เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 1 บทที่ 10.2
ในตอนนั้นเองคิลลีวูก็เคาะขอบหน้าต่างเสียงดังก๊อก ก๊อก พลางเอ่ยพูดกับเธอ
“มานั่งตรงนี้”
“ว่าไงนะ”
“บอกให้มานั่งกับพวกเราไง”
เมโลนเป็นฝ่ายพูดเสริมต่อ
ผมสีบลอนด์ของทั้งสองคนส่องสว่างเป็นประกายเงางามยิ่งขึ้นยามต้องแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาจากด้านนอก
เธอหันกลับไปมองพวกเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดตอบ
“ถ้าอยากนั่งกับข้า พวกเจ้าสองคนก็มาทางนี้สิ”
นัยน์ตาสีทองของทั้งสองคนเบิกกว้างขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“อย่ามาสั่งให้ข้ามาหรือไปไหน”
เธอพูดแบบนั้น แล้วจึงหันหน้ากลับมา
ถึงแม้จะไม่มีความทรงจำว่าพวกเขาเคยทำอะไรไม่ดีกับเธอ แต่จู่ๆ มาพูดสั่งคนอื่นแบบนี้ มันทำให้เธอรู้สึกอารมณ์เสีย
เด็กตระกูลลอมบาร์เดียล้วนหยิ่งในศักดิ์ศรีเพราะฉะนั้นคิลลีวูกับเมโลนเอง เดี๋ยวก็คงจะโมโหเหมือนอย่างเบเล…
ตุบ
โซฟาที่เธอนั่งอยู่สั่นเล็กน้อย
“อะ…อะไร?”
จู่ๆ ทั้งสองคนก็ลุกมานั่งทางฝั่งนี้ตามที่เธอพูด
แถมยังนั่งขนาบสองข้างของเธอเสียด้วย
“ไหนบอกว่าถ้าอยากนั่งกับฟีเรนเทีย ให้มานี่ไง”
“เพราะงั้นถึงได้มาไงล่ะ เทีย”
“อือ ใช่ เรียกว่าเทียก็แล้วกันเนอะ”
“ใช่ เอาแบบนั้นแหละ”
สองคนนั่นพูดเองเออเองกันอยู่สองคนพลางยิ้มแย้มด้วยความชอบอกชอบใจ
ไม่รู้ด้วยแล้ว ไอ้โลกความคิดของพวกเขาเนี่ย
ฟีเรนเทียยักไหล่ไม่สนใจ
ในเมื่อบอกว่าอยากจะนั่งด้วยกัน เธอก็ไม่สามารถสั่งให้พวกเขาไปนั่งที่อื่นได้ด้วย แต่แล้วในตอนที่เธอรู้สึกยอมแพ้ไปครึ่งทาง ประตูก็ถูกเปิดออก ตามด้วยที่เครย์ลีบันจะเดินเข้ามาในห้อง
“ทุกคนมากันพร้อมแล้วสินะ ถ้างั้นเริ่มคลาสกันเลยนะครับ”
หืม? เอาแบบนี้เลยเหรอ
เธอมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนก นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครมีสีหน้าตกใจเลยสักคน
แต่ไม่มีทั้งหนังสือ ไม่มีทั้งอุปกรณ์การเรียนการสอนสักชิ้นเนี่ยนะ?
ในตอนนั้นเองก็พลันเห็นกระดาษกับเครื่องเขียนที่วางอยู่มุมห้อง
หมายความว่าถ้าจำเป็นก็หยิบเอาไปเขียนได้หรือเปล่า
แต่ลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ก็เอาแต่มองเครย์ลีบันด้วยมือเปล่ากันทั้งนั้น
งั้นก็ลองสังเกตการณ์ดูไปก่อนก็แล้วกัน
เธอคว้าหมอนเข้ามากอด มองเครย์ลีบันที่ยืนอยู่หน้ากระดาน
“ตั้งแต่วันนี้เราจะมาเรียนเกี่ยวกับธุรกิจหนึ่งในบรรดากิจการที่สำคัญของตระกูลลอมบาร์เดียครับ”
โอ้ว ธุรกิจเหรอ น่าสนใจ
และคลาสเรียนก็เริ่มต้นอย่างเต็มรูปแบบเช่นนั้น
แต่แล้วเธอก็ต้องตื่นตกใจ
“…สิ่งที่เรียกว่าธุรกิจ…”
มีเสียงดังกลบเสียงแผ่วเบาของเครย์ลีบันจนกลายเป็นเหมือนเสียงดนตรีประกอบฉาก
“ครอก…ฟี้ครอก…”
มันคือเสียงกรนของเบเลซักที่นอนแผ่อยู่บนโซฟา
มันไม่ได้ดังอะไรขนาดนั้นก็จริง แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่เครย์ลีบันจะไม่ได้ยิน
เขาเหลือบมองฝั่งนั้นเหมือนกับคิดว่าควรจะปลุกดีหรือเปล่า แต่แล้วก็กลับไปสอนต่อราวกับมองไม่เห็นภาพนั่น
วินาทีนั้นเธอรู้สึกได้ว่าขนพลันลุกชันขึ้นมา
อาจารย์ที่สอนหนังสือโดยการบังคับให้เรียนและดุด่าคืออาจารย์ที่ถือว่าใจดี
เครย์ลีบันไม่คิดที่จะบังคับชักนำเด็กที่ไม่ตั้งใจกับการเรียนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ไม่ปลุก ปล่อยทิ้งไว้ให้นอนอยู่แบบนั้น และในรายงานหลังคลาสเรียนก็คงจะรายงานไปตามจริงเช่นกัน
ฟีเรนเทียรู้สึกได้ว่าเมโลนที่นั่งอยู่ข้างเธอเองก็หมดความสนใจในคลาสเรียน และกำลังเปิดหนังสือที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาอ่านเล่นแทน
ในตอนนั้นเธอเห็นเครย์ลีบันเหลือบสายตามองมาทางนี้ชั่วครู่
ว่าแล้วเชียว กำลังมองดูทุกอย่าง
เธอรีบปรับท่าทางอย่างรวดเร็วและเริ่มแสดงให้เห็นผ่านร่างกายว่า ‘กำลังตั้งใจฟังอยู่ค่ะ!’
เธอเบิกตากลมโต พยักหน้าตอบรับเป็นครั้งคราว
ตอนแรกก็แค่เสแสร้งแสดงออกไปเฉยๆ แต่ตอนหลังเธอก็เผลอตั้งใจอยู่กับการเรียนไปโดยไม่รู้ตัว
สำหรับเด็กๆ แล้วมันอาจจะเป็นเลกเชอร์อันแสนน่าเบื่อก็ได้ แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าเครย์ลีบันมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจเป็นอย่างดี มันจึงกลายเป็นคลาสเรียนที่น่าสนใจพอตัว
“เอาละ ถ้างั้นคลาสวันนี้พอแค่นี้นะครับ”
พอตั้งใจเรียนจนลืมเวลา คลาสเรียนก็จบลงเสียแล้ว
ทั้งๆ ที่เธอรู้สึกเสียดายนิดหน่อย แต่เบเลซักที่นอนหลับสนิทมาโดยตลอดกลับเบิกตาโพลง เช็ดน้ำลาย ลุกขึ้นนั่ง
ทีเสียงบอกว่าเลิกคลาสละ ได้ยินชัดเจนอย่างกับผี
“วันนี้มีการบ้านพิเศษด้วยครับ”
“การบ้านเหรอคะ”
ลาลาเน่ที่กำลังหยิบตุ๊กตาลุกขึ้นถามกลับด้วยความตกใจ
ดูเหมือนเรื่องสั่งการบ้านจะไม่ใช่เรื่องปกติ ทั้งเบเลซัก รวมถึงสองแฝดเองก็ดูจะตกใจเหมือนกัน
“ให้เวลาถึงคลาสเรียนครั้งหน้า การบ้านคือ…”
เครย์ลีบันยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากหลังกระดาน
ตึง
ทันทีที่วางมันลงบนพื้น ก็ก่อให้เกิดเสียงค่อนข้างหนักดังสะเทือนไปทั่วพื้นห้อง
“ท่อนซุง?”
สิ่งที่เครย์ลีบันหยิบออกมาคือท่อนซุงหนาที่ถูกตัดทั้งส่วนบนส่วนล่างออกเรียบร้อยแล้ว ท่าทางเดิมทีจะเป็นต้นไม้ใหญ่พอควร ขนาดเส้นรอบวงประมาณผู้ใหญ่คนหนึ่งโอบได้ ตอนที่วางนอนอยู่ก็ยังมีความสูงถึงหัวเข่าของเครย์ลีบัน มันเป็นท่อนไม้ซุงอย่างที่บอกจริงๆ
“สิ่งนี้ทั้งทนทานมั่นคง ทั้งต้นไม้ตัวรากฐานของมันก็ยังเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แถมยังมีน้ำหนักค่อนข้างเบาเมื่อเทียบกับขนาด มันคือต้นบีโบ้ที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในหลายๆ ด้านทั่วทวีปครับ”
“จะให้ทำอะไรกับมันเหรอครับ”
เบเลซักเอ่ยถามในทันที
แต่คนที่ตกใจในการกระทำอย่างกะทันหันของเครย์ลีบันไม่ได้มีเพียงแค่เบเลซักเท่านั้น ทั้งลาลาเน่ ทั้งสองแฝด ต่างก็เหม่อมองท่อนซุงที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยความงุนงง
บางทีสีหน้าของเธอเองก็คงไม่ต่างจากพวกเขานัก
เครย์ลีบันกวาดสายตามองมาทางพวกเรา เขายิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงสดใสเป็นอย่างมาก
“ทุกคนจะต้องขายเจ้านี่จนกว่าจะถึงคลาสเรียนครั้งถัดไปครับ”