เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 36 ลำเอียง
บทที่ 36 ลำเอียง
ซ่งจือหนานคอยสนับสนุนอยู่ข้าง ๆ “ถ้าพี่ลั่วเป็นน้องสาวของผม ผมต้องปกป้องเธออย่างดีแน่ ใครก็อย่าคิดจะมารังแกเธอ”
“ผมต้องเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดในโลกแน่นอน!”
“ใครจะไม่อยากมีน้องสาวดี ๆ แบบนี้”
ฉู่เหิงที่เพิ่งลงมาได้ยินพอดีก็ชะงักค้าง “…”
เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกแซะ
ฉู่เหิงเดินเข้ามาจับไหล่ซ่งจือหนาน แล้วดึงเขาออกห่างจากฉู่ลั่ว “ลั่วลั่วเป็นลูกสาวตระกูลฉู่ มีเลือดของตระกูลฉู่ไหลเวียนอยู่ในตัว”
“พวกเราดีใจมากครับที่ป้าฉิงชอบลั่วลั่ว แต่เธอก็มีพ่อแม่และพี่ชายของตัวเองแล้ว”
เขาจงใจเน้นคำว่า ‘พี่ชาย’ สองคำนี้
ซ่งจือหนานพึมพำอย่างจงใจ “มีก็เหมือนไม่มีป้ะ”
ฉู่เหว่ยฮ่าวกับภรรยาเงียบกริบ “…”
ฉู่เหิงหรี่ตามองคนพูด
เขาเองก็รู้แล้วว่าท่าทีที่คนในตระกูลฉู่มีต่อฉู่ลั่วนั้นมีปัญหา จึงกล่าวอย่างจริงจังว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราเคยทำเรื่องไม่ถูกต้อง จากนี้ไปจะปรับปรุงให้ดีขึ้น”
“เหมือนที่ป้าฉิงบอก มีลั่วลั่วเป็นน้องสาว พวกเราต้องปกป้องเธอให้ดี ไม่ปล่อยให้ใครมารังแก”
ฉิงจื่อฉิงยังรู้สึกไม่พอใจ
เธออยากรับฉู่ลั่วเป็นลูกบุญธรรมจริง ๆ ไม่ใช่เพราะฉู่ลั่วช่วยเหลือตระกูลซ่งของพวกเขาเท่านั้น
แต่เป็นเพราะลักษณะนิสัยของฉู่หร่าน ตามที่ได้ยินมาจากลูกชายด้วย
เด็กดีแบบฉู่ลั่วไม่ควรถูกตระกูลฉู่ละเลย และไม่ควรถูกฉู่หร่านรังแก
แต่ตระกูลฉู่ไม่ยินยอม เธอก็ไม่สามารถแย่งฉู่ลั่วไปได้
“ป้าได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ในงานเลี้ยงต้อนรับ ลั่วลั่วไม่มีแม้แต่ชุดราตรีจะใส่” ฉิงจื่อฉิงคว้ามือฉู่ลั่ว “ป้าเลยให้ดีไซเนอร์ทั้งในและนอกประเทศออกแบบชุดราตรีให้ลั่วลั่วหนึ่งร้อยชุด”
ซ่งจือหนานพูดสนับสนุนว่า “ไม่ใช่แค่ชุดราตรีนะ ยังมีชุดลำลอง ชุดกี่เพ้า ฮั่นฝูที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยและเครื่องประดับเยอะแยะเลย”
เขายักคิ้วให้ฉู่ลั่ว “แม่ผมเลือกเองทั้งหมด บอกว่าถ้าพี่ลั่วใส่แล้วต้องดูดีมากแน่นอน!”
ฉู่ลั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ต้องเปลืองเงินหรอกค่ะ หนูใส่เสื้อผ้าเยอะขนาดนั้นไม่หมดหรอก”
ฉิงจื่อฉิงโต้กลับทันที “เปลืองเงิน ใส่ไม่ไหวอะไรกัน! นี่เป็นภาพลักษณ์ของหนูในฐานะลูกสาวตระกูลฉู่เชียวนะ”
“เมื่อก่อนตระกูลฉู่เอ็นดูฉู่หร่านขนาดไหน หนูรู้หรือเปล่า?”
“ในวันที่เธออายุครบสิบแปดปี คุณพ่อของหนูซื้อเกาะเล็ก ๆ ในต่างประเทศให้เธอหนึ่งเกาะ”
“คุณแม่ของหนูเปิดบริษัทจิวเวลรี่ให้เธอโดยเฉพาะ”
“พี่ชายทั้งสามของหนูยิ่งกว่านั้นอีก!” ฉิงจื่อฉิงเอียงศีรษะครุ่นคิด “ฉันจำได้ว่าวันนั้น ฉู่เหิงเชิญวงดนตรีจากต่างประเทศที่ฉู่หร่านชอบ ให้มาแสดงในงานวันเกิดของเธอโดยเฉพาะ”
“ฉู่จิงซื้อหน้าแรกของนิตยสารใหญ่ ๆ หลายที่ เพื่อประกาศให้รู้ว่าน้องสาวของเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“วันนั้นฉู่จ้านชนะการแข่งขัน เขามอบถ้วยรางวัลให้ฉู่หร่านต่อหน้าสื่อจากทั่วโลก พร้อมกับอวยพรให้เธอมีความสุขในวันเกิดครบรอบสิบแปดปี”
ฉิงจื่อฉิงถอนหายใจ “ตระกูลฉู่ของพวกเธอรักลูกสาวมากจริง ๆ เลยนะ!”
ก่อนจะบอกกับฉู่ลั่วว่า “หนูเพิ่งจะได้รับเสื้อผ้าแค่ร้อยกว่าชุด กับเครื่องประดับ ทำไมต้องเกรงใจด้วย”
“ลูกสาวตระกูลฉู่มีชื่อมีหน้ามีตาในสังคมมาก”
ว่าแล้วก็กระดิกนิ้วให้คนนำเสื้อผ้าไปไว้ที่ห้องของฉู่ลั่ว
แต่เด็กสาวห้ามพวกเขาไว้ “ขอบคุณคุณป้าที่หวังดีนะคะ แต่ห้องของหนูเก็บเสื้อผ้ากับเครื่องประดับมากขนาดนี้ไม่ได้หรอกค่ะ”
ฉิงจื่อฉิงเบิกตากว้าง “หนูไม่มีห้องแต่งตัวเหรอ?”
“มีค่ะ แต่ก็ไม่พออยู่ดี”
ฉิงจื่อฉิงไม่อยากจะเชื่อ จึงดึงมือฉู่ลั่วให้เดินนำไปยังห้องนอนของเธอ
คุณนายซ่งถึงกับตกใจเมื่อเห็นห้องแต่งตัวขนาดไม่ถึงสิบตารางเมตร
มองแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นห้องแต่งตัวที่ทำขึ้นมาชั่วคราว มีชั้นทำจากเหล็กไม่กี่ชั้น เสื้อผ้าที่แขวนอยู่ก็มีไม่มาก
ชุดที่แพงที่สุด… คือกระโปรงที่ฉู่ลั่วแย่งมาจากงานเลี้ยงต้อนรับในวันนั้น
เมื่อเห็นห้องแต่งตัวที่ทำขึ้นหยาบ ๆ จนทนดูไม่ไหว ซ่งเชียนหย่าพูดแก้ตัวเสียงเบา “ก่อนหน้านี้ฉันถามลั่วลั่วแล้ว ฉันถามว่าเธอคิดยังไงกับห้องแต่งตัว”
“เธอบอกว่าไม่มีความเห็นอะไร และบอกอีกว่ามีเสื้อผ้าไม่เยอะ”
พูดมาถึงตรงนี้ เสียงของซ่งเชียนหย่ายิ่งเบาลง
เมื่อก่อนเธอไม่คิดว่าตัวเองลำเอียงกับลูกทั้งสองคน แต่ตอนนี้เมื่อเห็นห้องแต่งตัวของฉู่ลั่ว และคิดถึงห้องแต่งตัวของฉู่หร่านที่ครองชั้นสองไปทั้งชั้น ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว
เหมือนว่าเธอจะลำเอียงไปหน่อยจริง ๆ