เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 201 ไม่แม้แต่เศษเสี้ยว
หลังจากฉู่ลั่วอธิบายข้อควรระวังเพิ่มเติมเสร็จ ก็ออกจากกองถ่ายไป
เธอเพิ่งเดินออกจากกองถ่ายมาได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงประหลาดใจเสียงหนึ่งดังขึ้น “ลั่วลั่ว นั่นใช่เธอไหม?”
ฉู่ลั่วหันหน้าไป ก็เห็นฉู่หร่านในชุดจีนโบราณเดินเข้ามาหา
ด้านหลังมีผู้ช่วยตามมาอีกสามสี่คน คนหนึ่งถือร่ม คนหนึ่งถือแก้วเก็บอุณหภูมิ และมีอีกคนคอยจับชายกระโปรงด้านหลังให้ ส่วนคนสุดท้ายถือพัดขนาดเล็กด้วยท่าทางระแวดระวังพลางพัดให้ดาราสาว
ฉู่หร่านเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า “ลั่วลั่ว ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ล่ะ? มาแคสติงเหมือนกันเหรอ? ฉันเห็นในไลฟ์สตรีมว่าเธอมีแฟนคลับเยอะมาก คงมากพอให้เธอเข้ามาถ่ายทำละครได้ใช่ไหม?”
ว่าแล้วก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นกองถ่ายของอิ่นซาน สายตาของเธอดำมืดขึ้นมา “กองถ่ายของผู้กำกับอิ่นเหรอ? ผู้กำกับอิ่นจริงจังกับการถ่ายทำมาก คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการแสดง ไม่มีทางได้หรอก!”
พูดจบก็ถามว่า “เธอแคสติงผ่านหรือเปล่า?”
ฉู่ลั่วส่ายหน้า “เปล่า”
ฉู่หร่านโล่งอก รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้นอีก “ถึงเธอจะมีแฟนคลับในไลฟ์สตรีมเยอะมาก แต่พลังแฟนคลับของเธอในตอนนี้ยังไม่สูงพอ ปกติแล้ว ถ้าอยากเปลี่ยนจากสตรีมเมอร์มาเป็นนักแสดง ต้องมีแฟนคลับอย่างน้อยหนึ่งล้านขึ้นไป ฉันเห็นจำนวนแฟนคลับของเธอก็ยังไม่มากขนาดนั้น เพิ่งจะมีแค่แสนกว่าคนเอง”
เธอปิดปากหัวเราะ “ลั่วลั่ว เธอไม่รู้จักวงการบันเทิง จำนวนแฟนคลับแค่นี้ ในวงการบันเทิงไม่ใช่แม้แต่เศษเสี้ยว”
ฉู่ลั่วมองอีกฝ่าย “…”
ผู้ช่วยตัวอ้วนที่อยู่ด้านข้างพูดจาเสียดสีว่า “พี่หร่านของพวกเราแค่แฟนคลับในเวยปั๋วก็มีตั้งเจ็ดสิบล้านคนแล้ว นี่ยังไม่พูดถึงแพลตฟอร์มอื่นอีก”
ฉู่หร่านถลึงตามองผู้ช่วย “เธอพูดเรื่องพวกนี้ทำไม? ลั่วลั่วไม่เคยสัมผัสกับวงการบันเทิงมาก่อน เลยไม่รู้ว่าดารากับสตรีมเมอร์ต่างกันยังไง”
พูดจบก็หันหน้ามามองฉู่ลั่วด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ลั่วลั่ว ขอโทษด้วยนะ พวกเขาไม่รู้สถานการณ์ของเธอ หลังจากนี้ฉันจะบอกพวกเขาเอง”
เธอเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว จับแขนของน้องสาว(?)ไว้ “ลั่วลั่ว เธออยากถ่ายละครเหรอ? เธอไม่ได้เรียนด้านนี้มา และไม่มีฐานแฟนคลับ ถ้ามารับบทบาทสำคัญเลย จะทำให้ผู้ชมเสียความรู้สึกได้ ทำไมไม่ลองเริ่มจากการเล่นบทตัวประกอบก่อนล่ะ! ฉันจะคุยกับผู้กำกับในกองของพวกเราให้ เขาต้องตกลงแน่นอน”
ก่อนเอ่ยขึ้นอีกว่า “ถ้าเธอคิดว่าเป็นตัวประกอบไม่ดี ที่จริงฉันก็มีอีกบทบาทหนึ่ง คือบทสาวใช้ในวังหลวง ถึงจะมีบทพูดแค่ประโยคเดียว แต่สำหรับสตรีมเมอร์ที่มีแฟนคลับหนึ่งแสนคน ก็ถือว่าดีมากแล้วนะ”
“เพราะเธอมีประสบการณ์ไม่มาก ถ้าอยากได้บทบาทที่มีบทพูด คงต้องหารือกับผู้กำกับก่อน”
เธอจับมือฉู่ลั่วเบา ๆ “ถึงตอนนั้นเธอต้องตั้งใจแสดงนะ พี่สาวจะช่วยพูดให้เธอเอง ต้องทำได้แน่นอน”
ฉู่ลั่วดึงมือของตนกลับ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจาง ๆ “ฉันไม่ได้มาแคสติง”
“เธอไม่ต้องอายไปหรอก เธอไม่ได้เรียนด้านนี้มา แถมไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยด้วย แคสติงไม่ผ่านเป็นเรื่องปกติมาก” ฉู่หร่านพูดปลอบอย่างมีน้ำใจ “แต่ไม่เป็นอะไร เธอหน้าตาใช้ได้ ถ้าพยายามสักหน่อยก็พอจะมีที่ยืนในวงการบันเทิงได้ เธอวางใจเถอะ เธอเป็นน้องสาวของฉัน ฉันจะไม่สนใจเธอได้เหรอ?”
ฉู่ลั่วย้ำอีกครั้ง “ฉันไม่ได้มาแคสติง”
ฉู่หร่านยังคงพล่ามพร้อมรอยยิ้ม “พวกเราเป็นพี่น้องกัน มีอะไรต้องอายด้วยเหรอ?”
ฉู่ลั่วเลิกคิ้ว “…”
เธอหันหลังให้จะเดินออกไป แต่ฉู่หร่านก็ยังรั้งไว้ “พี่สาวบอกว่าจะช่วย ก็จะช่วยจริง ๆ ไป พี่สาวพาเธอไปที่กองถ่าย จะต้องหาบทให้เล่นได้แน่นอน ยังไงเธอก็เป็นน้องสาวฉัน จะคอตกกลับไปแบบนี้ได้ยังไง”
ฉู่ลั่วดึงมือกลับมาอีกครั้งก่อนถอยหลังไปหนึ่งก้าว สีหน้าเย็นชา น้ำเสียงก็เย็นชาเช่นกัน “ฉันไม่ได้มาแคสติง”
ฉู่หร่านเผยสายตาเยาะเย้ย “เธอไม่ได้มาแคสติง แล้วเธอมาทำอะไร?”
ขณะที่กำลังพูด ก็ได้ยินเสียงของเสี่ยวโหยวดังขึ้นมา “ปรมาจารย์ฉู่คะ ปรมาจารย์ฉู่ โชคดีที่คุณยังไม่กลับ”
เสี่ยวโหยวหอบหายใจพลางเอ่ยว่า “นี่เป็นบัตรทีมงานของกองเราค่ะ คุณสามารถใช้บัตรนี้เข้าออกกองถ่ายได้ตลอดเวลา ไม่ต้องซื้อตั๋วเข้าทุกครั้งแล้วค่ะ และไม่ถูกพวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยห้ามเข้าด้วย”
เธอยื่นบัตรทีมงามให้ฉู่ลั่ว “ผู้กำกับอิ่นบอกว่าที่จริงควรไปรับคุณทุกครั้ง แต่กลัวว่าวันไหนปรมาจารย์ฉู่บังเอิญอยากจะเข้ามาดูเอง ก็เลยให้ฉันเอาบัตรทีมงานมาให้ค่ะ”
ดวงตาของเสี่ยวโหยววาววับ เธอมองฉู่ลั่วด้วยดวงตาเป็นประกาย
รอจนฉู่ลั่วรับบัตรทีมงานไป เธอจึงถามอย่างเกรงใจว่า “ปรมาจารย์ฉู่คะ ช่วงนี้คุณอยู่ที่ตี้จิงตลอดใช่ไหมคะ?”
“อยู่ตลอดค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะไลฟ์สตรีมไหมคะ?”
ฉู่ลั่วครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้า “สองวันนี้ฉันจะไลฟ์สตรีมค่ะ”
เสี่ยวโหยวได้ยิน ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นฉันต้องรอดูไลฟ์สตรีมของท่านปรมาจารย์แน่นอนค่ะ ตอนนี้คนในกองถ่ายของพวกเราเป็นแฟนคลับท่านปรมาจารย์กันหมดเลย!”
ฉู่ลั่วยิ้มจาง ๆ “ขอบคุณค่ะ”