เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 81 เรียกกันว่าลูกแหง่
บทที่ 81 เรียกกันว่าลูกแหง่
ค่ำคืนของเมืองตี้จิง กลายเป็นคืนที่นอนไม่หลับ
แต่ฉู่ลั่วที่เป็นคนไลฟ์สตรีมจนทำให้คนทั้งเมืองตี้จิงตื่นตระหนก กลับหลับสบายมาก
เช้าวันต่อมา หลังจากนั่งสมาธิอยู่ที่ระเบียงห้อง เด็กสาวก็เปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าสะอาด และไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
เมื่อเดินเข้าไป เธอก็ถูกสายตาจากคนจำนวนมากจับจ้อง
เด็กสาวถืออาหารเช้าแล้วยืนอยู่คนเดียว พลางมองไปรอบ ๆ
“พี่ลั่ว ทางนี้” ซ่งจือหนานร้องเรียกไปพลาง โบกมือไปพลาง
ฉู่ลั่วยกถาดอาหารเดินเข้าไป ซ่งจือหนานก็ลุกขึ้นมาเลื่อนเก้าอี้ให้ ก่อนจะถามเธอว่ามีอย่างอื่นที่อยากทานอีกไหม
“ไม่มีแล้ว”
เมื่อวานซ่งจือหนานเล่นสนุกกับพวกลูกหลานคนรวยของตี้จิงมากไปหน่อย จึงไม่ได้ดูไลฟ์สตรีมของฉู่ลั่ว
หลังกลับมาถึงโรงแรมถึงรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงรีบค้นหาวิดีโอที่ถูกชาวเน็ตอัดเอาไว้
เขาดูตั้งแต่ต้นจนจบ
ถึงได้รู้ว่าตัวเองพลาดไลฟ์สตรีมที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ไปเสียแล้ว
น่าเสียดายชะมัด!
“ได้ยินมาว่าวันนี้หุ้นในกิจการของตระกูลหนานดิ่งลงเยอะมากครับ!” เขานั่งซุบซิบอยู่ข้างฉู่ลั่ว พูดเสียงเบาว่า “ตอนนี้หนานฉียังอยู่โรงพยาบาลอยู่เลย เมื่อวานคนของตระกูลหนาน… ลงมือหนักหน่วง”
“หนานฉีเป็นคนทำธุรกิจเก่ง สำหรับเขานี่เป็นเพียงความยากลำบากชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่นานก็ฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิม” เธอออกความเห็น
ซ่งจือหนานกระซิบด่าสองสามประโยค แล้วถามอย่างไม่พอใจว่า “จริงเหรอครับ? พี่ลั่วดูผิดหรือเปล่า”
คนสารเลวแบบนี้ยังมีวันที่ฟื้นกลับขึ้นมาได้อีกเหรอ?
ฉู่ลั่วทานอาหารเช้าอย่างไม่เร่งร้อน “หนานฉีมีใบหน้าเหลี่ยมขาวผ่อง คิ้วสูงดวงตาลึก จมูกเชิดสูง ใบหูแบขึ้น เห็นได้ชัดว่าโชคชะตาที่สวรรค์ลิขิตแข็งแกร่งมาก”
ซ่งจือหนานกะพริบตาอย่างงุนงง
ฉู่ลั่ววางตะเกียบลง และพูดว่า “เจิ้งอิ้น*[1] ของเขาแข็งแกร่ง แต่ดิถี*[2] อ่อนแอเกินไป เจิ้งอิ้นของเขาตรงกับมารดาที่เขาสนิทสนมที่สุดในครอบครัว พูดให้ชัดเจนคือบางครั้งเขาก็อ่อนแอและไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ความแข็งแกร่งภายนอกที่เขาแสดงออกมาให้เห็นล้วนได้เจิ้งอิ้นช่วยเหลือ”
“พี่ลั่วหมายความว่า…”
เธอตอบเสียงเรียบ “ผู้ชายแบบนี้เรียกกันว่าลูกแหง่”
ซ่งจือหนานเบิกตากว้าง นึกถึงหนานฉีที่ตนเองเคยได้เห็นและได้ยินมา “จริงเหรอครับ? ดูไม่ค่อยเหมือนเลยนะ”
ฉู่ลั่วเอ่ย “หนานฉีไม่ใช่ลูกแหง่ธรรมดา เขามีความสามารถมาก แต่กลับเป็นคนที่ขัดอะไรแม่ไม่ได้เลย”
เด็กหนุ่มรีบพยักหน้า “พ่อแม่ของหนานฉีแต่งงานกันเพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจ พ่อของเขาหายไปกับเมียน้อยตั้งแต่เขายังเด็กมาก แม่ของเขาจึงเลี้ยงเขามาเพียงลำพัง”
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะเลี้ยงหนานฉีมาเป็นลูกแหง่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“เพราะฉะนั้น แม้ว่าธุรกิจของหนานฉีจะราบรื่น แต่ดวงเรื่องการแต่งงานของเขาจะวุ่นวายมาก” ฉู่ลั่วทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็หยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ด
ซ่งจือหนานได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาแล้ว เขาเดินตามก้นฉู่ลั่วออกไปจากห้องอาหาร
“พี่ลั่ว คุณจะกลับเมืองเจียงพร้อมคุณลุงฉู่กับคุณป้าซ่งหรือเปล่า?”
ฉู่ลั่วส่ายหน้า “ฉันมีธุระต้องไปที่อื่นอีกสักพัก”
ได้ยินว่ามีธุระ ซ่งจือหนานก็ทำตาโตขึ้นมาทันที “ผมไปด้วยได้ไหม?”
เธอเหลือบมองเขา
ซ่งจือหนานยิ้มประจบประแจง “พี่ลั่ว ผมสัญญาว่าจะไม่พล่ามไร้สาระ”
ฉู่ลั่วถึงพยักหน้า
ทั้งสองคนนัดเจอกันอีกสองชั่วโมงหลังจากนี้ที่ล็อบบี
เมื่อกลับไปเก็บของที่ห้องของตน ก็ได้ยินเสียงกริ่งที่ประตู
เธอเปิดประตูออก ก็เห็นว่าพ่อแม่และพี่ชายใหญ่มายืนอยู่หน้าประตูห้อง
ซ่งเชียนหย่ากับสามีขอบตาค่อนข้างคล้ำ เห็นได้ชัดว่าเมื่อวานพวกเขานอนไม่หลับ แต่ฉู่เหิงดูสดชื่นดี ไม่มีสีหน้าหม่นหมองแม้แต่น้อย
ฉู่ลั่วหลีกทางให้พวกเขาเข้ามา
เมื่อประตูปิดลง ซ่งเชียนหย่าก็พูดอย่างร้อนใจ “ลั่วลั่ว ลูกบอกแม่มาตามตรง พี่ชายของลูกมีเนื้อคู่หรือเปล่า?”
เด็กสาวนิ่งไป ก่อนหันไปมองฉู่เหิง
ฉู่เหิงกล่าวอย่างจนใจ “เพราะในไลฟ์สตรีมเมื่อวาน มีพูดชื่อพี่ด้วยน่ะ”
แม้ว่ากู่ชิวอิ่งกับหนานฉีจะพูดชื่อเขาออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่เมื่ออยู่ในแวดวงเดียวกัน ถูกพูดชื่อออกมาครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นใคร
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนรู้อีกว่ากู่ชิวอิ่งเคยไปที่บ้านตระกูลฉู่
ตอนนี้ทุกคนต่างคิดว่ากู่ชิวอิ่งเป็นแฟนกับฉู่เหิง และฉู่เหิงถูกหนานฉีสวมเขา
ขอบตาของซ่งเชียนหย่าแดงก่ำ “โทษแม่ได้เลย ถ้าแม่ไม่บังคับอาเหิงมาดูตัวแต่แรกก็คงดี”
ต่อให้มีการดูตัว ก็ไม่ควรพากู่ชิวอิ่งมาที่บ้านตระกูลฉู่
ตอนนี้ข้างนอกพากันพูดลือไปเสีย ๆ หาย ๆ บางคนยังพูดอีกว่ากู่ชิวอิ่งเป็นคู่หมั้นของฉู่เหิง
ฉู่เหว่ยฮ่าวพูดปลอบภรรยาหลายคำ ก่อนจะหันไปถามฉู่ลั่ว “ลั่วลั่ว แม่ของลูกเคยเล่าให้พ่อฟัง ลูกบอกว่าพี่ใหญ่ของลูกมีเนื้อคู่ของตัวเองใช่ไหม?”
ฉู่ลั่วพยักหน้า
ฉู่เหว่ยฮ่าวกับซ่งเชียนหย่ามองเธอด้วยสายตาเป็นประกาย “ไม่ใช่ว่าจงใจพูดเพื่อปลอบใจแม่ใช่ไหม?”
ฉู่ลั่วขมวดคิ้ว “เรื่องแบบนี้ หนูไม่เคยพูดโกหกค่ะ”
ซ่งเชียนหย่าไม่โกรธที่ลูกสาวพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ กลับกันเธอดีใจจนยิ้มออกมา “แบบนี้ก็ดี แบบนี้ก็ดี! ต่อไปแม่จะไม่ยุ่งเรื่องของพี่ชายหนูแล้ว”
ฉู่เหว่ยฮ่าวก็สบายใจเช่นกัน
แต่สีหน้าของฉู่เหิงกลับไม่ค่อยดีนัก เขามองสำรวจฉู่ลั่ว โดยไม่ถามอะไรออกไป
เมื่อสบายใจกับปัญหาใหญ่นี้แล้ว ซ่งเชียนหย่าถึงถามฉู่ลั่วว่าเก็บข้าวของไปไหน
เธอมองลูกที่สะพายกระเป๋าไว้บนหลัง
ฉู่ลั่วเอ่ย “ออกไปทำธุระนิดหน่อยค่ะ”
ซ่งเชียนหย่าที่เมื่อครู่จะร้องไห้ ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “ธุระอะไรเหรอ แม่ไปด้วยได้ไหม?”
ฉู่ลั่วเงียบงัน “…”
[1] เจิ้งอิ้น หมายถึง คนที่มีดวงมารดาอุปถัมภ์ เป็นลูกรักของแม่
[2] ดิถี หมายถึง การเกิดข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์ในช่วงแรกเกิด