เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 1 บทที่ 13.2
ฟีเรนเทียดูผู้คนที่ตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเธอขณะเดียวก็ตั้งใจฉีกยิ้มกว้างสมกับเป็นเด็กให้พวกเขา
“จู่ๆ เจ้ามาที่นี่ทำไม”
ท่านปู่ย่อกายลงมาหาเธอเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม
“ออกมาเดินเล่นกับท่านพ่อน่ะค่ะ! พอเห็นท่านปู่ก็เลยรีบวิ่งมาหาค่ะ!”
ตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่มีปู่คนไหนหรอกที่ไม่ชอบใจเวลาหลานบอกว่าวิ่งมาหาตัวเองแถมยังเป็นหลานสาวตัวน้อยที่เป็นคนวิ่งมาหาอีกด้วย
นั่นไง มุมปากของท่านปู่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ขอบใจนะ ฟีเรนเทีย แต่วิ่งแบบนี้มันอันตราย ต่อไปก็ระมัดระวังหน่อยล่ะ”
“ค่ะ ท่านปู่”
ท่านปู่ลูบหัวเธอ แต่เบเจอร์ที่กำลังไม่พอใจเพราะถูกรบกวนกลับโบกมือไล่ราวกับปัดแมลงวัน และพูดกับเธอ
“ผู้ใหญ่เขากำลังทำงานกันอยู่ ไปเล่นไกลๆ โน่น เร็ว!”
แต่เธอเมินเบเจอร์ที่ทำท่าแบบนั้น แล้วเอ่ยถามท่านปู่
“ว่าแต่ทั้งหมดนี่คืออะไรเหรอคะ ผ้าเหมือนกันหมดเยอะแยะเลยค่ะ!”
“นี่เป็นผ้าที่ทำจากพืชที่เรียกว่าโคโรอีน่ะ พวกผู้ใหญ่ที่อยู่ตรงนี้เขาจะขายของพวกนี้ให้คนอื่นๆ ก็เลยกำลังคุยกันว่ามันจะทำเงินได้หรือเปล่า”
“อา อย่างนั้นนี่เอง”
ทำเงินอะไรกันล่ะ ธุรกิจนี่มันพังไม่เป็นท่าเลยต่างหากถ้าให้พูดถึงประเด็นที่เป็นปัญหา มันมีเยอะมาก
ท่ามกลางปัญหาทางด้านอุตสาหกรรมโรงงานหลายเรื่อง สุดท้ายกิจการผ้าโคโรอีขนาดใหญ่ก็พังไม่เป็นท่า ส่วนลอมบาร์เดียก็ต้องรับมือกับความสูญเสียจำนวนมหาศาล
เธอสามารถเสนอหน้าออกไปพูดมันตอนนี้เลยว่า ‘มันเป็นเพราะโน่นนี่นั่น อย่าเริ่มธุรกิจเลย พับมันเก็บไปตั้งแต่ตอนนี้เถอะค่ะ’ ก็ได้ แต่เรื่องนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่ยังเป็นแค่เด็ก
“แฮก แฮก! เทีย! วิ่งมาคนเดียวแบบนี้ได้ยังไง!”
มันเป็นหน้าที่ของท่านพ่อของเธอต่างหากล่ะ
เธอหันหน้าใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ไปหาท่านพ่อพลางเอ่ยพูด
“พ่อ! ท่านปู่บอกว่าจะขายผ้าพวกนี้ละ!”
“แฮก ฮู่ว! ขออภัยครับท่านพ่อ เทีย พวกผู้ใหญ่เขาคุยกันอยู่ มารบกวนไม่ได้นะ พวกเราไปเดินเล่นทางด้านโน้นกันเถอะ”
ท่านพ่อที่ไม่ได้รู้ใจเธอเลยพยายามพาเธอไปอีกด้าน
“ดูนี่สิ พ่อ! นี่ทำจากพืชที่เรียกว่าโคโรอีแหละ น่าทึ่งมากเลยค่ะ!”
“หืม? โคโรอี?”
ดูเหมือนจะสนใจขึ้นมาแล้ว
ท่านพ่อหันไปมองรถม้าขนสัมภาระ เริ่มรู้สึกสนใจในผ้าทอที่บอกว่าผลิตจากพืชประเภทวัชพืชอย่างโคโรอี
“โฮ่ว นี่คือผ้าที่ทอจากโคโรอีนี่เองสินะครับ เพิ่งเคยเห็นของจริงเป็นครั้งแรก สัมผัสผ้าเนื้อหยาบแบบนี้…”
ท่านพ่อที่เผลอคุยฟุ้งด้วยความตื่นเต้น จู่ๆ ก็หน้าแดงก่ำเมื่อตระหนักได้ถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
“ไปกันเถอะ เทีย”
จะไปเฉยๆ ไม่ได้นะ!
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งที่ช่วยปลดปล่อยความอึดอัดในใจของเธอให้เบาสบายขึ้นในคราวเดียว
“เจ้าลองดูสักหน่อยสิ แคลอฮัน”
เป็นท่านปู่นั่นเอง
เบเจอร์กระสับกระส่ายที่จู่ๆ น้องชายก็ปรากฏตัวขึ้นทำตัวราวกับรู้เรื่องเป็นอย่างดี เธอมองใบหน้าที่ไม่อาจพูดอะไรแทรกได้ ช่างคุ้มค่าที่ได้เห็นดีเหลือเกิน
“ข้าเองก็ไม่ได้ทราบอะไรมากมายขนาดนั้นหรอกครับ ก็แค่ทราบว่าทางตะวันออกได้นำพืชโคโรอีมาผลิตเป็นผ้าตั้งแต่ประมาณเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน วิธีการผลิตเรียบง่าย วัตถุดิบก็หาได้จากภูเขา มันเป็นผ้าทอที่สามัญชนใช้กันน่ะครับ”
“สามัญชน?”
แต่ปฏิกิริยาของหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักกลับแปลกไปเล็กน้อย
พอท่านพ่อเอ่ยว่าผ้าโคโรอีเป็นผ้าที่สามัญชนใช้กันเป็นหลักใบหน้าของเขาก็กระตุก
“นี่เป็นผ้าที่พวกสามัญชนใช้อย่างนั้นหรือ”
“ครับ เป็นเช่นนั้น…ก็อย่างที่เห็น เนื้อผ้ามันหยาบจึงไม่เหมาะที่จะนำมาตัดเย็บเสื้อผ้าของชนชั้นสูงน่ะครับ”
“เหอะ จริงๆ เลย”
พอเห็นหัวหน้ากลุ่มการค้าพูดอะไรไม่ออก ท่านปู่ก็เอ่ยถาม
“ทำไมหรือ หัวหน้ากลุ่มการค้า”
“คนที่แนะนำผ้าทอนี่ให้ข้ารู้จัก มันบอกว่าเป็นผ้าที่สามารถใช้ได้ทั้งสามัญชนทั้งชนชั้นสูงเพราะฉะนั้นถึงได้ตั้งใจว่าจะทำการค้าโดยเน้นเป้าหมายไปที่ชนชั้นสูงน่ะครับ”
“เมื่อครู่นี้บอกว่าไปซื้อมาเองไม่ใช่หรือ”
“ปะ…เป็นคนที่สนิทกันดีจนไม่ต่างอันใดกับไปซื้อเอง”
“ดูเหมือนจะโดนคนที่รู้จักดีที่ว่านั่นหลอกเข้าให้แล้วกระมัง เจ้าน่ะ”
ใบหน้าของหัวหน้ากลุ่มการค้าที่ถูกทำให้อับอายขึ้นสีแดงก่ำ
“แต่ผ้าทอโคโรอีนี่ก็มีข้อด้อยอยู่อย่างนะครับ หลังจากที่เก็บเกี่ยวพืชแล้ว มันจะมีอายุการใช้งานอยู่…อา ว่าแล้วเชียว”
ท่านพ่อลองค้นดูด้านล่างของผ้าที่วางซ้อนกันเป็นชั้น ก่อนจะเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะ
ผ้าทอที่พับติดกันอยู่ตรงกลางมีเชื้อราสีดำกระจายอยู่ทั่ว
“ผ้าโคโรอีที่ทอเสร็จแล้วมันจะชื้นง่ายมากครับ ยิ่งเมื่อไม่นานมานี้เป็นฤดูฝนด้วยแล้ว ก็เลยกลายเป็นเช่นนี้น่ะครับ”
“เฮ้อ นี่มันช่าง”
หัวหน้ากลุ่มการค้าไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้าอับอายไว้ได้
ต้องพูดอะไรไม่ออกแน่อยู่แล้วละ
ในเมื่อได้รู้แล้วว่า กิจการที่เตรียมตัวอย่างทะเยอทะยานกลับกลายเป็นของเปล่าประโยชน์ไปเสียแล้วนี่นะ
ตอนนั้นเอง ท่านพ่อที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ก็เอ่ยพูดกับหัวหน้ากลุ่มการค้า
“แต่ว่าพื้นที่แถวเมืองหลวงเองก็มีโคโรอีเติบโตอยู่มากทีเดียว หากไม่เดินทางไปซื้อเสียไกล แต่เก็บเกี่ยววัตถุดิบจากพื้นที่ใกล้เคียง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไรนะครับ”
“โอ้ๆ อย่างนั้นหรือ! ”
“และถ้าหากคิดที่จะตั้งเป้าหมายกลุ่มธุรกิจเป็นชนชั้นสูงจริงๆ ตอนทอก็ลองผสมต้นฝ้ายลงไปด้วยสิครับ”
“ฝ้ายหรือ”
“ครับ ที่จริงแล้วโคโรอีไม่ใช่วัตถุดิบที่แย่อะไรขนาดนั้นหรอกครับมันช่วยประหยัดต้นทุนได้มากก็ถือว่าดีทีเดียวดังนั้นหากเอาเงินที่ประหยัดได้จากการเลือกใช้วัตถุดิบมาลงทุนในฝ้ายแค่เล็กน้อย ใช้มันผสมลงไปก็จะได้ผ้าทอที่นุ่มใส่สบายแล้วละครับ”
“โฮ่ วิธีการเช่นนี้!”
ราวกับเห็นเชือกช่วยชีวิตที่สวรรค์ประทานลงมาให้ นัยน์ตาของหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักยามมองท่านพ่อจึงส่องประกายระยิบระยับ
“แต่การผสมฝ้ายลงในวัตถุดิบอื่นต้องใช้ฝีมือค่อนข้างสูง ต้องเลือกสรรโรงงานทอผ้าที่มีความสามารถที่เหมาะสมหน่อยนะครับ”
“ระ…โรงงานทอผ้าที่ว่า…”
หัวหน้ากลุ่มการค้าได้แต่กะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนว่าจะไม่มีความรู้ด้านนี้เลยจริงๆ
“ถ้าหากเป็นกิลด์โรงงานทอผ้าภายใต้การดูแลของลอมบาร์เดียของพวกเรา ต้องสามารถทำได้อย่างแน่นอนครับ แต่หากทำเช่นนั้นก็คงจะต้องเพิ่มส่วนแบ่งของธุรกิจให้ทางลอมบาร์เดียด้วยนะครับ”
เครย์ลีบันรีบแทรกตัวเข้ามาช่วยในจังหวะไทมิ่งที่เหมาะสม
“คิดไว้ประมาณเท่าไหร่ล่ะ”
“หากคำนึงถึงค่าแรงของพวกคนงานในโรงงานลอมบาร์เดีย…”
พอเห็นว่าเครย์ลีบันเริ่มคุยต่อรองราคากับหัวหน้ากลุ่มการค้า ท่านพ่อก็จับมือเธอ ตั้งใจว่าจะปลีกตัวออกไปเงียบๆ
“แคลอฮัน กิจการนี้มอบให้เจ้ารับผิดชอบก็แล้วกัน”
แต่คำสั่งอันแสนยิ่งใหญ่ของท่านปู่ทำให้มือของท่านพ่อที่จับเธออยู่เผลอปล่อยออกในทันที
“ทะ…ท่านพ่อ!”
เบเจอร์ตะโกนจนเกือบเป็นเสียงกรีดร้อง
เขาย่อมไม่มีทางยอมปล่อยให้กิจการที่ตนพยายามไขว่คว้ามาอย่างยากลำบากถูกน้องชายคนเล็กแย่งไปอย่างแน่นอน แต่ท่านปู่ยังคงยืนกรานด้วยความหนักแน่น
“แต่ข้าไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจเท่าไหร่นะครับ มันเป็นงานที่เกินความสามารถของข้าครับ ท่านพ่อ”
ท่านพ่อสะดุ้งตกใจพูดออกไป เขาตั้งใจจะปฏิเสธ แต่ท่านปู่กลับเอ่ยถามหัวหน้ากลุ่มการค้าด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“ดูเหมือนจำเป็นจะต้องมีที่ปรึกษาที่ทราบเกี่ยวกับด้านนี้ดีแล้วละนะ”
“อย่างไรก็กำลังลำบากเพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับผ้าทออยู่พอดีเลยครับ ถ้าหากท่านชายลอมบาร์เดียให้ความช่วยเหลือก็ถือว่าพึ่งพาได้มากทีเดียวครับ! ”
เรียกใช้เบเจอร์ราวกับคนรับใช้ของบ้านตัวเอง แต่กลับเปลี่ยนท่าทีเรียกท่านพ่อว่าท่านชาย
“หากเป็นเรื่องธุรกิจ ถึงแม้ข้าเองจะยังอ่อนด้อยอยู่มาก แต่ก็จะช่วยสนับสนุนเต็มที่ครับ อย่าได้กังวลไปเลยครับ ท่านแคลอฮัน”
เครย์ลีบันที่มีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีนักกับเบเจอร์เองก็เสนอตัวว่าจะคอยช่วยเหลือท่านพ่อ ท่านพ่อจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ามองเธอที่ยืนจับมือท่านอยู่
ทำได้แน่นอนค่ะ ท่านพ่อ!
เธอทำตาเป็นประกายระยิบระยับเต็มที่ พลางเอ่ยพูด
“ลุงคนนั้นก็บอกว่าจะช่วยด้วย! เท่มากเลยค่ะ พ่อ!”
คำพูดของเธอคือการโจมตีครั้งสุดท้าย
ดูเหมือนจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ท่านพ่อจึงจับมือเธอแน่น โค้งศีรษะไปทางท่านปู่
“ข้าจะลองทำดูครับ”
เธออยากจะกระโดดโลดเต้นร้องกรี๊ดมันเสียตรงนี้ แต่ก็พยายามอดกลั้นเอาไว้
ถ้าหากเป็นท่านพ่อละก็ จะต้องทำให้ธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน
ในเมื่อปัญหาหลักหมดไปแล้ว ทั้งลอมบาร์เดีย ทั้งอังเกนัส ต่างก็สามารถหาเงินได้เป็นจำนวนมาก สองตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรจับมือกันทำธุรกิจ ย่อมไม่มีคนโง่ที่ไหนกล้าเข้ามาขัดขวางอยู่แล้ว
“กรอด!”
ยกเว้นคนโง่อย่างเบเจอร์ที่ยืนกัดฟันกรอดอยู่ตรงนี้ไว้คนหนึ่ง
แต่ท่านปู่ยังคงมีชีวิตอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องอะไรที่เบเจอร์สามารถทำได้ เพราะถ้าหากอิจฉาจนคิดจะทำลายกิจการที่ตระกูลใช้เงินลงทุน ท่านปู่ไม่มีทางยอมอยู่เฉยแน่
“พ่อ เท่มากเลย”
เธอพึมพำคำพูดพวกนี้ ตั้งใจให้ได้ยินเข้าหูของท่านพ่อ ในขณะที่ยืนนิ่งอย่างสงบเสงี่ยม
เธอที่เคยได้ใช้ชีวิตในอนาคตมาแล้ว รู้เรื่องพวกนั้นเป็นอย่างดี
มากเท่าๆ กับที่ตระกูลลอมบาร์เดียให้ความสนใจในตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์ จักรพรรดินีเองก็เป็นคนที่ให้ความสนใจกับเรื่องว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเช่นกัน
ตั้งแต่ในอดีตเรื่อยมาจนถึงตอนนี้คนที่โดดเด่นที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร ส่วนใหญ่ก็จะเป็นบุตรชายคนโตทั้งสิ้นแต่ในอาณาจักรแห่งนี้ไม่มีชนชั้นสูงคนใดที่ไม่ทราบว่าเบเจอร์เป็นคนไร้สมอง
งานเลี้ยงที่จักรพรรดิและจักรพรรดินีจัดขึ้นในพระราชวังทุกปี ตอนนี้เบเจอร์กับครอบครัวเองก็ไปร่วมงานแทนท่านปู่อยู่เป็นประจำ แต่ถ้าหากกิจการนี้ประสบความสำเร็จก็ไม่รู้สินะ..
เธอมั่นใจว่าในรายชื่อผู้เข้าร่วม จะต้องมีสักครั้งที่จะกลายเป็นชื่อแคลอฮัน ลอมบาร์เดียและครอบครัว
และเธอยังมีคนที่ต้องรีบพบให้ได้เร็วที่สุดในพระราชวังอยู่ด้วย
เขาคนนั้นที่เธอต้องดึงมาเป็นพวกเดียวกับเธอให้ได้ถ้าหากหญิงที่เป็นบุตรนอกสมรสอย่างเธอตั้งใจจะสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูล
เขาคนนั้นอยู่ในพระราชวัง…เจ้าชายลำดับที่สอง เฟเรส บรีบาเชาว์ ดิวเรลลี่