เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 239 พวกเราเป็นครอบครัวกันหรือเปล่าคะ
บทที่ 239 พวกเราเป็นครอบครัวกันหรือเปล่าคะ
“เหตุผลอื่น? ยังมีเหตุผลอะไรอีก! แค่ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเท่านั้นเอง…” ฉู่หร่านพูดอย่างคับข้องใจ “เพราะลั่วลั่วโกรธพวกเรา เลยจงใจทำแบบนี้ใช่ไหม ฉันไม่เป็นอะไรหรอก แต่ทำแบบนี้กับคุณแม่ได้ยังไง!”
แต่ซ่งเชียนหย่าสีหน้าเปลี่ยนไปก่อนกดหลังมือฉู่หร่านไว้ “ช่างเถอะ หยุดพูดได้แล้ว!”
ฉู่หร่านไม่เข้าใจ “แม่คะ! ฉู่ลั่วทำแบบนี้กับหนูก็ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แต่เธอจงใจทำกับแม่แบบนี้ได้ยังไง? แม่เป็นแม่แท้ ๆ ของเธอนะคะ!”
ซ่งเชียนหย่ารู้สึกหนาวมาถึงคอแล้วจนอดสั่นไม่ได้ “หยุดพูดได้แล้ว”
“แม่คะ!”
“อย่าพูด อย่าพูดอะไรทั้งนั้น!”
ซ่งเชียนหย่านึกถึงเรื่องราวในช่วงเวลาที่เธอคลุกคลีอยู่กับฉู่ลั่วก็ยิ่งกระวนกระวายใจ เธอพยายามสงบสติอารมณ์อย่างเต็มที่แล้วพูดว่า “หร่านหร่านไม่ได้ตั้งใจ เธอไม่ได้มีเจตนาไม่ดีกับลั่วลั่ว”
“พวกเราแค่มาคุยเรื่องงานเลี้ยงวันเกิดกับลั่วลั่วเท่านั้น”
หลังพูดจบ ก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศเย็นยะเยือกเหล่านั้นหายไปแล้ว
ฉู่หร่านได้ยินที่ซ่งเชียนหย่าพูดก็เข้าใจขึ้นมา ร่างกายสั่นเล็กน้อย พร้อมมองสำรวจรอบตัวและด้านหลัง
ทั้งที่มองไม่เห็นอะไรเลย แต่ยิ่งรู้สึกกลัวมากกว่าเดิม
เธอลืมไปได้ยังไงว่าฉู่ลั่วเลี้ยงของพวกนั้นเอาไว้ข้างกาย!
ฉู่หร่านขยับเข้าใกล้ซ่งเชียนหย่าพลางกอดแขนแม่ของเธอเอาไว้ “แม่คะ หนูกลัว”
“ไม่ต้องกลัว… ไม่ต้องกลัว แม่ปกป้องหนูเอง”
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวที่อยู่ห่างออกไปมองเฉิงยวน “พี่ยวนยวน ทำไมพี่ถึงเอาแต่จ้องผู้หญิงไม่ดีคนนั้นตลอดเลยคะ”
“แค่อยากเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นมีเสน่ห์ขนาดไหนเชียว ถึงทำให้สวรรค์ตาบอดได้ขนาดนี้!” เฉิงยวนมองด้วยหางตา “หรือว่าสวรรค์จะเป็นผู้ชาย?”
“หรือสวรรค์ชอบของแบบนี้เหรอ?”
“ไม่เข้าใจเลย!”
“หนูก็ไม่เข้าใจ” ซ่งเมี่ยวเมี่ยวเอามือสองข้างเท้าคางขณะมองวิญญาณสาว
พี่ยวนยวนทำตัวแปลกมากเลย!
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อหัวหว่านยกอาหารเช้ามาวางบนโต๊ะ ฉู่ลั่วก็ออกมาจากห้องนอนพอดี
ครั้นเห็นสองแม่ลูกปรากฏตัวอยู่ในนี้ สีหน้าก็ดูไม่ได้ตกใจสักเท่าไหร่ “มีธุระอะไร รอฉันกินข้าวก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
ฉู่หร่านขมวดคิ้ว “ลั่วลั่ว พวกเรามาหาเธอเพราะมีเรื่องสำคัญจะบอกนะ”
“พูดตอนนี้เลยก็ได้” ฉู่ลั่วให้สัญญาณด้วยการมองไปยังเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามโต๊ะทานข้าว “พวกเธอพูดไป ฉันก็จะกินข้าวไปด้วย”
น้ำเสียงฉู่หร่านอ่อนโยนมาก แต่กลับเต็มไปด้วยถ้อยคำสั่งสอน “ลั่วลั่ว เธอทำแบบนี้ไม่ได้ คุณแม่เป็นผู้ใหญ่ อย่างน้อยเธอควรรอให้พวกเราพูดจบก่อนแล้วค่อยทานข้าว มีอย่างที่ไหน ให้เธอทานข้าวแล้วให้พวกเราพูด? แบบนี้ไม่ถูกต้อง”
ฉู่ลั่วเหมือนไม่ได้ฟังที่พูดเลยสักนิด ยังคงยกชามข้าวต้มเข้าหาตัว แล้วตักกินคำเล็ก ๆ เข้าปาก
“เอาละ!” ซ่งเชียนหย่าขมวดคิ้ว แล้วดึงฉู่หร่านที่ยังคงพูดจาสั่งสอนไม่หยุด “ต่อให้ลูกสอนไปขนาดไหน ถ้าเธอไม่เต็มใจเรียนรู้ ก็สอนไม่ได้หรอก!”
ฉู่ลั่วมองคุณแม่ที่ทำหน้าโกรธ ก่อนจะเบือนสายตาไปหาฉู่หร่านที่ทำตัวเป็นลูกสาวผู้เชื่อฟัง ก็รู้สึกว่าข้าวต้มที่ยังอร่อยอยู่เมื่อครู่เสียรสชาติไปแล้ว
เธอวางชามลง แล้วถามว่า “พวกเราเป็นครอบครัว เป็นญาติกันหรือเปล่าคะ?”
ไม่รอให้ซ่งเชียนหย่าพูด ฉู่หร่านก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “แน่นอนสิ ลั่วลั่ว หรือเธอไม่คิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฉู่เลยเหรอ? พวกเรายังดีกับเธอไม่พออีกเหรอ? ทำไมเธอถึงได้ถามคำถามนี้ออกมา?”
ฉู่ลั่วยกมุมปากขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ
เธอไม่ได้มองฉู่หร่าน แต่มองไปที่ซ่งเชียนหย่า “พวกเราเป็นครอบครัวกันหรือเปล่าคะ?”
ใบหน้าของมารดาที่ในตอนแรกเต็มไปด้วยความโกรธเคืองไม่พอใจ เมื่อเผชิญหน้ากับดวงหน้าที่คล้ายตัวเองเจ็ดถึงแปดส่วน อารมณ์ขุ่นมัวทั้งหมดนั้นก็หายไปในทันที
หญิงสาวพูดเสียงอ่อน “ลั่วลั่ว พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแน่นอน พ่อแม่และพี่ชายทุกคนต่างก็อยากชดเชยให้ลูกนะ”
เมื่อได้รับคำตอบนี้ ฉู่ลั่วก็พยักหน้า แต่สีหน้าไม่มีอะไรเปลี่ยนไป เพียงเอ่ยถาม “การกระทำเมื่อกี้ของหนูมันผิดมากทำให้พวกคุณไม่สบายใจ และโกรธมากใช่ไหมคะ?”
ซ่งเชียนหย่าพูดให้คำแนะนำอย่างจริงใจ “ลั่วลั่ว แม่รู้ว่าลูกไม่เคยชินกับมารยาทเหล่านี้ แต่ยังไงก็ตาม ในฐานะที่เป็นลูกสาวของตระกูลฉู่ มีมารยาทบางอย่างที่ลูกต้องรู้เอาไว้เหมือนกัน”
ฉู่ลั่วหัวเราะ “ฉู่หร่านเข้าใจเรื่องพวกนี้ดีใช่ไหมคะ?”
ฉู่หร่านเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
ซ่งเชียนหย่าถอนหายใจออกมาเบา ๆ “หร่านหร่านเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก เรื่องพวกนี้เธอเลยเข้าใจดี ลั่วลั่ว ลูกจะเอาแต่เพ่งเล็งหร่านหร่านไม่ได้ อย่าเอาแต่คิดว่าหร่านหร่านแย่งของของลูกไป หร่านหร่าน… เธอก็เป็นผู้บริสุทธิ์”
“แม่หวังว่าพวกลูกจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข”
ฉู่ลั่วหยิบช้อนกระเบื้องสีขาวขึ้นมาตักข้าวต้มในชามอย่างเบามือ “ตอนที่หนูยังอยู่ในบ้านตระกูลฉู่ มีหลายครั้งที่ฉู่หร่านขว้างตะเกียบลงบนโต๊ะอาหารและไม่ยอมทานข้าว”
“ตอนนั้นพวกคุณคิดว่าเธอไม่มีมารยาทหรือเปล่า?”
ซ่งเชียนหย่าเงียบงัน “…”
“เปล่า พวกคุณไม่เคยรู้สึกว่าเธอทำตัวไม่มีหัวคิด ไม่รู้มารยาท แล้วเอาแต่วิ่งไปปลอบเธอถึงในห้อง”
น้ำเสียงของฉู่ลั่วเรียบเฉย แต่เมื่อมันดังขึ้นในห้องที่มีซ่งเชียนหย่าอยู่ด้วย ก็เหมือนเอาก้อนหินปากระแทกใส่หัวใจ