด!
ตอนกลางคืน ซ่งจือหนานกับจิ่งเจียเหยียนยืนกะหนุงกะหนิงกันอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนของเธอครู่หนึ่ง ถึงแยกกัน
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข กระโดดโลดเต้นกลับไปยังห้องนอนของตนเอง
ขณะที่เลี้ยวตรงหัวมุม ก็ต้องชะงักฝีเท้า
“พี่ลั่ว!”
ซ่งจือหนานยิ้มตาหยีทั้งยังเลิกคิ้วให้ฉู่ลั่วท่าทางภูมิใจ “พี่ลั่ว เป็นยังไงครับ? คู่หมั้นของผมดูดีใช่ไหม! ไม่ใช่แค่สวยนะ แต่ยังรอบรู้ด้วย แล้วก็ใจดีอีกต่างหาก แถมยังมีน้ำใจด้วย”
“ทำไมคู่หมั้นของผมถึงได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้นะ!”
พูดไปก็ไม่ซื้อย่ะ
ฉู่ลั่วฟังซ่งจือหนานบรรยายข้อดีของจิ่งเจียเหยียนออกมาหลายข้ออย่างเงียบ ๆ
รอจนจบ ถึงได้พูดขึ้นว่า “คืนนี้ มาที่ห้องของฉัน”
“อ้อ… หา! อะไรนะ?” ซ่งจือหนานกำคอเสื้อของตนเอง และมองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง “พี่ลั่ว ผมรักคู่หมั้นของผมมากนะครับ ต่อให้เป็นพี่ลั่ว ผมก็ตอบตกลงไม่ได้หรอก!”
ฉู่ลั่วไม่พูดให้เสียเวลา เธอกำคอเสื้อเขาเอาไว้ แล้วลากมาที่ห้องนอนของตน ก่อนจะโยนเขาเข้าไปในห้อง
ซ่งจือหนานถอยหลังด้วยความประหม่า “พี่ลั่ว อย่าเข้ามานะ ผมจะบอกอะไรให้ ผมขัดขืนนะ ผมกรี๊ดเลยนะ ผม… ผมไม่ง่ายหรอกนะ”
ฉู่ลั่วเดินเข้าไปข้างในทีละก้าว ๆ ซ่งจือหนานก็ถอยหลังไปทีละก้าว ๆ
“โอ๊ย!”
ซ่งจือหนานล้มลงบนพื้น ก่อนหันหน้าไปอีกทาง “พ่อครับแม่ครับ ทำไมพ่อกับแม่มาอยู่ที่นี่ล่ะ? พี่ลั่ว พี่เล่นใหญ่เกินไปแล้วนะ!”
ฉิงจื่อฉิงยกมือขึ้นมาตีหัวเขาไปหนึ่งที “พูดไร้สาระอะไร ผ่านสมองบ้างไหมเนี่ย?”
“พลังหยางของเขาถูกดูดกลืนมากเกินไป จิตใจเลยมึนงงสับสนค่ะ พูดอะไรเหมือนไม่ผ่านสมองก็เป็นเรื่องปกติค่ะ” ฉู่ลั่วติดยันต์ไว้ที่กระจกตรงระเบียง ก่อนจะพูดกับพวกฉิงจื่อฉิงว่า “คืนนี้พวกคุณหลบอยู่ที่ระเบียงแล้วกันนะคะ สิ่งที่มาจะสัมผัสถึงลมหายใจของพวกคุณไม่ได้”
ฉิงจื่อฉิงถามด้วยความกังวล “ลั่วลั่ว หนูคนเดียวจะไหวหรือเปล่า? สิ่งนั้น ร้ายกาจไหม?”
“หนูจัดการได้ค่ะ”
ฉิงจื่อฉิงรู้สึกโล่งอก “ถ้าอย่างนั้นหนูก็ระวังด้วยนะ”
เธอคว้าตัวซ่งจือหนานที่กำลังสับสนงุนงง แล้วลากเขาไปที่ระเบียง
ซ่งอวิ๋นชิงเองก็เดินไปที่ระเบียงด้วย
ซ่งจือหนานถามออกมาอย่างงุนงง “พ่อครับแม่ครับ นี่กำลังทำอะไรกันอยู่เหรอ?”
ฉิงจื่อฉิงถลึงตาใส่ซ่งจือหนาน พลางกระซิบบอกว่า “ลูกคิดว่าเพราะอะไรล่ะ?”
ซ่งจือหนานกะพริบตาเร็ว ๆ สุดท้ายดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ เบิกกว้างขึ้น “มีเรื่องไม่ดีเหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นผมต้องรีบไปพาเจียเหยียนมาที่นี่แล้วละ เธอเป็นคนขี้กลัว ถ้าถูกทำให้ตกใจขึ้นมาจะทำยังไง?”
“พี่ลั่วก็จริง ๆ เลย มีของสกปรกทำไมไม่บอกผมสักคำ อย่างน้อยก็ให้ผมปกป้องเจียเหยียนบ้างสิ!”
ฉิงจื่อฉิงมองลูกชายโง่เง่าของเธอที่ตอนนี้ยังเอาแต่คิดถึงจิ่งเจียเหยียน ก็ถอนหายใจออกมา “พูดให้น้อย ๆ แล้วคอยดูไปเถอะ”
“แต่เจียเหยียน…”
“วางใจได้ เจียเหยียนของลูกไม่มีทางถูกสิ่งไม่ดีทำร้ายหรอก”
ซ่งจือหนานถอนหายใจด้วยความโล่งอก “พี่ลั่วเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้วใช่ไหมครับ? แบบนั้นก็ดี!”
…
เมฆดำก็เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ เข้ามาปกคลุมดวงจันทร์ที่สว่างไสว
ภายในห้องค่อย ๆ มืดลง มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟตรงหัวเตียงเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงแหลมดังขึ้นในความมืด
ประตูห้องนอนที่ตอนแรกปิดสนิท ค่อย ๆ เปิดออก เงาร่างแช่มช้อยก็เยื้องย่างเข้ามาข้างในอย่างเชื่องช้า
ร่างนั้นเดินเสียงเบามาก ราวกับลอยอยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด กระโปรงชุดนอนยาวลงมาถึงข้อเท้า คลุมร่างกายท่อนล่างไว้
เอวบิดไปมาเล็กน้อย เธอเดินมาถึงขอบเตียงอย่างรวดเร็ว
จิ่งเจียเหยียนมองใบหน้าของฉู่ลั่วที่อยู่บนเตียงอย่างพึงพอใจ แววตาเต็มไปด้วยความปรารถนา เธอแลบลิ้นออกมา… ลิ้นยาวที่มีสามแฉกโผล่ออกมาให้เห็น
ลิ้นที่ทั้งบางและยาว พ่นกลิ่นอายสีดำออกมา
“ใบหน้านี้ อยู่กับเธอแล้วเสียของจริง ๆ”