เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 42 ฉู่เหิงโกรธ
บทที่ 42 ฉู่เหิงโกรธ
ณ โรงพยาบาล
ฉู่ลั่วมีปัญหาเรื่องโรคกระเพาะมานาน ครั้งนี้ไม่ได้ทานอะไรเลยทั้งวัน โรคจึงกำเริบขึ้นมา ทำให้กระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลัน
เธอต้องฉีดยา ทานยา และให้น้ำเกลือ
กว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นก็ปาเข้าไปสามทุ่มแล้ว
ฉู่เหิงปิดประตูห้องผู้ป่วยอย่างเบามือ เมื่อหันกลับมาก็เห็นซ่งเชียนหย่าพูดกับฉู่หร่านด้วยความเอ็นดู “หร่านหร่าน สามทุ่มกว่าแล้ว เลยเวลานอนเพื่อรักษาผิวพรรณของหนูแล้วนะ รีบกลับบ้านไปนอนเถอะ!”
ฉู่หร่านส่ายหน้า ยืนยันหนักแน่น “ไม่ต้องหรอกค่ะแม่ หนูจะรอให้ลั่วลั่วตื่นก่อน”
“พี่ใหญ่! ลั่วลั่วตื่นหรือยังคะ?”
ฉู่เหิงมองคนในครอบครัวที่ยืนอยู่ตรงหน้า ด้วยความที่อันเชี่ยนเป็นคนนอก สีหน้าจึงเรียบเฉยมากเป็นเรื่องปกติ
พ่อดูกังวลเล็กน้อย แต่พอจะมองออกว่าไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้น
ส่วนแม่ก็คิดแต่เรื่องของฉู่หร่าน
และหร่านหร่าน…
น้องสาวที่เมื่อก่อนดูใจดีและใสซื่อในสายตาเขา ตอนนี้กลับดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“แม่ ใครเป็นคนต้นคิดให้ขังลั่วลั่ว?”
สายตาของเขาจงใจกวาดมองไปยังฉู่หร่านที่หลบอยู่ข้างหลังซ่งเชียนหย่าด้วยความหวาดกลัว
ซ่งเชียนหย่าตบหลังลูกสาวคนโปรดเบา ๆ “แม่เป็นคนต้นคิดเอง ทำไม? ทั้งหมดก็เพื่อลูกนะ! นัดดูตัวแล้ว อยู่ ๆ มาบอกจะไม่ไปก็ไม่ไปเหรอ”
“ลูกกล้าพูดไหมล่ะ ว่าลูกไม่ได้เชื่อคำพูดของลั่วลั่ว?”
“อาเหิง ลูกโตแล้วนะ จะรักน้องสาวก็ให้มันมีขอบเขตหน่อย”
มีขอบเขต!?
เมื่อก่อนตอนที่สามพี่น้องรักและเอ็นดูฉู่หร่าน พวกเขาทำให้มากกว่านี้อีก แต่ไม่เคยได้ยินพ่อแม่พูดว่าให้มีขอบเขตสักประโยคเดียว
ตอนนี้ เขาแค่ตกลงไม่ไปดูตัวเท่านั้น กลับทำให้พวกเขาโกรธจนขังฉู่ลั่วเอาไว้
คนในครอบครัวของเขารักฉู่หร่านจนสมองมีปัญหาหมดแล้วหรือไง!
“อะไรเรียกว่ามีขอบเขตครับ! คนที่ควรรู้ขอบเขตคือแม่หรือเปล่า! แม่ขังฉู่ลั่วไว้ในห้องทั้งวัน ไม่ส่งน้ำส่งข้าวให้ แม่อยากให้เธอหิวตายใช่ไหม?” ฉู่เหิงอายุสามสิบสองปี เป็นช่วงวัยที่ดูสุขุมมาก น้อยครั้งที่จะเห็นเขาโกรธอย่างตอนนี้
ซ่งเชียนหย่าตกใจ “แค่ไม่ได้กินข้าววันเดียวเอง แม่ลืมเพราะมัวแต่ยุ่งกับเรื่องของลูกไม่ใช่หรือไง?”
ฉู่หร่านหลบอยู่ข้างหลังแม่ “พี่ใหญ่ คุณแม่หวังดีกับพี่นะคะ คุณแม่ไม่รู้ว่าลั่วลั่วเป็นโรคกระเพาะ คนทั่วไปจะตายเพราะอดข้าววันเดียวได้ยังไง! พี่ใหญ่ อย่าโกรธเลยค่ะ ถ้าจะโทษก็โทษหนูเถอะ!”
วินาทีต่อมา เธอก็ยืดตัวตรง ออกมายืนตรงหน้าซ่งเชียนหย่า พร้อมดวงตาแดงก่ำ และมีเสียงสะอื้นเบา ๆ
“หร่านหร่าน!” ซ่งเชียนหย่าดึงลูกสาวกลับไป “อาเหิง ถ้าลูกกล้าด่าน้องสาวตัวเอง แม่ไม่ยอมแน่!”
“ลั่วลั่วก็เป็นน้องสาวผม!” ฉู่เหิงกัดฟันพูด “แม่ เธอก็เป็นลูกสาวของแม่นะ แม่จะรักหร่านหร่านก็ไม่เป็นไรหรอก แต่แม่จะ… ลำเอียงขนาดนี้ไม่ได้!”
“พวกเราพาลั่วลั่วกลับมา ไม่ใช่เพราะอยากชดเชยให้เธอเหรอ?”
“ทำไมเธอถึงเป็นโรคกระเพาะ? แม่… แม่เคยคิดบ้างหรือเปล่า?”
“พวกเราตระกูลฉู่ตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงตอนนี้ มีใครเป็นโรคกระเพาะสักคนไหม?”
“ปีนี้เธอเพิ่งอายุเกือบยี่สิบ ก็เป็นโรคกระเพาะระดับรุนแรงขนาดนี้แล้ว นี่หมายความว่ายังไง แม่ไม่รู้เลยเหรอ?”
ฉู่เหิงพูดออกมาในขณะที่ซ่งเชียนหย่านิ่งเงียบ ในดวงตาหญิงสาวมีแววเจ็บปวด
“พอได้แล้ว” ฉู่เหว่ยฮ่าวพูดเสียงเบา “จะมาโวยวายอะไรหน้าห้องพักผู้ป่วย เรื่องครั้งนี้แน่นอนว่าแม่แกทำไม่ถูก แต่แม่แกก็หวังดีกับแกนะ”
ฉู่เหิงเม้มริมฝีปาก
“แกเองก็หัดทบทวนตัวเองซะบ้าง ถ้าแกยอมไปดูตัวดี ๆ แม่แกคงไม่ขังฉู่ลั่วไว้”
“แกอายุไม่น้อยแล้ว ควรแต่งงานได้แล้ว”
ฉู่เหิงสูดลมหายใจ “ผมรู้แล้ว ผมจัดการเรื่องของตัวเองได้”
ฉู่เหว่ยฮ่าวมองภรรยากับลูกสาว “ไปกันเถอะ! ตรงนี้ปล่อยให้ฉู่เหิงจัดการ พวกเรากลับได้แล้ว!”
หน้าห้องพักผู้ป่วย เหลือเพียงฉู่เหิงคนเดียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
ซ่งจือหนานถือของกลับมาเต็มไม้เต็มมือ ก็เห็นฉู่เหิงยืนอยู่หน้าประตูห้องเพียงลำพัง “ลุงฉู่กับป้าซ่งล่ะครับ?”
ฉู่เหิงกล่าว “กลับบ้านไปแล้ว”
ซ่งจือหนานเบิกตากว้าง “พี่ลั่วยังไม่ฟื้นพวกเขาก็กลับกันแล้วเหรอ?”
เขาไม่อยากจะเชื่อ รู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมาเต็มอก!
ฉู่เหิงยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะหันไปถาม “ของพวกนี้คือ…”
“ตามที่หมอบอกครับ ผมซื้อมาให้พี่ลั่วกิน พวกนี้เป็นของที่พี่ลั่วกินได้ทั้งหมด เธอฟื้นหรือยังครับ?”
“ยังเลย น่าจะต้องรออีกสักพัก”
ซ่งจือหนานกอดของที่อยู่ในมือเอาไว้ทันที “ซื้อของมาเร็วไปหน่อย ไม่รู้ว่าถ้าพี่ลั่วฟื้นแล้ว ของพวกนี้จะเย็นหมดหรือยัง”