เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 1 บทที่ 2.2
เธอลุกขึ้นพรวดจากที่นั่ง เดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างหน้าต่าง
จากปีกคฤหาสน์ฝั่งตะวันตก เมื่อมองออกไปก็จะเห็นทัศนียภาพของคฤหาสน์หลักขนาดใหญ่จำนวนสี่ชั้นของตระกูล กับตึกหลายตึกที่ห้อมล้อมอยู่รอบด้าน
เธอมองเห็นแขกเหรื่อที่แวะมาเยี่ยมเยียนคฤหาสน์กับข้ารับใช้ และเหล่าลูกจ้างที่ทำงานเพื่อลอมบาร์เดีย
แต่ภาพทั้งหมดนี่จะไม่มีเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตข้างหน้า
ฟีเรนเทียยังจำภาพของคฤหาสน์ที่ถูกทิ้งร้าง และเหล่าพลทหารราชวงศ์คล้องกุญแจปิดล็อกยังคงเด่นชัดอยู่ตรงหน้า
“ก่อนอื่นต้องขัดขวางไม่ให้เบเจอร์กลายเป็นเจ้าตระกูลสินะ”
สมัยนั้นที่เลือกข้างเจ้าชายลำดับที่หนึ่งก็เป็นการตัดสินใจของเจ้านั่นในฐานะเจ้าตระกูลคนถัดไป
จักรพรรดินีของอาณาจักร ราวีนี่อังเกนัส มารดาของเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเซรัลป้าสะใภ้ใหญ่ของเธอ หรืออีกแง่หนึ่งก็คือภริยาของเบเจอร์
ในเมื่อมีความสัมพันธ์กันเช่นนั้น ย่อมช่วยไม่ได้ที่จะเทใจให้อีกฝ่าย แต่ถึงยังไงนั่นก็เป็นถึงตำแหน่งของรัชทายาทองค์ถัดไป
ต้นกล้าที่สามารถบอกรับหน้าที่และอำนาจอันยิ่งใหญ่นั้นได้ ย่อมไม่ใช่เจ้าชายลำดับที่หนึ่งและสุดท้ายจักรพรรดิโยบาเนสเองก็ไม่ใช่เจ้าเหนือหัวที่โง่เขลาเสียทีเดียว
คนที่ไม่อาจคาดเดาความคิดขององค์จักรพรรดิออก และเลือกที่จะให้การสนับสนุนเจ้าชายลำดับที่หนึ่งก็คือ เบเจอร์นั่นเอง
ถ้าหากไม่ประกาศเลือกข้างอย่างเป็นทางการแบบนั้นละก็
ไม่สิ ถ้าหากไม่อวดดีไปข่มขู่ ทั้งยังกลั่นแกล้งเจ้าชายลำดับที่สองแล้วละก็!
ลอมบาร์เดียก็คงจะอยู่รอดปลอดภัย
เธอคิดอยู่เหมือนกันว่าหรือจะลองเกลี้ยกล่อมเบเจอร์ดูสักครั้ง แต่เพียงไม่นานก็รู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร
หากยังเป็นคนที่ใครสักคนพอจะเกลี้ยกล่อมให้เปลี่ยนความคิดได้ ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์พวกนั้นขึ้นหรอก
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีใครขึ้นเป็นเจ้าตระกูลแทน
“ข้าคงจะมอบตระกูลนี้ให้แก่เจ้าไปแล้ว…”
ฟีเรนเทียนึกถึงประโยคที่ท่านปู่เคยถอนหายใจพูดจนติดเป็นนิสัยขึ้นมา
“ข้า…ลองเป็นดูดีมั้ยนะ”
ถึงแม้จะหัวเราะเยาะตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่คำพูดลอยๆ อย่างการคว้าลมคว้าเมฆเสียทีเดียว
ตลอดระยะเวลาที่แบกรับงานของตระกูล และคอยช่วยเหลือท่านปู่อย่างเต็มตัวเนื่องจากเบเจอร์ทำให้เธอต้องพยายามทำงานอย่างหนักจนประสบความสำเร็จในหลายๆ เรื่อง ทำให้ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งที่เธอเคยคิดว่าสู้ให้เธอเป็นเจ้าตระกูลเสียยังจะดีกว่า
ที่จริงแล้วไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ยังดีกว่าปล่อยให้ลุงใหญ่เป็นคนทำอยู่ดีนั่นแหละ
“อย่างน้อยข้าก็คงไม่ก่อเรื่องผิดพลาดกับเจ้าชายลำดับที่สองแบบนั้นถ้าเช่นนั้นตระกูลของเราก็คงจะปลอดภัย เห็นชัดๆ อยู่แล้วว่าเจ้าชายลำดับที่สองจะต้องได้เป็นรัชทายาท…”
ถ้าอย่างนั้นเลือกข้างเจ้าชายลำดับที่สองแต่แรกเลยเป็นไง?
หากสานสัมพันธ์เอาไว้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อลอมบาร์เดียไม่ใช่เหรอ
ไม่ใช่แค่นั้น สำหรับเธออย่างน้อยก็ยังจำเรื่องที่จะเกิดขึ้นทั้งหลายแหล่ในอนาคตอีกยี่สิบปีข้างหน้าได้อีกด้วยหากใช้ความรู้ที่เธอมีให้เป็นประโยชน์แล้วละก็ เธอสามารถทำให้ลอมบาร์เดียร่ำรวยและทรงอำนาจได้มากกว่านี้
เธอจะปกป้องลอมบาร์เดียที่เธอรักด้วยมือของเธอเอง
“ลองดูกันสักตั้ง”
หากปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ ตระกูลคงได้พังไม่เป็นท่า
ตระกูลที่เคยบริหารบ้านเมืองมาตลอดหลายร้อยปี กลับถูกขุดรากถอนโคนจนไม่เหลือเศษซากอย่างน่าทุเรศ
เธอไม่สามารถทนดูให้ลอมบาร์เดียต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้
“ข้าจะเป็นเจ้าตระกูล”
ไม่อย่างนั้นก็ให้ท่านพ่อขึ้นรับช่วงต่อจากท่านปู่ก็ยังดี
ขอแค่ไม่ตกอยู่ในมือของบุตรคนโตอย่างเบเจอร์ หรือบุตรคนรองอย่างลอเรนซ์ก็พอ
“ถ้างั้นก่อนอื่น…”
เธอนั่งฟุบลงไปบนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะเรียบเรียงความคิดของตัวเองให้ดี
“ท่านแคลอฮันถูกท่านเจ้าตระกูลเรียกตัวไปพบที่ห้องทำงานครับ คุณหนู”
พอกลับมาที่ห้องสมุด ตำแหน่งที่ท่านพ่อเคยนั่งอยู่ก็ถูกเก็บกวาดเป็นระเบียบเรียบร้อย บรรณารักษ์บอกกับเธอเช่นนั้น
บรรณารักษ์ชราผู้มีผมสีขาวโพลน โบรซูล
ที่เธอเริ่มทำงานที่ห้องสมุดแห่งนี้ ก็เริ่มขึ้นหลังจากโบรซูลลาออกเพราะอาการเจ็บป่วย
เดิมทีเขาเป็นศาสตราจารย์ชื่อดังของอะคาเดมี แต่ได้ยินว่าหลังจากลงจากตำแหน่ง ก็เข้ามาทำงานอยู่ที่ลอมบาร์เดียแห่งนี้แทน
“ท่านปู่บรรณารักษ์”
หากเป็นเธอตามอายุจริง นี่ถือว่าเป็นการพูดจาที่ไร้มารยาทต่อโบรซูลผู้เคยเป็นศาสตราจารย์อยู่ช่วงหนึ่งเป็นอย่างมาก แต่ก็นะ
ตอนนี้เธอเป็นแค่เด็กนี่นา
“ขอยืมหนังสือสักเล่มนะคะ”
“ต้องการหนังสือแบบไหนหรือครับ”
พอเธอพูดชื่อหนังสือออกไป โบรซูลก็ตกตะลึง
“หรือว่าท่านแคลอฮันไหว้วานมาหรือครับ”
“เปล่าค่ะ ข้าจะอ่านเอง”
เข้าใจได้ว่าทำไมโบรซูลถึงได้ตกใจขนาดนั้น แต่เธอก็ไม่คิดที่จะหลบสายตาที่จ้องตรงมา ทั้งยังรอคอยด้วยความมุ่งมั่น
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มที่เธออยากอ่านมากที่สุดก่อนที่จะโดนรถม้าชน แต่เพราะมันเป็นหนังสือที่แพงและล้ำค่ามาก ทำให้สุดท้ายก็หาอ่านไม่ได้
ไม่นานหลังจากนั้น เธอก็เหน็บหนังสือเล่มหนาไว้ที่สีข้าง แล้วเดินออกมาจากห้องสมุด
“งั้นไปอ่านหนังสือรอแถวๆ ห้องทำงานก็แล้วกัน”
เมื่อครู่ลองถามดูแล้ว เห็นว่าวันนี้เป็นวันที่สามของสัปดาห์
ทุกวันที่สามของสัปดาห์ เป็นธรรมเนียมของท่านปู่ที่จะเรียกบุตรชายทั้งสามคนกับบุตรสาวอีกหนึ่งมาร่วมประชุมหารือกันอย่างเรียบง่าย ซึ่งเวลาจะแตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง ทำให้ท่านพ่อกับพวกพี่น้องต้องรอท่านปู่เรียกตัวอยู่ที่คฤหาสน์ตลอดทั้งวัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครคิดบ่นอะไร
เพราะในตระกูลลอมบาร์เดียแห่งนี้ อำนาจของท่านปู่ถือเป็นสิทธิ์ขาด
ฟีเรนเทียเดินเตาะแตะไปเรื่อยตามลำพัง หากพ้นออกมาจากตัวอาคารหลักก็จะเดินเชื่อมต่อไปจนถึงโถงทางเดินหน้าห้องทำงานได้
มันเป็นสถานที่ที่เธอแวะเวียนไปบ่อยที่สุดราวกับเป็นห้องของตัวเอง ในตอนที่คอยช่วยงานของท่านปู่แท้ๆ แต่เป็นเพราะได้มองผ่านมุมมองของเด็กตัวเล็กๆ หรือเปล่านะ มันถึงได้มีอะไรบางอย่างดูแตกต่างออกไป
เธออยากจะเดินสำรวจดูภายในคฤหาสน์หลักให้ทั่วอีกนิด แต่ก็ต้องยืนพิงหน้าต่างหยุดพัก
ระยะทางจากหอสมุดมาถึงที่นี่ สำหรับขาสั้นป้อมของเธอในตอนนี้มันเป็นระยะทางที่ไกลมากเอาเรื่อง อีกอย่างร่างกายของเด็กตัวเล็กๆ ก็อ่อนแอมากเสียจนรู้สึกได้เลยว่าแค่แป๊บเดียวก็เหนื่อยแล้ว
และในตอนที่ฟีเรนเทียฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอีกเดี๋ยวสงสัยเธออาจจะต้องนอนกลางวันด้วยหรือเปล่า เธอก็ได้ยินเสียงหยิ่งยโสของเด็กคนหนึ่งเอ่ยเรียกเธอเอาไว้
“เฮ้ ยายเลือดผสม”