เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 44 ปรมาจารย์
ฉิงจื่อฉิงโกรธ
ซ่งเชียนหย่าเองก็รู้สึกแย่เช่นกัน
มีเพียงฉู่ลั่วที่กินเสร็จแล้วก็นอนโดยที่ไม่รู้สึกอะไรแม้แต่นิดเดียว
เป็นโรคกระเพาะเฉียบพลันครั้งนี้ ทำให้เธอตระหนักรู้อย่างชัดเจนถึงความสำคัญของการบำเพ็ญ
ด้วยร่างกายที่ปราศจากพลังวิญญาณ เธอก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
รู้สึกหิว เจ็บป่วย แก่เฒ่า แล้วก็ตายไป
‘ฉันทำลายสำนักนั่นไป ช่วยเหลือวิญญาณทั้งหลายนับไม่ถ้วน แต่พลังของฉันไม่เพิ่มขึ้นเลย เพราะอะไรกัน?’
[เพราะพ่อแม่ของเด็กที่ได้รับการช่วยเหลือ ไม่รู้ว่าคุณเป็นคนช่วยไงล่ะ!]
ระบบตอบ
‘…ก็เลยไม่มีพลังวิญญาณเป็นของตอบแทนเหรอ?’
[ไม่มี ถึงได้บอกให้นายหญิงไลฟ์สตรีมให้มากหน่อย ต้องเพิ่มความนิยมให้เยอะขึ้น!]
‘…’
ขณะที่กำลังครุ่นคิด นอกห้องพักผู้ป่วยก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นมา
เมื่อเธอลืมตาขึ้น ฉิงจื่อฉิงก็เข้ามาพอดี
“เสียงดังรบกวนหนูหรือเปล่า?”
ฉู่ลั่วลุกขึ้นนั่ง “ทำไมข้างนอกเสียงดังจังเลยคะ?”
ฉิงจื่อฉิงถอนหายใจ “เหมือนว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับพวกนักศึกษามหาวิทยาลัยนะ บอกว่าไปที่บ้านผีสิงกัน แล้วหายตัวไปสามวันเลยละ ตำรวจเพิ่งไปช่วยออกมาได้วันนี้เองจ้ะ”
“พอพามาส่งที่โรงพยาบาล คุณหมอบอกว่าร่างกายของพวกเขาปกติดี”
“…แต่คนไม่ยอมฟื้นขึ้นมา”
ฉิงจื่อฉิงรู้ว่าฉู่ลั่วเก่งในด้านนี้มาก จึงถามเธอว่า “จะเป็นเหมือนป้าหรือเปล่า ที่วิญญาณหลุดออกจากร่างน่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ต้องเห็นด้วยตาตัวเองถึงจะรู้แน่ชัด”
“ถ้าอย่างนั้น…”
ฉู่ลั่วดึงผ้าห่มออก “หนูขอไปดูหน่อยนะคะ”
ฉิงจื่อฉิงรีบประคองเธอ ทั้งสองคนค่อย ๆ เดินไปห้องผู้ป่วยอีกห้องที่อยู่ข้างกัน
โรงพยาบาลควบคุมความวุ่นวายได้แล้ว
ตอนนี้จึงมีเพียงเสียงร้องไห้ดังออกมาจากห้องพักผู้ป่วย พร้อมกับเสียงปลอบใจของพยาบาลสาว
ฉู่ลั่วยืนมองอยู่หน้าประตู “ไม่ใช่วิญญาณออกจากร่าง แต่ถูกสะกดวิญญาณค่ะ”
“หา?”
“วิญญาณออกจากร่างเป็นอาการที่พบเห็นได้บ่อย วิญญาณจะยังติดตามร่างกายอยู่ แต่การสะกดวิญญาณนั้นต่างออกไปค่ะ มันเป็นการบังคับให้วิญญาณออกมาจากร่าง ทำให้วิญญาณไม่อาจรับรู้ถึงร่างกายตัวเอง”
ฉิงจื่อฉิงถอนหายใจ “มันร้ายแรงมากใช่ไหม”
เด็กสาวตอบเสียงเรียบ “นิดหน่อยค่ะ”
“หลีกไป หลีกไป” อีกฝ่ายผลักพวกเขาสองคนออกไป ก่อนจะวิ่งเข้าไปค้อมศีรษะให้ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง “ท่านปรมาจารย์ เชิญด้านในครับ”
ชายสวมเสื้อคลุมสีเหลืองมีลายแผนภูมิแปดทิศของลัทธิเต๋าเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยด้วยท่าทางมั่นใจ
“คนอยู่ที่ไหน?”
ชายคนนั้นชี้ไปยังลูกชายที่อยู่บนเตียง “ลูกของผมครับ อู๋เฉียง”
อู๋จงซ่านดึงภรรยาที่ร้องไห้ไม่หยุดออกมาเบา ๆ “ที่รัก ผมเชิญท่านปรมาจารย์มา เขาบอกว่าสามารถช่วยลูกชายของเราได้”
“จริงเหรอคะ? ท่านปรมาจารย์ ขอแค่ท่านช่วยลูกชายของฉันได้ จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นค่ะ”
พูดแล้วก็คุกเข่าลงไปบนพื้น โขกศีรษะเสียงดัง
“เอาละ ลุกขึ้นเถอะ!” ปรมาจารย์ยกมือขึ้นเล็กน้อย “จ่ายเงินตามที่ตกลงกันไว้ก็พอ”
“แน่นอนครับ แน่นอนครับ สามแสนหยวนไม่มีขาดแน่นอน!”
เงินสามแสนสำหรับครอบครัวของพวกเขาถือเป็นเงินจำนวนไม่น้อย แต่อู๋เฉียงเป็นลูกชายคนเดียว ในเมื่อโรงพยาบาลช่วยไม่ได้ พวกเขาก็จำเป็นต้องหาตัวช่วยอื่น
คุณนายอู๋ดึงอู๋จงซ่านมา “สามแสนหยวน เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ!”
อู๋จงซ่านถลึงตามองภรรยา พลางกระซิบเสียงเบาว่า “เยอะที่ไหน? ปรมาจารย์ท่านนี้เป็นปรมาจารย์จากสำนักมายาสงัด ลงจากภูเขาครั้งหนึ่งต้องจ่ายหลายล้านเชียวนะ”
“ครั้งนี้เป็นโชคดีของฉัน ตอนไปที่สำนักมายาสงัดก็บังเอิญเจอปรมาจารย์ท่านนี้เข้า ขอร้องอยู่นานกว่าท่านจะยอมมา”
เขาเห็นคนรวยสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมกำลังขอบคุณท่านปรมาจารย์อยู่หน้าสำนัก
แม้แต่คนรวยยังมาตามหาท่านปรมาจารย์ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา
ฉู่ลั่วยืนพิงกรอบประตู มองสถานการณ์ภายในห้องพักผู้ป่วยด้วยความตื่นเต้น
ฉิงจื่อฉิงกระซิบถาม “ลั่วลั่ว คนคนนี้เก่งไหมจ๊ะ?”
เด็กสาวตอบเสียงเรียบ “มีพลังอยู่บ้างค่ะ”
ป้าฉิงถามต่อ “ช่วยคนได้หรือเปล่า?”
ฉู่ลั่วเอ่ยเสียงเรียบ “พลังไม่พอค่ะ”
ฉิงจื่อฉิงได้แต่เงียบงัน “…”
เข้าใจแล้ว…
ต้องไม่มีใครเก่งเท่าลั่วลั่วแน่!