เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 74 ความงดงามอันน่าทึ่ง
บทที่ 74 ความงดงามอันน่าทึ่ง
วิญญาณหญิงสาวคว้าข้อมือของฉู่ลั่ว ราวกับจะพาไปยังหน้าสุสานของเธอเอง ก่อนชี้ตัวอักษรบนแผ่นหิน “ดูให้ชัดนะ นี่คืออักขระที่ปรมาจารย์จากหลายพันปีก่อนเขียนเองกับมือ!”
ฉู่ลั่วกวาดตามอง และยังคงพยักหน้า “ฉันแก้ได้ค่ะ”
เฉิงยวนเงียบไปสักพัก “…”
ก่อนกรีดร้องออกมาอย่างหัวใจแตกสลาย เสียงแหลมเสียดหูคนฟังเป็นอย่างมาก
“ในเมื่อเจ้าแก้ได้ เหตุใดจึงไม่บอกข้า!?”
ฉู่ลั่วตอบอย่างไม่รู้ไม่ชี้ว่า “คุณไม่ได้ถาม”
“ข้าไม่ถาม เจ้าก็ไม่พูดอย่างนั้นเหรอ ข้าติดอยู่ในสถานที่บ้า ๆ นี่หลายพันปีแล้ว! หลายพันปี! พลังของอักขระนี้ลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ข้าพอจะออกไปเดินเล่นใกล้ ๆ สุสานได้เท่านั้น หากจะรอให้อำนาจของอักขระนี้หมดลง ไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกกี่หมื่นปี!”
“ช่วงแรกก็ยังมีคนมาพูดคุยที่หน้าสุสานของข้าบ้าง มาเยี่ยมข้า แต่ต่อมาที่นี่ก็ร้างเสียแล้ว”
“คนที่ตายอยู่แถวนี้ ต่างถูกยมทูตพาตัวไปหมด เหลือเพียงแต่ข้า…”
พูดไปพูดมา เฉิงยวนก็สะอื้น “มีเพียงข้าตนเดียว ยมทูตพาข้าไปไม่ได้ ข้าถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง”
“เจ้าสามารถแก้อักขระนี้ได้ แต่กลับไม่บอกข้า! ฮือฮือ ฮือฮือ!”
ฉู่ลั่วก้มหน้าลง “…”
ถึงเด็กสาวจะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ผิดอะไร แต่เสียงร้องของเฉิงยวนก็ฟังดูน่าปวดใจเกินไปแล้ว
เธอก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และตบไหล่เฉิงยวนเบา ๆ พลางพูดอย่างไม่คุ้นชินว่า “ขอโทษนะ”
เฉิงยวนก้มหน้าสะอื้น “ขอโทษแล้วมีประโยชน์อะไร!? ขอโทษไปก็ไม่ทำให้เจ้าแก้อักขระได้ในทันทีเสียหน่อย”
ฉู่ลั่วย้ำ “ฉันยืนยันว่าฉันทำได้”
วิญญาณหญิงสาวเงยหน้าขึ้นทันที บนใบหน้าไม่เหลือร่องรอยของความโศกเศร้าแม้แต่น้อย “แล้วจะรออะไรเล่า รีบแก้เลยสิ! ที่บ้าบอแบบนี้ ข้าไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว!”
ฉู่ลั่วเงียบงัน “…”
เมื่อครู่นี้มันมารยา เธอถูกหลอกให้ช่วยเข้าให้แล้ว!
เมื่อคุณอวี๋กับคุณซูทราบว่าเจ้าของสุสานอนุญาตให้เข้าไปได้แล้ว พวกเขาก็ตื่นเต้นมาก แล้วรีบเตรียมสิ่งของที่ฉู่ลั่วต้องการให้อย่างรวดเร็ว
วันนี้อากาศแจ่มใส แสงแดดกำลังดี…
มีโต๊ะบูชาวางอยู่หน้าแผ่นหิน ด้านบนมีเครื่องบูชาวางอยู่ห้าชิ้น ได้แก่กระถางธูปใบใหญ่หนึ่งใบ เทียนหนึ่งคู่ และธูปอีกหนึ่งคู่
นอกจากนี้ บนโต๊ะยังมีกระบี่ดอกท้อ*[1]วางอยู่หนึ่งเล่ม
เฉิงยวนถามด้วยความตื่นเต้นปนกังวลใจ “กระบี่ดอกท้อเล่มนั้นเป็นแค่กระบี่ดอกท้อธรรมดา จะใช้ได้เหรอ?”
ฮั่วเซียวหมิงเอ่ย “เชื่อเธอเถอะ”
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวเน้นย้ำคำเดิม “พี่ลั่วลั่วเก่งมากนะคะ”
เฉิงยวนยังกังวล “ข้าจำได้ว่าปรมาจารย์เต๋าผู้นั้นตอนทำพิธีมีพวกธง แล้วก็ฉาบอะไรพวกนี้ด้วยนะ”
ฮั่วเซียวหมิงมองเธอ แต่ไม่ตอบอะไร
ซ่งเมี่ยวเมี่ยวยังพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่ลั่วลั่วเก่งมากค่ะ”
เฉิงยวนหรี่ตามองกองอวย “…”
พวกเจ้าสองคนเชื่อนางเกินไปหน่อยหรือเปล่า?
ฉู่ลั่วอายุน้อยแค่นี้
ปรมาจารย์เต๋าผู้นั้นดูเก่งกล้าราวกับเป็นเซียน หนวดเครายาว มองแวบเดียวก็รู้ว่าเก่งมาก
แต่ฉู่ลั่วดูแล้ว…
ใครเห็นก็คงไม่คิดว่าเธอจะเป็นผู้บำเพ็ญที่เก่งกาจ
“พี่ลั่วลั่วมาแล้ว” ซ่งเมี่ยวเมี่ยวตื่นเต้นมาก ครู่ต่อมาน้ำเสียงก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก “วันนี้พี่ลั่วลั่วสวยมากเลย!”
ฉู่ลั่วกำลังเดินมาจากที่ไกล ๆ เธอสวมกระโปรงยาวสีชมพูกลีบบัว ผมยาวสีดำขลับถูกรวบเก็บด้วยปิ่นหยก ปอยผมไม่กี่เส้นตรงท้ายทอยพลิ้วไสวไปตามลม
นอกจากปิ่นหยกแล้ว บนตัวเธอไม่มีเครื่องประดับอะไรอีก
แต่กลับทำให้คนที่พบเจอตกตะลึงตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
กระโปรงพลิ้วไหวไปตามการเดิน แสงแดดที่สาดส่องลงมาบนร่างระหงราวกับมีรัศมีสีทองอยู่รอบตัว
จู้หยวนเจ๋อชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดพึมพำ “แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้นเอง ทำไมถึงดูเปลี่ยนไปอย่างกับเป็นคนละคนเลยล่ะ?”
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าฉู่ลั่วสวย แต่ไม่สวยสะกดเท่ากับตอนนี้
เป็นความงดงามอันน่าทึ่ง สวยจนทำให้คนทั่วไปรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
คุณอวี๋เป็นคนรอบรู้ หลังได้สติกลับมาก็พูดเสียงเบาว่า “ผู้ชำนาญในอาชีพของตน เวลาที่ลงสนามมาเผชิญหน้ากับงานของตัวเอง บรรยากาศก็จะเปลี่ยนไปเป็นปกติอยู่แล้ว”
เขามองไปที่โต๊ะบูชา แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
อักขระบนแผ่นหินนี้น่าจะไม่ธรรมดา ถึงทำให้เสี่ยวฉู่จริงจังได้ขนาดนี้
ซ่งเชียนหย่าเห็นสายตาที่ตกตะลึงของทุกคน ก็แอบยิ้มอยู่ในใจ
คิดถูกแล้วที่เธอยืนกรานจะให้ฉู่ลั่วเปลี่ยนเสื้อผ้า
เมื่อมองฉู่ลั่วที่เดินมาตรงหน้าโต๊ะบูชา ซ่งเชียนหย่ารู้สึกร้อนที่กระบอกตาขึ้นมา
นั่นไม่ใช่เซียนหรือเจ้านิกายที่ไหน
แต่นี่คือลูกสาวของเธอ
ลูกสาวที่ควรเติบโตขึ้นมาด้วยความรักและได้รับการทะนุถนอม ไม่ใช่ต้องมาฝึกทักษะอะไรแบบนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย
[1] กระบี่ดอกท้อเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ลัทธิเต๋าใช้ในการขับไล่ภูตผีหรือสิ่งชั่วร้าย