เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 73 อักขระสะกดวิญญาณ
บทที่ 73 อักขระสะกดวิญญาณ
เฉิงยวนไม่ยอมปิดผนึกสุสาน และไม่ยอมให้ทีมโบราณคดีเข้าไปดำเนินการดูแลมรดกทางวัฒนธรรม
ต่างฝ่ายต่างถึงทางตัน
ทีมโบราณคดีทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมเจ้าของสุสาน
แต่เฉิงยวนไม่ใช่คน ไปมาไร้ร่องรอย พวกเขาทำได้เพียงนั่งอยู่หน้าแผ่นหิน และพูดถึงความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมให้เธอฟัง
คุณอวี๋เล่าแล้ว คุณซูก็เล่าต่อ
แม้แต่จู้หยวนเจ๋อที่หน้าซีดเป็นพัก ๆ เพราะความกลัว ก็ยังกล่าวถึงความเกลียดชังที่มีต่อโจรปล้นสุสานต่อหน้าแผ่นหิน และบอกว่าพวกเขาต้องสูญเสียมรดกทางวัฒนธรรมให้ต่างชาติมากเท่าไหร่
พูดไปพูดมา จู้หยวนเจ๋อก็ด่าทอออกมาด้วยความโกรธแค้น
แต่ละคำแต่ละประโยคที่พูดออกมาล้วนเป็นคำทักทายบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของโจรปล้นสุสาน
เฉิงยวนที่แอบมองอยู่หลังต้นไม้ “…”
เธอก้มหน้ามองซ่งเมี่ยวเมี่ยว ก่อนจะปิดหูอีกฝ่ายไว้ “เด็กฟังไม่ได้นะ”
พูดแล้ว วิญญาณหญิงสาวก็อุ้มซ่งเมี่ยวเมี่ยวกลับไปที่บ้านพักที่ฉู่ลั่วอยู่
ที่บ้านบรรยากาศเงียบสงบ ฉู่ลั่วกำลังนั่งสมาธิอยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง
เฉิงยวนอุ้มซ่งเมี่ยวเมี่ยวมายืนอยู่ไม่ไกลจากที่ที่ฉู่ลั่วอยู่ แล้วกระซิบถามว่า “พี่สาวคนนี้ของเจ้าดูเก่งมากเลยนะ”
วิญญาณเด็กหญิงพยักหน้าอย่างแรง “เก่งมากเลยค่ะ!”
เธอนับนิ้วแล้วพูดออกมา ทั้งเปลี่ยนดวงชะตาเอย จับคนสารเลวที่ฆ่าภรรยาเอย จับโจรขโมยกระดูกในสุสานบรรพบุรุษเอย…
เฉิงยวนได้ยินก็ดวงตาเป็นประกาย “ยอดเยี่ยมมาก น่าสนุกจัง!”
พูดจบ เธอก็ถอนหายใจออกมา
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวถามอย่างสงสัย “พี่สาวคะ ทำไมพี่ถึงไม่มีความสุขล่ะ?”
เฉิงยวนมองวิญญาณเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความอิจฉา ก่อนจะยื่นมือไปลูบศีรษะเธอเบา ๆ “เจ้าไม่เข้าใจ”
“คุณต้องการออกไปจากสุสาน” ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นมา
เฉิงยวนรีบหันไป และเห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งเดิน… ไม่สิ ลอยเข้ามา เป็นวิญญาณที่โปร่งใสและบริสุทธิ์ แต่ไม่อาจปกปิดพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งรอบตัวเขาไว้ได้
หญิงสาวอยู่ในสุสานโบราณมาหลายพันปี เจอผีร้ายมามากมาย
พลังของเธอก็ไม่ได้ด้อยแต่อย่างใด
แต่เมื่อเห็นวิญญาณที่ใสสะอาดเช่นนี้ ก็เผลอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
นี่คือพลังในการรับรู้ถึงอันตรายโดยธรรมชาติของภูตผี
“พี่ชาย!” ซ่งเมี่ยวเมี่ยวลอยไปอยู่ตรงหน้าฮั่วเซียวหมิง “หลายวันนี้พี่ไปไหนมาคะ?”
เขาตอบ “ไปหาคน”
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวมองไปทางฉู่ลั่วอย่างกระวนกระวาย เธอลดเสียงลง “พี่ลั่วลั่วบอกแล้วนะคะ ว่าไม่ให้พี่หนีออกไปไหน พี่ระวังพี่ลั่วลั่วโกรธนะ”
ฮั่วเซียวหมิงเงียบลงไป “…”
เขาเหลือบมองฉู่ลั่ว และรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
เฉิงยวนเห็นซ่งเมี่ยวเมี่ยวกับฮั่วเซียวหมิงสนิทสนมกันก็ขยับเข้ามาใกล้ พลางมองดูผู้ชายที่สง่างาม หล่อเหลา และอ่อนโยนตรงหน้า
“มองดูริมฝั่งแม่น้ำสุ่ยวาน หลังม่านป่าไผ่เขียวขจี สุภาพชนผู้สง่างาม ยามปราศรัยเสียงแผ่วหวาน สวมกว้านแวววาวราวดวงดารา”
เธอท่องกลอนออกมาเสียงเบา
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวมองวิญญาณหญิงสาวด้วยความสงสัย ในดวงตากลมโตเต็มไปด้วยคำถาม
ฮั่วเซียวหมิงก็กวาดตามองเจ้าของสุสานแวบหนึ่ง
เฉิงยวนกล้าเอ่ยชมชายหนุ่มรูปงามอย่างหลบซ่อน แต่กลับไม่กล้าพูดออกมาต่อหน้าเจ้าตัว จึงทำได้เพียงยิ้มแห้งเท่านั้น
ฮั่วเซียวหมิงก็ทำเหมือนว่าตนเองไม่ได้ยินประโยคเมื่อสักครู่นี้ “คุณอยากไปจากสุสาน”
เขาพูดประโยคนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจอีกครั้ง
ลมสายหนึ่งพัดผ่านไป เสียงใบไม้สั่นไหว แสงแดดส่องทะลุผ่านวิญญาณของพวกเขา
เฉิงยวนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น สายตาทอดมองไปยังดวงตะวัน
เธอไม่อาจสัมผัสถึงความอบอุ่นได้ และไม่รู้สึกถึงความสว่างจ้าในดวงตา
ในฐานะผีตนหนึ่ง …ผีที่อยู่มาหลายพันปี
เธอไม่อาจสัมผัสอะไรได้อีกแล้ว
แสงแดด สายลม ฝนพรำ สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเธอ
ใบหน้าของเฉิงยวนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ยามยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าอยากไปแล้วยังไงเล่า? ข้าไปได้อย่างนั้นหรือ?”
ฮั่วเซียวหมิงถาม “ทำไมจะไม่ได้?”
เขาเชิดหน้าขึ้น น้ำเสียงก็ฟังดูอ่อนลงด้วย “เธอไปได้”
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ พยักหน้าอย่างแรง “ใช่ค่ะ พี่ลั่วลั่วเก่งมากเลย!”
เฉิงยวนยังคงยิ้มขมขื่น ก่อนส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่ได้หรอก ไม่มีใครทำได้”
ฉู่ลั่วที่หลับตามาตลอดลืมตาขึ้น เธอลุกขึ้นจากพื้น “ฉันทำได้ค่ะ”
เฉิงยวนชี้แผ่นหินบนสุสานของตนเอง “เห็นแผ่นหินนั่นหรือไม่? ปรมาจารย์เต๋ายุคโบราณที่มีพลังแก่กล้าเป็นผู้เขียนอักขระด้านบนด้วยตนเอง”
ฉู่ลั่วพยักหน้า “ฉันรู้ค่ะ อักขระสะกดวิญญาณ”
วิญญาณหญิงสาวเงียบงัน “…”
หลายปีผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้ว่าอักขระนี้มีชื่อเรียกด้วย