เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 70 อักขระของลัทธิเต๋า
บทที่ 70 อักขระของลัทธิเต๋า
บนรถที่กำลังขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว ซ่งเชียนหย่ามองข้างหลังอย่างระมัดระวัง
ที่เบาะด้านหลังมีฉู่ลั่วนั่งอยู่ตรงกลาง ส่วนทางซ้ายและขวานั้นว่างเปล่า
ถึงจะว่างเปล่า แต่หญิงสาวเหมือนจะสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่าง
ซ่งเชียนหย่ารีบเบือนหน้าหนี และเก็บสายตา
“ที่จริงถ้าคุณแม่กลัว ไม่ต้องมาด้วยกันก็ได้นะคะ” ฉู่ลั่วบอกกับซ่งเชียนหย่า
สุสานแห่งนั้นอยู่ที่เมืองหนิง ไม่ไกลจากเมืองเจียงมากนัก ขับรถประมาณสามชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงแล้ว
ซ่งเชียนหย่าเอาแต่ส่ายหน้า “ไม่ได้ ลูกออกมาข้างนอกเอง แม่ไม่สบายใจ!”
ฉู่ลั่วเงียบงัน “…”
ซ่งจือหนานที่เป็นคนขับรถส่วนตัวหัวเราะออกมา “ป้าซ่งครับ ป้าเองก็อยากตามมาดูเรื่องสนุกใช่ไหมล่ะ”
หญิงสาวแย้งขึ้นมา “คนที่อยากมาดูเรื่องสนุกคือเธอต่างหาก!”
เขายอมรับอย่างไม่ลังเล “ใช่ครับ ผมอยากมาดูเรื่องสนุก!”
พอรู้ว่าฉู่ลั่วจะไปที่เมืองหนิง ซ่งจือหนานก็รีบเข้าประจำตำแหน่งหลังพวงมาลัยทันที
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวตัวน้อยที่นั่งอยู่ทางซ้ายเกาะขอบหน้าต่าง มองไปข้างนอกอย่างสนอกสนใจ
ผ่านมาสิบกว่าปีที่เธอตายและถูกผนึกเอาไว้ในสำนักเต๋า ตอนนี้มาอยู่กับฉู่ลั่ว เพื่อรักษาวิญญาณให้ใสสะอาดอยู่เสมอ จึงไม่เคยออกห่างจากอีกฝ่ายไปไกลนัก
เมื่อเห็นว่าวิญญาณของซ่งเมี่ยวเมี่ยวแทบจะทะลุออกนอกรถ ลอยออกไปข้างนอก ฉู่ลั่วก็รีบยื่นมือไปดึงวิญญาณของเธอกลับมา “พอไปถึงจุดหมาย เธอค่อยออกไปเที่ยวเล่น”
“ได้จริงเหรอ ได้จริงเหรอคะ? เย้” ซ่งเมี่ยวเมี่ยวดีใจจนกระโดดโลดเต้น
ซ่งจือหนานได้ยินเสียงร่าเริงของวิญญาณพี่สาว ก็พูดอย่างเศร้าใจว่า “รอให้ถึงก่อน ผมจะพาพี่ออกไปเที่ยวเล่นนะ”
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวยิ้มร่า “ขอบคุณนะเจ้าน้องชาย น้องชายดีที่สุดเลย”
ซ่งเชียนหย่าพูดไม่ออก “…”
ได้แต่เอนหลังพิงเบาะรถ ดวงตามองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว
เธอไม่อยากรู้สักนิดว่าพวกเขากำลังคุยกับใคร!
…
เมื่อถึงเมืองหนิง ก็มีคนจากทีมผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีมารับพวกเขา
นำโดยนักเรียนของคุณอวี๋ ชื่อจู้หยวนเจ๋อ รับหน้าที่พาแขกไปพักผ่อนก่อน
ชาวคณะโบราณคดีต่างก็อาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้กับสถานที่สำรวจทางโบราณคดี
ครั้งนี้พวกเขามากันเยอะมากจนต้องเช่าบ้านหลังเล็กในหมู่บ้านเอาไว้สองหลังเพื่อให้ทีมงานอยู่อาศัย
หลังจากที่ฉู่ลั่ววางของเรียบร้อยแล้ว จู้หยวนเจ๋อก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะถามว่า “ท่านปรมาจารย์ อาจารย์ให้ผมมาถามคุณว่า อยากให้พวกเราเตรียมการอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ?”
เขารู้มาจากอาจารย์แล้วว่าเด็กสาวพาอะไรมาด้วย
ฉู่ลั่วส่ายหน้า “ไม่ต้องค่ะ ก่อนอื่นพาฉันไปดูสุสานก่อนดีกว่า”
“ครับ”
ซ่งเชียนหย่าตามลูกสาวไปด้วย ส่วนซ่งจือหนานก็พาซ่งเมี่ยวเมี่ยวไปเดินเล่นรอบ ๆ
เมื่อมาถึงตำแหน่งที่ตั้งสุสาน พวกเขาก็เห็นคุณอวี๋กับคุณซูสวมรองเท้าบูทหนัง ยืนอยู่ในโคลน ทั้งคู่หยุดอยู่ต่อหน้าก้อนหินขนาดเท่าตัวคนโดยไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ถัดจากแผ่นหิน เป็นช่องขนาดเล็กที่โจรสามารถลอดเข้าไปได้ทีละคน
“เสี่ยวฉู่ เธอมาแล้วเหรอ!” คุณอวี๋กับคุณซูรีบขึ้นมาทักทาย
จู้หยวนเจ๋อยื่นมือไปประคองพวกเขา แต่กลับถูกปัดมือออก
จู้หยวนเจ๋อเงียบงัน “…”
คุณอวี๋จับมือฉู่ลั่ว แล้วดึงเธอไปหน้าแผ่นหินก้อนนั้น “เมื่อพิจารณาจากตัวอักษรและเนื้อหา รวมกับคำพูดที่พวกหวังชางเคยบอกเอาไว้ นี่คงจะเป็นสุสานจากยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันตก”
“สุสานนี้แปลกมาก พวกเราพยายามจะดึงแผ่นหินออก แต่กลับทำไม่ได้ เพราะกลัวว่าจะทำลายสิ่งของที่อยู่ในสุสาน พวกเราเลยเตรียมจะลอดเข้าไปทางช่องนี้ แล้วดูว่าข้างในมีกลไกอะไรอยู่หรือเปล่า”
“แต่พอคนของทีมโบราณคดีเข้าไป ไม่นานก็เริ่มหายใจลำบาก ถ้ายังดันทุรังจะเข้าไปข้างในต่อ อาจร้ายแรงถึงขั้นหมดสติ”
คุณอวี๋นึกถึงนักเรียนหลายคนของตนที่ตอนนี้ยังนอนพักอยู่
ฉู่ลั่วเดินวนรอบช่องทางเข้าของโจร “มุมหนึ่งของหินแผ่นนี้สลักอักขระเต๋าเอาไว้ เพื่อให้คนเป็นและวิญญาณร้ายหวาดกลัว”
คุณอวี๋รีบก้มตัวลงบนแผ่นหิน พลางมองดูอย่างละเอียด “เป็นอักขระเต๋าจริง ๆ ด้วย มันมีความสำคัญอะไรหรือเปล่า?”
ฉู่ลั่วจ้องมองแผ่นหิน “แผ่นหินนี้ไม่เพียงแต่ป้องกันไม่ให้คนเข้าไป แต่ยังป้องกันไม่ให้สิ่งที่อยู่ข้างในออกมาด้วยค่ะ”
ทุกคนในที่นั้นรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้า
สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังสุสานโบราณ
ในตอนนี้เอง พวกเขาไม่ต้องการให้ฉู่ลั่วบอกเลยว่า ‘สิ่ง’ ที่อยู่ข้างในนั้นคืออะไร
พวกเขาไม่อยากรู้จริง ๆ นะ