เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 1 บทที่ 16.1
บทที่ 16
เจ้าชายที่ควรจะอยู่ในพระราชวังทำไมถึงได้มาอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลลอมบาร์เดียได้กันล่ะ!
เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง หรืออาสทาน่าเดินเข้ามาหาเธอที่ยืนตัวเกร็งแข็งทื่อด้วยความตื่นตระหนกอยู่กับที่ ส้นรองเท้าส่งเสียงดัง ตึก ตึก ตึก
ตอนที่มองอยู่ห่างๆ ไม่รู้เลยว่าเด็กชายตรงหน้าจะสูงขนาดนี้
“คราวนี้รู้แล้วใช่มั้ยว่าข้าเป็นใคร”
จะบอกว่า ‘ในเมื่อรู้แล้วว่าข้าเป็นเจ้าชาย ก็จงจัดการตามที่ข้าสั่งซะ’ อย่างนั้นหรือไง
สีหน้าภาคภูมิใจของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งนี่มันช่างน่าสะอิดสะเอียนจริง ๆ
เธอเอ่ยพูดไปทางเจ้าชายที่ทำตัวกร่างเช่นนั้น
“ไม่รู้สักหน่อย”
“…หา?”
“บอกว่าไม่รู้ไง”
รู้ว่าเจ้าเป็นใครแล้วทำไม
เธอยักไหล่ไม่สนใจ แสร้งทำเป็นใสซื่อ
“งั้นข้าจะบอกให้ก็ได้ ในอาณาจักรแลมบลูแห่งนี้ ข้าคือเจ้าชาย…”
“อ๊ะ? ปลิวไปไกลแล้ว”
เธอตั้งใจตัดประโยคของเจ้าชายอาสทาน่าพลางชี้ไปยังหมวกที่กลิ้งกลุกกลักหลายครั้งปลิวไปตามสายลมที่พัดผ่านเข้ามา
“ฮึ่ย! รีบไปเก็บมาเร็วเข้า!”
เจ้าชายกระทืบเท้าปึงปัง ตะโกนเสียงดัง
ฟีเรนเทียไม่อาจเข้าใจได้เลยจริงๆ ถ้าอยากจะไล่ตามไปเก็บหมวกใบนั้นขนาดนั้น ก็ไปเก็บมาเองก็ได้ ไม่เห็นต้องคิดอะไรมากเลย
เธอเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอ ส่ายหน้าไปมา
“เฮ้อ…”
ช่วยไม่ได้
เธอเดินอย่างเชื่องช้าตัดผืนหญ้าที่หมวกใบนั้นกลิ้งอยู่
“หึ! ก็น่าจะทำแบบนั้นเสียแต่แรก!”
ได้ยินคำพูดที่เจ้าชายพ่นลมหายใจทางจมูกเสียงดังหึ
ดูเหมือนว่าคนสวนจะทำงานกันอย่างแข็งขันเลยทีเดียว ผืนหญ้าที่ถูกเหยียบอยู่ใต้เท้ามันนุ่มดีเหมือนกัน
เดินต่อไปอีกแค่นิดเดียวก็เห็นหมวกของเจ้าชายที่ตกอยู่ตรงหน้า
พอเก็บมันขึ้นมาดู ก็ได้เห็นว่ามันเป็นหมวกหรูคุณภาพดีที่นุ่มมาก น่าจะทำจากขนสัตว์
เธอหันกลับไปมองเจ้าชายที่ตอนนี้อยู่ค่อนข้างห่างจากเธอ
“นั่นแหละ! รีบเก็บมาสิ!”
เธอยิ้มเยาะมองเด็กชายที่ตะโกนเร่ง
และ
“ทำบ้าอะไร!”
เธอโยนหมวกให้กระเด็นไปไกลจากเจ้าชายกว่าที่เคย
หนีเร็ว รีบวิ่งหนีกันเถอะ!
ถึงแม้ขาจะสั้นป้อม แต่เธอก็ออกตัววิ่งด้วยแรงทั้งหมดที่มี
“วะฮ่าฮ่าฮ่า!”
ไล่ตามมาสิ ไล่ตามมา!
“เฮ้! เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้นนะ!”
ถ้าเป็นนายบ้างจะหยุดหรือไง!
เธอหัวเราะไม่หยุด ในขณะเดียวกันก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
“อ๊ากกก! ถ้าจับได้ข้าจะฆ่าเจ้าแน่!”
ได้ยินเสียงโหดเหี้ยมที่เจ้าชายตะโกนปาวๆ เพราะไม่อาจเอาชนะความโกรธของตัวเองได้ดังไล่ตามมาจากข้างหลัง แต่เธอก็ไม่คิดที่จะหันกลับไปมอง
ก็รู้อยู่หรอกว่าเจ้านั่นนิสัยสกปรกเสียไม่มีดี แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแบบนั้นตั้งแต่เด็ก
ที่เข้ากันได้กับเบเลซักขนาดนั้น ที่จริงแล้วก็มีเหตุผลอยู่นี่เอง
ฟีเรนเทียจะไม่คิดหรอกว่าเจ้าชายที่ไม่ยอมเก็บกระทั่งหมวกของตัวเอง จะวิ่งไล่ตามเธอมา แต่เธอก็รีบเลี้ยวที่หัวมุม เพื่อซ่อนตัวจากมุมมองสายตาของเจ้าชาย
ถึงจะรู้สึกระแวงกับเสียงตะโกนเกรี้ยวกราดครั้งสุดท้ายของเจ้านั่นนิดหน่อย แต่ก็นะ จะไปมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นได้ล่ะ
เธอคิดแบบนั้น ในขณะที่วิ่งไปทางอาคารหลักเพื่อตามหาสองแฝด
เจ้าชายลำดับที่หนึ่งอาสทาน่าตัวสั่นเทาไปทั่วร่างด้วยโทสะ
“กล้า กล้าดียังไง…! ”
ความอัปยศเช่นนี้ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยประสบเป็นครั้งแรก
อาสทาน่าผู้เกิดมาในฐานะโอรสที่ถูกต้องตามกฎหมายจากองค์จักรพรรดิและจักรพรรดินี นับตั้งแต่วินาทีแรกที่หายใจ แค่ส่งสายตาเขาก็สามารถครอบครองทุกสิ่ง ไม่จำเป็นต้องเอ่ยพูดสิ่งที่ต้องการเลยสักคำ
เขาเติบโตมาโดยถูกพี่เลี้ยงและเหล่าองครักษ์คอยปกป้องคุ้มครองอยู่รอบกายเสมอ
สิ่งที่อาสทาน่าคนนี้ต้องทำแม้จะไม่อยากทำมีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ก็คือการต้องมาพบหน้าเจ้าโง่เบเลซัก
องค์จักรพรรดิดีผู้รับฟังทุกสิ่งที่อาสทาน่าต้องการอยู่เสมอ หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับตระกูลลอมบาร์เดียก็จะเข้มงวดมากเป็นพิเศษ
เบเลซักที่มักจะพยายามทำตัวให้ดูดีต่อหน้าเขาเสมอช่างเป็นคนน่ารำคาญสุดๆ อารมณ์ของอาสทาน่าที่ต้องแวะมายังคฤหาสน์ลอมบาร์เดียในวันนี้จึงไม่ดีเป็นอย่างยิ่งทั้งยังเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟ เขาเดินอยู่คนเดียวจนหลงทาง
ตามกฎที่ตกลงกันระหว่างราชวงศ์กับตระกูลลอมบาร์เดียที่มีมาเนิ่นนาน อัศวินของราชวงศ์ไม่สามารถเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ได้
เพราะคำพูดนั่น ทำให้คณะผู้ติดตามของเจ้าชายทะเลาะกับเหล่าทหารยามตระกูลลอมบาร์เดีย ส่วนตัวเจ้าชายที่ไม่อยากรอจึงได้ฉวยจังหวะนั้นเข้ามาในคฤหาสน์ตามลำพัง
สุดท้ายเรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพราะตัวเองแท้ๆ แต่อาสทาน่ากลับไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย
เขาโมโหที่พวกนั้นซึ่งควรจะติดตามเขาเข้ามากลับทิ้งเขาไว้คนเดียวตอนกลางวันแสกๆ แล้วไอ้คฤหาสน์ตระกูลลอมบาร์เดียนี่อีก ทั้งๆ ที่เป็นแค่ตระกูลขุนนางตระกูลหนึ่งแท้ๆ แต่กลับใหญ่โตเท่ากับพระราชวังเสียได้ ช่างน่ารังเกียจจริงๆ
ในสถานการณ์แบบนั้น การปรากฏตัวของฟีเรนเทียที่กล้ากลั่นแกล้งเขาเหมือนเป็นตัวตลก จึงกลายเป็นไปกระตุ้นอารมณ์ร้ายของอาสทาน่าเข้าจนได้
“เจ้าชาย! อยู่ที่นี่นี่เองเพคะ!”
แม่นมที่เลี้ยงดูอาสทาน่ามาตั้งแต่สมัยยังแบเบาะ วิ่งตามเข้ามาเจอเขา
“ฮู่ว! เป็นห่วงหมดเลยเพคะ! เสด็จมาคนเดียวแบบนั้น…”
“มานี่”
เจ้าชายอาสทาน่ากระดิกนิ้วเรียกแม่นมที่ยังหอบหายใจแฮก
แม่นมหลับตาแน่น ใบหน้าแข็งทื่อ โค้งศีรษะลง
เพียะ
ฝ่ามือของเจ้าชายตบลงบนแก้มของแม่นม
“เจ้าทิ้งข้าไว้คนเดียว?”
“ขะ…ขออภัยเพคะ…”
“พวกอัศวินล่ะ อยู่ที่ไหน”
อาสทาน่ามองแม่นมกับพี่เลี้ยงสองคน ก่อนจะเอ่ยถาม
“นอกคฤหาสน์…”
“สั่งให้เข้ามา”
“เพคะ? ตะ…แต่เจ้าชาย กฎของลอมบาร์เดีย…”
เพียะ
ฝ่ามือหนักหน่วงไม่สมกับเป็นเด็กตัวเล็กๆ ของเจ้าชายสร้างรอยนิ้วทิ้งไว้บนใบหน้าของแม่นมอีกครั้ง
“ทุกสิ่งของอาณาจักรแห่งนี้เป็นขององค์จักรพรรดิ และข้าก็คือโอรสองค์โตผู้สืบทอดหลังจากนั้น ลอมบาร์เดียจะพูดอะไร ข้าจำเป็นต้องเกรงใจพวกมันด้วยหรือไง”
แม่นมไม่อาจพูดอะไรออกไปได้
“ไปพาพวกอัศวินมาที่นี่เดี๋ยวนี้ หากทำไม่ได้ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่”
“…เพคะ เจ้าชาย”
สุดท้ายแม่นมจึงตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
นางหน้าซีดเผือดแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะรีบวิ่งออกไปยังประตูคฤหาสน์ เห็นแบบนั้นแล้วอารมณ์ของอาสทาน่าจึงค่อยคลายลงบ้าง
รอให้พวกอัศวินเข้ามาก่อนเถอะ
อาสทาน่านึกถึงภาพด้านหลังของเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลที่วิ่งหนีไป เขาพึมพำด้วยความเจ้าเล่ห์