เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 34 แสวงหาความรู้
บทที่ 34 แสวงหาความรู้
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวดึงขากางเกงฉู่ลั่วเบา ๆ “พี่ลั่วลั่วคะ พี่กำลังเสียใจหรือเปล่า?”
ฉู่ลั่วส่ายหน้า “เปล่า”
วิญญาณตัวน้อยนิ่วหน้า
เธอรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้คนได้ เมื่อครู่พี่ลั่วลั่วเหมือนเสียใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น
หรือเธอเข้าใจผิดไปเอง?
แม้จะเสียชีวิตมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ความคิดของเธอยังเป็นเด็ก
หลังจากคิดได้แบบนั้น เมี่ยวเมี่ยวก็ลืมความคิดเหล่านั้นไปจนหมด ก่อนจะสำรวจไปรอบห้องอย่างมีความสุข
“ว้าย!” วิญญาณน้อยร้องออกมาด้วยความกลัว และรีบเหาะหนีไปหลบข้างหลังฉู่ลั่ว แต่ยังชะโงกหน้าออกมาดูพี่ชายที่หล่อเหลาคนนั้น “พี่ลั่วลั่วคะ พี่เลี้ยงผีด้วยเหรอ!”
ฉู่ลั่วได้ยินแบบนั้น แก้มก็แดงขึ้นมา “ไม่รู้อะไรก็อย่าพูดมั่วสิ”
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวกลัวว่าตัวเองจะโดนดูถูก “เมี่ยวเมี่ยวไม่ได้พูดมั่วนะ! ถึงเมี่ยวเมี่ยวจะยังเด็ก แต่ก็เห็นอะไรมาเยอะเลย”
“ปรมาจารย์ลัทธิเต๋าหลายคนก็เลี้ยงผีกันทั้งนั้น พวกเขาบอกว่าการเลี้ยงผีไม่ใช่แค่ใช้ผีไปจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้พวกเขาได้นะ แต่ยังใช้ทำเมฆฝนรวมกันได้ด้วย”
เมี่ยวเมี่ยวเข้าใจว่า ‘เมฆฝนรวมกัน’ คือการเรียกลมเรียกฝนได้ แต่จริง ๆ คำนี้หมายถึง การมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างชายหญิง
“แค่ก ๆๆ!” ฉู่ลั่วสำลักน้ำลายตัวเอง ก่อนจะยื่นมือไปปิดปากเมี่ยวเมี่ยวไว้ “เธอพูดไร้สาระอะไรเนี่ย!”
ฮั่วเซียวหมิงที่ยืนดูพวกเธอสองคนมาตลอดถอยหลังไปหนึ่งก้าว
โชคดีที่ตอนนี้เขาเป็นวิญญาณ หากว่าเป็นคน คงเห็นแล้วว่าหูของเขากำลังแดงฉ่า
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวผู้ถูกปิดปากไว้กะพริบตาอย่างไม่เข้าใจ เหมือนอยากจะถามเธอว่าตนเองพูดอะไรผิด?
ฉู่ลั่วเงียบกริบ “…”
เธอรีบปล่อยซ่งเมี่ยวเมี่ยว และแสร้งทำท่าทางสงบ สีหน้ากลับมาเย็นชาเหมือนปกติ
เธอตีหัววิญญาณตัวน้อยเบา ๆ “ต่อไปอย่าพูดแบบนี้อีกนะ เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าไปฟังคำพูดไร้สาระ”
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวยังทำหน้างง แต่ด้วยความเป็นเด็กดี จึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ฉู่ลั่วแนะนำซ่งเมี่ยวเมี่ยวให้ฮั่วเซียวหมิงรู้จักแบบสั้น ๆ แล้วไปอาบน้ำ
ระหว่างนั้น ซ่งเมี่ยวเมี่ยวลอบมองพี่ชายตัวสูงและหน้าตาดีคนนี้อยู่เล็กน้อย
เป็นผีเหมือนกัน แต่เขากลับมีบางอย่างต่างกับเธอ และแตกต่างจากผีตนอื่นที่เคยเห็นมาด้วย
แต่วิญญาณน้อยบอกไม่ถูกว่าแตกต่างกันตรงไหน
ถ้าให้พูดละก็ พี่ชายให้ความรู้สึกเหมือนคุณครูที่ไม่ชอบที่สุดในโรงเรียนอนุบาล …อยากวิ่งหนี!
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเชื่อฟัง เท้าน้อย ๆ สองข้าแกว่งไปในอากาศ ดวงตากลมโตราวกับหยดน้ำมองไปรอบ ๆ และมองไปที่ฮั่วเซียวหมิงเป็นครั้งคราว
“มีเรื่องอยากถามฉันหรือเปล่า?”
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวพยักหน้ารัว
ฮั่วเซียวหมิงไม่ชอบเด็กสักเท่าไหร่ แต่พอจะมีความอดทนกับวิญญาณตัวน้อยน่ารักและเป็นเด็กดีอยู่บ้าง “ถามมาสิ”
เธอลอยมาตรงหน้าฮั่วเซียวหมิง ซ่งเมี่ยวเมี่ยวเงยหน้าขึ้นอย่างเคยชิน ดวงตากลมโตกะพริบรัว ๆ
“หนูบอกว่าพี่เป็นผีที่พี่ลั่วลั่วเลี้ยงไว้ ทำไมพี่ลั่วลั่วต้องโกรธด้วยคะ?”
ฮั่วเซียวหมิงนิ่งค้างไป
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวพูดต่อ “ถ้าพวกพี่บำเพ็ญคู่เพื่อเพิ่มพลัง พอสำเร็จก็จะเรียกเมฆฝนรวมกันได้ แล้วจากนั้นก็จะขึ้นสวรรค์ไปด้วยกัน”
ฮั่วเซียวหมิงเอามือกุมหน้าผาก “…”
บำเพ็ญคู่คืออะไร? มันคือการให้ผู้บำเพ็ญสองคนเพิ่มพูนพลังงานร่วมกัน ผ่านการมี ‘สัมพันธ์’ ทางกาย
วิญญาณน้อยไร้เดียงสายังคงมองเขาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น หน้าตาดูไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาเลยสักนิด!
เด็กเป็นอะไรที่ยุ่งยากจริง ๆ
ฮั่วเซียวหมิงอยากอธิบายเรื่องชายหญิงให้ฟังชัด ๆ แต่นี่ไม่ใช่ลูกสาวของเขา ให้เขาสอนคงไม่เหมาะสม
ซ่งเมี่ยวเมี่ยว “หนูเข้าใจผิดเหรอคะ?”
ทันใดนั้นประตูห้องน้ำก็เปิดออก ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ฮั่วเซียวหมิงกลับรู้สึกกระดากอายแบบไม่รู้ตัว
“เธอเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว แต่ต่อไปอย่าพูดอีก…”
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวพยักหน้า เหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ
ฉู่ลั่วออกมาพร้อมผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่ง ไอร้อนของน้ำอุ่นฟุ้งออกมาจากห้องน้ำ
เธอเอียงศีรษะเช็ดผมที่เปียกชื้น ไม่รู้ว่ากลิ่นหอมที่ฟุ้งกระจายออกมาเป็นกลิ่นยาสระผมหรือครีมอาบน้ำ
ผิวขาวเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน ๆ หลังแช่น้ำอุ่น
ตอนที่เอียงศีรษะ ส่วนโค้งของลำคอยาวระหงนั้นงดงามมาก
สายตายามที่เธอนั่งลงบนเก้าอี้และก้มหน้าฟังซ่งเมี่ยวเมี่ยวพูด ช่างอ่อนโยนและดูสงบมาก
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
เห็นอยู่ว่าเขาเป็นผี แต่ฮั่วเซียวหมิงกลับรู้สึกได้ว่าหัวใจของตนกำลังเต้นแรง
ต้องเป็นเพราะคำพูดไร้สาระที่เด็กคนนั้นพูดเมื่อครู่แน่ ๆ!