เกิดใหม่ชาตินี้… ขอเป็นเจ้านิกายมาไลฟ์สด - บทที่ 9 เจ้าชายนิทราฮั่วเซียวหมิง
รูปลักษณ์เดิมของวิญญาณนั้น แท้จริงแล้วคือรูปลักษณ์ของฮั่วจิ่วที่มองเห็นจากตรงประตูหน้าบ้านตระกูลฉู่เมื่อตอนกลางวันนั่นเอง
เพียงแต่ตอนนั้นฮั่วจิ่วนอนเป็นผักอยู่บนเปลหาม ใบหน้าขาวซีด ร่างกายซูบผอม
แต่วิญญาณที่อยู่ตรงหน้ากลับต่างออกไป
ผมถูกเซ็ตเรียบร้อย ใบหน้าอิ่มเอิบ กรอบหน้าคมชัด จมูกเป็นสันตรง เม้มริมฝีปากเล็กน้อย
ดวงตาราวกับนกเฟิงหวงคู่นั้นกลวงโบ๋ลงไปเล็กน้อยเพราะเป็นวิญญาณ แต่ไฝใต้ตาขวาสีแดงเม็ดนั้น ทำให้ร่างกายเย็นเฉียบของเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหลายส่วน
ประสบการณ์สองชาติสองภพของฉู่ลั่วทำให้เธอได้เจอผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วน
แต่ไม่เคยมีสักคนที่มีทั้งความเย่อหยิ่ง เจ้าเล่ห์ และทรงเสน่ห์รวมกันได้สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ราวกับว่าสามคำนี้เกิดมาเพื่อเขา
“คุณมองเห็นผมจริงด้วย” ฮั่วเซียวหมิงลอยเข้ามาหา ก่อนจะยืนอย่างมั่นคงตรงหน้าฉู่ลั่ว
เด็กสาวพยักหน้า “ฉันมองเห็นคุณ”
“คุณไม่ใช่แค่มองเห็นผม แต่ยังกำจัดสิ่งที่อยู่รอบตัวผมออกไปได้”
ฉู่ลั่วนั่งลง “นั่นเป็นกลิ่นอายของผีร้าย”
สีหน้าผู้ฟังไม่สามารถบอกอารมณ์ได้ “…”
ฉู่ลั่วมองเขา แววตาเผยให้เห็นว่าเธอกำลังให้ความสนใจอยู่หลายส่วน
ทั้งแปลกและน่าประหลาดใจ!
ส่วนหัวล้อมรอบด้วยแสงสีทอง แต่ร่างกายกลับล้อมรอบไปด้วยกลิ่นอายสีม่วง
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นลูกรักสวรรค์ที่มีบุญวาสนามาก แต่กลับถูกล้อมไปด้วยกลิ่นอายของผีร้าย ทำให้อายุไม่ยืนยาว
น่าแปลก… นี่มันประหลาดมาก!
[ระบบ คนมีบุญมากขนาดนี้จะให้พลังโชคชะตากับฉันได้มากขนาดไหน?]
ระบบตอบ
[แน่นอนว่าให้พลังได้มากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า อีกฝ่ายเป็นบุตรแห่งโชคชะตาเหมือนฉู่หร่าน]
ฉู่ลั่วคลี่ยิ้ม “คุณมีกลิ่นอายของผีร้ายล้อมรอบตัว วิญญาณของคุณจึงไม่สามารถกลับไปที่เดิมได้ หากเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เกรงว่าคุณจะอายุสั้นนะ”
ฮั่วเซียวหมิง “คุณมีวิธีไหม?”
เธอหรี่ตาเล็กน้อย พลางหยิบยันต์ออกมาจากอ้อมแขนหนึ่งแผ่น “คุณลองใช้ยันต์แผ่นนี้ดูสักครั้งได้นะ ลองดูผล”
เด็กสาวเพิ่งพูดจบ แผ่นยันต์ในมือก็พุ่งมาหาฮั่วเซียวหมิงแล้ว
เมื่อกระดาษยันต์เข้าใกล้วิญญาณของฮั่วเซียวหมิง วิญญาณก็หายไปพร้อมกับยันต์
…
ที่คฤหาสน์ข้าง ๆ
อุปกรณ์ทางการแพทย์ส่งเสียงร้องดังผิดปกติ
ฮั่วเซียวหมิงที่นอนอยู่บนเตียงพลันลืมตาขึ้น เขาหันศีรษะของตนไปมาด้วยความตกตะลึง
ในที่สุดก็ขยับได้แล้ว
แต่น่าเสียดาย วินาทีต่อมาเขาก็ถูกดึงออกมาเสียแล้ว
จนกระทั่งเขาได้สติ จึงกลับมาปรากฏตัวในห้องของเธออีกครั้ง
ฉู่ลั่วยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบาย ๆ พร้อมรอยยิ้มทางการ “เป็นยังไงบ้าง?”
ฮั่วเซียวหมิงตกใจ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า “ใช้ได้”
เธอไม่กล่าวอะไร
ฮั่วเซียวหมิงถามต่อ “คุณทำให้วิญญาณผมกลับเข้าร่างได้ไหม?”
ฉู่ลั่วมองไปทางคู่สนทนา “ตอนนี้ยังไม่ได้”
“ทำไมล่ะ?”
เธอตอบเสียงเรียบเฉย “พลังไม่พอ”
เป็นที่พูดออกมาตามความเป็นจริง
ฮั่วเซียวหมิงได้แต่เงียบงัน “…”
เขาลอยไปที่หน้าต่าง
“วิญญาณของคุณมีความพิเศษ ถูกกลิ่นอายของผีร้ายปนเปื้อนได้ง่าย หากปนเปื้อนกลิ่นอายผีร้ายมากเกินไป ก็จะเสียสติ เมื่อคุณสูญเสียสติสัมปชัญญะไปหมด คุณก็จะทำร้ายผู้คน
เมื่อคุณทำร้ายผู้คน เกรงว่าจะมีคนมาคอยเก็บวิญญาณของคุณไปน่ะ”
วิญญาณที่ลอยออกไปไกล กลับมาอีกครั้ง
ฉู่ลั่วพูดต่อ “บนตัวคุณมีแสงสีทอง นั่นหมายความว่าคุณเป็นคนมีบุญบารมีมาก และมีกลิ่นอายสีม่วงรอบตัว หมายความว่าคุณเป็นคนมีโชคชะตายิ่งใหญ่ ทั้งมีบุญและโชค หากอยู่ในสมัยโบราณคุณคงกลายเป็นจักรพรรดิที่เรืองอำนาจมาก”
“แต่ตอนนี้เพราะวิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ ร่างกายจึงอ่อนแอ อายุไม่ยืน และในช่วงเวลานี้ ถ้าคุณถูกกลิ่นอายผีระรานจนเสียสติ ไปทำร้ายคนเป็น ในอนาคตคงมีคนตามนักพรตเต๋ามาปราบคุณ แต่เพราะบนตัวคุณมีบุญมาก อาจจะถูกอีกฝ่ายเอาไปใช้ประโยชน์ได้”
“นี่เป็นวิธีการขัดขวางเส้นทางสวรรค์ที่ซับซ้อนมาก และถ้าอีกฝ่ายทำสำเร็จ คุณ… ไม่ใช่แค่จะตาย แต่ชาติหน้าอาจจะไม่ได้มาเกิดในครรภ์ที่ดี”
ฮั่วเซียวหมิงฟังอยู่เงียบ ๆ มาตลอด
อารมณ์ของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
เขาถูกอบรมมาอย่างดี และมีสมาธิมั่นคง
ฉู่ลั่วพูดต่อ
“หากคาถาของอีกฝ่ายทำสำเร็จ ฉันที่ตอนนี้พลังวิญญาณยังไม่พอ ก็ไม่สามารถช่วยคุณแก้คาถาได้ แต่ว่า…”
ฉู่ลั่วฉีกยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ฉันคอยปกป้องวิญญาณของคุณให้สะอาดได้ ก่อนที่ร่างของคุณจะตาย ฉันจะต้องพาคุณกลับเข้าร่างได้แน่นอน”
ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีพลังอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าแววตาของเธอดูหยิ่งยโสมาก
ฮั่วเซียวหมิงมองเธอ “คุณต้องการอะไร?”
“ลัทธิเต๋าให้ความสำคัญกับเหตุและผล ฉันช่วยคุณเป็นเหตุ คุณจ่ายเงินให้ฉันเป็นผล เมื่อเหตุและผลชดเชยให้กัน เท่ากับว่าเราสองคนไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน”
ฮั่วเซียวหมิงมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องของฉู่ลั่ว “คุณไม่ได้ขาดเงินนี่”
“เงินน่ะ ไม่ว่าใครก็ไม่เคยมีมากพออยู่แล้ว”
ช่างขี้สงสัยเหลือเกิน…
อีกฝ่ายถามต่อ “คุณต้องการเท่าไหร่?”
“ต้องดูก่อน”
เขาพูดถูก เธอไม่ได้ขาดเงิน แต่เป็นบุญบารมี กับพลังโชคชะตาต่างหาก
ฮั่วเซียวหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง “ตอนนี้ผมไม่มีเงินติดตัว”
“ไม่ต้องรีบร้อน รอให้คุณกลับเข้าร่างค่อยให้ก็ยังไม่สาย”
…
คืนนั้น
เสียงลมพัดใบไม้ดังกรอบแกรบปลุกให้ฉู่ลั่วตื่น
เธอลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย และเห็นว่าฮั่วเซียวหมิงยืนอยู่ตรงหน้าต่าง
เขาเอามือสองข้าไพล่หลัง แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องมายังวิญญาณโปร่งใส เป็นภาพที่ราวกับความฝัน
มองอยู่ไม่กี่วินาที ฉู่ลั่วก็พลิกตัว แล้วนอนต่อ
บอกไปแล้วว่าทำให้เขากลับเข้าร่างเดิมได้ ไม่รู้ว่ายังจมปลักกับความทุกข์อยู่หรือเปล่า!
การเคลื่อนไหวของฉู่ลั่วไม่รอดพ้นสายตาของฮั่วเซียวหมิง แต่เขาไม่ได้หันมามอง
สายตาของวิญญาณชายหนุ่มจับจ้องไปยังห้องที่เปิดไฟตลอดเวลาของบ้านหลังข้าง ๆ
ในนั้น กายเนื้อของเขากำลังนอนอยู่
ครึ่งปีก่อนเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ แพทย์วินิจฉัยว่าสมองของเขาตายแล้ว และจะมีสภาพเป็นผักไปตลอดชีวิต
ในตอนนั้น วิญญาณชายหนุ่มก็ยืนอยู่ข้าง ๆ หมอ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็อยู่ข้างร่างกายของตนเองมาตลอด มองดูหมอคนแล้วคนเล่าหาวิธีรักษา และนำผลลัพธ์ที่น่าผิดหวังมาให้เสมอ
ต่อมา คนในตระกูลฮั่วก็หาปรมาจารย์ หรือนักพรตมาหลายท่าน
บางคนมาสวดมนต์ให้เขา บางคนทำพิธีให้เขา… และมีบางคนที่มองเห็นเขา คนพวกนั้นร้องตะโกนว่าเขาเป็นวิญญาณเร่ร่อนจะทำร้ายผู้คน และคิดจะกำจัดเขา
ท้ายที่สุดเจ้านิกายของนิยายเฉวียนชิงมาทำนายดวงชะตาให้เขา บอกว่าเขาจะมีโอกาสรอดหากมาอยู่ในเมืองเจียง
ครอบครัวถึงได้ส่งเขามาที่เมืองเจียง
ตัวเขาเองไม่มีความหวังมานานแล้ว
คิดไม่ถึงว่า วันแรกที่มาก็ได้พบกับฉู่ลั่วเลย
เธอมองเห็นเขา และกำจัดกลิ่นอายผีบนตัวเขาออกไปได้
ฮั่วเซียวหมิงหันไปมองฉู่ลั่วที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง สีหน้าตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง
โลกเดิมที่ไร้ซึ่งความหวัง เพราะได้เจอเธอถึงกลับมามีชีวิตชีวามากขึ้น
…
วันต่อมาหลังทานอาหารเช้าเสร็จ ฉู่ลั่วก็เตรียมออกจากบ้าน
ซ่งเชียนหย่าเห็นฉู่ลั่วสะพายกระเป๋า จึงถามเธอว่า “จะไปไหนเหรอ?”
“ชานเมืองทางเหนือค่ะ”
“ไปทำอะไรไกลขนาดนั้น? แม่ให้คนขับรถของที่บ้านไปส่งลูกแล้วกัน”
ฉู่ลั่วกระชับสายกระเป๋าของตนเองให้แน่น “ไปดูหลุมศพ”
ซ่งเชียนหย่าเงียบงัน “…”
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามสงบสติอารมณ์ของตนเอง “ลั่วลั่วจ๊ะ ลูกหยุดทำเรื่องวุ่นวายพวกนั้นได้แล้ว อยู่บ้านดูทีวีเป็นเพื่อนแม่ดีไหม หรือว่าจะไปช็อปปิงกับแม่ดี?”
ฉู่ลั่วเอ่ยเสียงเรียบ “นั่นไม่ใช่เรื่องวุ่นวายนะคะ แต่เป็นฮวงจุ้ยต่างหาก”
“แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผู้หญิงอย่างลูกต้องไปทำนะ! อีกอย่างลูกอายุแค่นี้จะเข้าใจฮวงจุ้ยได้ยังไง!” ซ่งเชียนหย่าเริ่มโกรธแล้ว เพราะลูกสาวไม่เชื่อฟังที่เธอพูด “ลูกบ้านไหนเขาออกไปทำอะไรแบบนี้ทั้งวันเหมือนลูกบ้าง”
ขณะที่กำลังพูด ซ่งจือหนานก็กระโดดเข้ามาทางประตู
“สวัสดีครับป้าซ่ง” เขาทักทายด้วยรอยยิ้ม เมื่อเผชิญหน้ากับฉู่ลั่ว ก็แสดงท่าทางเคารพมาก “ปรมาจารย์ฉู่ ผมไปส่งคุณที่ชานเมืองทางเหนือนะ!”
ซ่งเชียนหย่าหมดคำพูด “…”
ปรมาจารย์ฉู่?
เรียกใคร?
เธอแก่แล้วงั้นเหรอ?
วัยรุ่นสมัยนี้กำลังนิยมเรื่องโหราศาสตร์กันอย่างนั้นเหรอ?