เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 1 บทที่ 12.1
บทที่ 12
อัลเพโอ้เริ่มมีชื่อเสียงตั้งแต่ประมาณช่วงที่เธอเริ่มทำงานข้างกายท่านปู่
นักศิลปะที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลลอมบาร์เดียมีจำนวนมากมายมหาศาล แต่อัลเพโอ้นั้นพิเศษยิ่งกว่าใคร
เขาเริ่มทำงานศิลปะอย่างจริงจังก็เมื่ออายุมากเข้าช่วงวัยสามสิบไปแล้ว
โดยทั่วไปส่วนใหญ่แล้วจะค้นพบความสามารถกันตั้งแต่อายุยังน้อย แต่คนคนนี้แตกต่างจากนักศิลปะหลายคนของลอมบาร์เดียที่ถูกเพาะพันธุ์มาอย่างดีเหมือนกับดอกไม้ที่เติบโตในเรือนกระจกอัลเพโอ้นั้นเดิมทีเป็นช่างไม้มาก่อน
แถมยังเป็นช่างไม้รุ่นที่สามในลอมบาร์เดียแห่งนี้ สืบทอดต่อจากบิดาและปู่เสียด้วยเพราะฉะนั้นตอนที่ท่านปู่ทราบข่าวของอัลเพโอ้ ท่านถึงได้รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
ถ้าหากช่วยให้การสนับสนุนแก่คนมีความสามารถเช่นนั้นได้เร็วกว่านี้ ท่านก็คงจะสามารถช่วยสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีให้เขาแล้วแท้ๆ
แต่อัลเพโอ้กลับไม่คิดใส่ใจเรื่องพวกนั้น
เขากลับรู้สึกขอบคุณลอมบาร์เดียที่ช่วยสนับสนุนตน ถึงแม้จะช้าไปเสียหน่อยก็ตาม ทั้งยังได้มอบผลงานชิ้นแรกให้แก่ตระกูลอีกด้วย
ผลงานดังกล่าวมีชื่อว่า ‘ต้นไม้แห่งโลก’
มันเป็นผลงานชิ้นใหญ่ เขาลงมือสร้างต้นไม้แห่งโลกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลลอมบาร์เดียออกมาให้เป็นรูปแกะสลักต้นไม้ของจริงมันเป็นผลงานชิ้นยอดที่เชื่อมต่อไม้หลากหลายท่อนเข้าด้วยกันจนกลายเป็นงานชิ้นเดียว และอัลเพโอ้ก็กลายเป็นนักศิลปะชื่อดังที่มีชื่อเสียงไปทั่วอาณาจักรด้วยผลงานชิ้นนั้นในชั่วพริบตา
“ว่าแต่จะหายังไงล่ะเนี่ย”
มันเป็นเขตที่อยู่อาศัยของลูกจ้าง แต่เพราะเป็นช่วงกลางวันที่คนส่วนใหญ่กำลังทำงานอยู่ข้างในคฤหาสน์ จึงค่อนข้างเงียบกว่าปกติ
แต่ถึงยังไงมันก็ยังกว้างเกินไปอยู่ดี
ต้องแวะไปทุกบ้าน ถามหาอัลเพโอ้มั้ยล่ะเนี่ย
“นั่นอะไรน่ะ”
“สุดยอดไปเลย! ”
อา จะว่าไปเธอก็ลืมพวกเด็กๆ ไปเสียสนิทเลย
สองแฝดวิ่งไปทั่วอย่างไร้สติราวกับเด็กที่ได้มาเที่ยวมุมของเล่น พวกเขาเอาแต่พูดชมของที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกไม่หยุด
“คิลลีวู! เมโลน! อย่าวิ่งวุ่นไปทั่วสิ!”
เธอส่งเสียงตะโกน แต่สองคนนั้นก็ยังแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“ว้าว! ตรงนี้มีบ่อน้ำด้วย! ”
“คงจะใช้กระบวยนี่ตักแน่เลย! ”
“พวกเราก็ลองตักน้ำกันดูบ้างเถอะ! ”
เห นั่นมันอันตรายไปหน่อยนะ
คงจะเพิ่งเคยเห็นบ่อน้ำเป็นครั้งแรกละมั้ง คิลลีวูกับเมโลนที่รู้สึกทึ่งใจ ถึงได้ถือกระบวยวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ตะโกนว่าจะไปตักน้ำเสียงดังปาวๆ
พวกเขาตัวสูงกว่าเธอเพราะอายุสิบเอ็ดขวบ แต่นั่นเป็นบ่อน้ำที่สร้างขึ้นมาให้เข้ากับความสูงของผู้ใหญ่
ภาพตอนเขย่งปลายเท้าจนตัวเอียงถึงได้ดูหมิ่นเหม่อันตรายมาก
“เฮ้! พวกเจ้าลงมานะ!”
สุดท้ายเธอก็ต้องรั้งชายกระโปรงชุดเดรสขึ้น วิ่งเข้าไปหาทั้งคู่ แต่ขาเธอมันก็สั้นแสนสั้น และการกระทำของคู่แฝดก็ดันเร็วเกินไป
“ว้าก!”
ร่างของเมโลนที่โน้มกายลงไปบอกจะหยิบกระบวยที่อยู่ในบ่อน้ำโงนเงนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถลาโน้มลงไปข้างล่าง
ถ้าปล่อยไว้แบบนี้เมโลนได้ตกลงไปในบ่อน้ำแน่
“ไม่นะ!”
เธอตะโกนเสียงดัง ยื่นมือออกไป แต่มันก็ไร้ประโยชน์
ทว่าในตอนนั้นเอง
“อะไรเนี่ย พวกเจ้า!”
มือใหญ่ยื่นเข้ามาคว้าหลังคอของเมโลนเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะดึงพรวดยกขึ้นสูง ส่วนมืออีกข้างก็คว้าลำตัวของคิลลีวูเอาไว้
“เล่นแถวบ่อน้ำมันอันตรายไม่ใช่หรือไง!”
เสียงทุ้มต่ำพ้นช่วงวัยแตกหนุ่มตะโกนด้วยความโมโห
สองแฝดที่จู่ๆ ก็ถูกคนแปลกหน้าหนีบไว้ที่สีข้างอยู่คนละข้างต่างก็ดีดดิ้น พยายามสะบัดตัวเองให้หลุด แต่มันไม่ง่ายเลยสักนิด
“แฮก! แฮก! เฮ้! ทำไมถึงได้คิดจะปีนลงไปในบ่อน้ำกันหา!”
เธอกรีดเสียงร้องตะโกนใส่ทั้งสองคน ในขณะเดียวกันก็หอบหายใจแฮกด้วยความเหนื่อยอ่อนที่ต้องวิ่งมาด้วยความตกใจ ก่อนจะเบี่ยงสายตาไปยังคนที่เข้ามาช่วยคู่แฝดเอาไว้ เพราะต้องพูดขอบคุณเขาเสียก่อน
แต่แล้วในวินาทีนั้นเอง ก็พลันสังเกตเห็นหน้าของเด็กหนุ่มวัยสิบกว่าที่ขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกใจพอๆ กันกับเธอ เมื่อเพิ่งพบกับสถานการณ์อันตราย
“อ๊ะ? โอ๊ะ!”
ใบหน้านั้นคุ้นตาเป็นอย่างดี
รอยกระกระจายเต็มทั่วช่วงจมูก เส้นผมสีแดงเพลิง ส่วนสูงที่ค่อนข้างสูงใหญ่กว่าคนอื่น อัลเพโอ้ จอห์น ในวัยสิบห้าปีกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
“อะแฮ่ม!”
สงบจิตสงบใจก่อน สงบก่อน
ฟีเรนเทียกระแอมไอ พยายามทำให้ใจที่กำลังตื่นเต้นสุดขีดสงบลง ก่อนจะเอ่ยพูดกับเด็กหนุ่มอัลเพโอ้
“คือว่า จะไม่ปล่อยสองคนนั้นลงเหรอ”
อัลเพโอ้ที่เอาแต่มองเธออยู่นิ่งๆ จึงปล่อยตัวสองแฝดลง
“พวกเจ้าเป็นใคร เพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก”
อืมๆ ใช่แล้ว เพิ่งเคยพบกันครั้งแรกสินะ
เธอตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มกว้าง
“ข้าชื่อฟีเรนเทีย เด็กนี่คิลลีวู ส่วนหมอนี่เมโลน”
ชี้ไปทีละคนอย่างเป็นมิตร ช่วยแนะนำตัวให้ แต่อัลเพโอ้กลับขมวดคิ้ว กวาดสายตามองเธอกับคู่แฝดแทนการบอกชื่อของเขา
ท่าทางชื่อของพวกเธอจะคุ้นหูเขาอยู่บ้าง
หลังจากนั้นเมื่อสังเกตเห็นเสื้อผ้าเนื้อดีหรูหราของพวกเรา นัยน์ตาคู่นั้นก็สั่นระริก
“ระ…หรือว่า…”
ดูเหมือนจะตระหนักได้แล้วว่า พวกเราสามคนคือทายาทสายตรงผู้สืบทอดตระกูลลอมบาร์เดีย แต่เธอจะปล่อยให้เขาเว้นระยะห่างตั้งแต่แรกไม่ได้
เธอตั้งใจยิ้มให้สดใสมากยิ่งขึ้นพลางเอ่ยพูด
“ขอโทษที่ก่อเรื่องวุ่นวาย…”
“ขะ…ขออภัยครับ คุณหนู! ขออภัยครับ คุณชายน้อย! ข้ามันมีตาหามีแววไม่!”
“ไม่ ไม่ได้จะให้เจ้าขอโทษสักหน่อย”
เธอพยายามแก้ไขเรื่องราว แต่อัลเพโอ้กลับถอดหมวกที่สวมอยู่ออก พูดขอโทษซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
คนในครอบครัวของพวกเราเองก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติต่อพวกคนงานด้วยความใจแคบเสียหน่อย ดูจากใบหน้าแดงก่ำลามลงไปจนถึงลำคอแล้ว คงจะเป็นนิสัยส่วนตัวของอัลเพโอ้มากกว่า
แต่ก็นะ อัลเพโอ้ จอห์น ที่อายุเกินสามสิบปียังเป็นคนที่เขินอาย ทั้งยังใสซื่อไม่สมอายุเหมือนกัน
“ไม่หรอก สองคนนี้เป็นคนทำผิดเองนะ?”
“แต่ว่า…”
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร”
“ข้าชื่ออัลเพโอ้ครับ”
ว่าแล้ว เป็นเขาจริงๆ ด้วย
“นี่ อัลเพโอ้ ขอโทษนะ แต่ช่วยตักน้ำในบ่อให้สักกระบวยได้มั้ย”
อัลเพโอ้ตกใจกับคำไหว้วานของเธอเล็กน้อย แต่ก็ยังช่วยตักน้ำให้เงียบๆ
“ทั้งสองคนน่ะ เอาน้ำนี่ไปเล่น อย่าทำเรื่องอันตรายอีก”
สั่งให้เอากระบวยตักน้ำไปเล่นเนี่ยนะ
อาจจะฟังดูแปลกไปหน่อยแต่คู่แฝดอายุสิบเอ็ดขวบดันเชื่อฟังคำสั่งของเธอ พากันไปนั่งยองๆ เล่นสาดน้ำกันอยู่หน้าต้นไม้อย่างว่าง่าย
เอาละ พวกตัวขัดขวางหายไปหมดแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาพูดเรื่องสำคัญได้แล้วละมั้ง
“พ่อของข้าชื่อแคลอฮัน รู้ใช่มั้ย”
“อา ครับ”
“เพราะฉะนั้นก็เลยมีเรื่องอยากไหว้วานหน่อย”
เป็นการเชื่อมโยงเหตุและผลที่ประหลาดเกินไปหน่อย แต่โล่งอกที่อัลเพโอ้ไม่ทันได้สังเกต
“ข้าไปได้ยินมาจากใครสักคนเนี่ยแหละ ว่าอัลเพโอ้ทำงานแกะสลักได้ดีทีเดียว”
“ระ…เรื่องนั้นก็แค่แกะสลักไม้ทำของเล่นเด็กขายเท่านั้นเองครับ ไม่ได้เก่งอะไร…”
“ว้าว แกะสลักขายหาเงินแล้วด้วย! นี่เป็นมืออาชีพเลยไม่ใช่เหรอ!”
คำชมน่ะ ทำให้แม้แต่ปลาวาฬยังลุกมาเต้นระบำได้เลยนะ
พอเธอสรรเสริญเยินยอทำเป็นเรื่องใหญ่โต ใบหน้าของอัลเพโอ้ที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลงไปมาก
“ถ้ามีรูปจะสามารถแกะสลักใบหน้าคนได้มั้ย ส่วนไม้ที่จะใช้ข้ามีอยู่แล้ว”
พอเธอโชว์ให้ดูด้วยมือว่าความสูงประมาณไหน อัลเพโอ้ก็ลังเลไปเล็กน้อย
“ใบหน้าของคนมันค่อนข้างยากเล็กน้อย”
หรือว่าแกะสลักระดับนั้นจะยังยากเกินไปสำหรับเขา
ฟีเรนเทียรู้สึกกังวลใจนิดหน่อย
“ก่อนหน้านั้นเคยแกะสลักใบหน้าของคนในครอบครัวอยู่เหมือนกันครับ”
อา ค่อยโล่งอกหน่อย
“แต่ว่า…”
ทำไมอีกล่ะ!
เธอถามออกไปเพราะอดใจรอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“ถ้างั้นใช้เวลานานเหรอ”
เรื่องใหญ่เลย ถ้าอย่างนั้นไม่ได้นะ
ก็ระยะเวลาที่เครย์ลีบันให้มันเหลือแค่อาทิตย์เดียวเอง
“แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพอดี ถ้าสักประมาณสี่วัน…”
ไม่สิ หมอนี่ทำไมชอบทำให้คนอื่นเขาหัวหมุนคิดไปเองอยู่ได้?
เธอจับมือของอัลเพโอ้ทั้งสองข้างแน่นด้วยความดีใจ ก่อนจะยัดภาพเหมือนของท่านย่าที่ท่านพ่อช่วยวาดให้ใส่มือเขา
“ค่าจ้างข้าจะจัดให้เยอะๆ เลย!”
ผลงานในวัยเด็กของอัลเพโอ้ จอห์นอย่างนั้นเหรอ คงจะคำนวณแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ยาก แต่เธอคิดว่าจะแบ่งเอาจากยอดเงินที่ขายได้มาให้เขาส่วนหนึ่ง
“คะ…ค่าจ้างอะไรกันครับ! ไม่เป็นไรครับ!”
“ไม่ได้หรอก! นี่เป็นงานฝีมือที่อัลเพโอ้พยายามสร้างสรรค์ขึ้นมานะ ต้องรับเงินสิถึงจะถูก!”
พอเธอยืนยันหนักแน่น อัลเพโอ้ก็หยุดคิดไปชั่วครู่ เพียงไม่นานจึงพยักหน้าตกลง
“รบกวนด้วยนะ อันนี้จะเอาไปเป็นของขวัญน่ะ!”
“…ข้าจะทำสุดความสามารถครับ”
อัลเพโอ้ตอบด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ท่าทางน่าเชื่อถือของเขาค่อยทำให้เธอรู้สึกวางใจได้เปลาะหนึ่ง
คราวนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการบ้านแล้วในเมื่อฝากมันไว้ในมือของอัลเพโอ้ จอห์นเรียบร้อยแล้วนี่นา
“อา ว่าแต่ลืมไปเรื่องหนึ่ง”
“อะไรหรือครับ”
“ท่อนซุงที่จะใช้น่ะสิ อัลเพโอ้ต้องมาเอาไปเองนะ พอดีมันหนักเกินไปสำหรับข้าน่ะ”
“อ่า”
ขอโทษทีนะ แต่เรื่องขนส่งคงต้องบริการตัวเองแล้วละ