เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 1 บทที่ 26.2
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมอาหาร เธอรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย
อย่างไรก็เป็นพระโอรส แต่หลังจากที่จักรพรรดิเสด็จมาถึงงาน พระองค์ก็ไม่ได้มองเจ้าชายลำดับที่หนึ่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว
อาสทาน่าเองก็ดูจะไม่สนใจอะไร คล้ายกับว่าเคยชินกับบิดาที่เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
“แล้วนี่ก่อนข้าจะมา พูดคุยเรื่องอะไรกันไปแล้วบ้างล่ะ”
“ไม่มีเรื่องอะไรหรอกเพคะ เพียงแค่กำลังทักทายกันอยู่เท่านั้นเอง”
จักรพรรดินีเปลี่ยนเรื่องด้วยเสียงหัวเราะ
ท่านพ่อจ้องจักรพรรดินีที่กล่าวเช่นนั้นเขม็ง
“ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นนะ แคลอฮัน?”
จักรพรรดิมองท่านพ่อสลับไปมากับจักรพรรดินี ก่อนจะตรัสออกมา
“หากมีเรื่องอะไรค้างคาใจ ก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ”
แต่คล้ายกับคำพูดของจักรพรรดิเองก็ไม่ได้จริงใจอะไรนัก เป็นเพียงแค่คำพูดลอยๆ มากกว่า
ท่าทางไม่ได้อยากรู้เลยแม้แต่น้อยว่าท่านพ่ออยากจะพูดอะไร ส่วนจักรพรรดินีเองก็ดูเหมือนจะไม่คิดว่าท่านพ่อจะกล้าพูดอะไรต่อหน้าองค์จักรพรรดิอยู่แล้ว ท่าทางยามจิบไวน์ผลไม้ที่ผู้ดูแลเทให้จึงดูผ่อนคลายมากนัก
เพราะอย่างนี้ฟีเรนเทียจึงโมโหสองคนนี้ที่หากอยู่ต่อหน้าท่านปู่ของพวกเรา จะพูดอะไรแม้แต่คำเดียวยังต้องระมัดระวัง กลับดูหมิ่นท่านพ่อถึงเพียงนี้แต่ในขณะเดียวกันท่าทางผ่อนคลายของจักรพรรดินีเองก็ถือว่าเหมาะสม
เพราะเธอเองก็คิดว่าท่านพ่อคงจะไม่พูดอะไรออกมาเหมือนกัน
แต่ว่า
“กำลังพูดกับจักรพรรดินีเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางมางานเลี้ยงวันนี้น่ะพ่ะย่ะค่ะ”
น่าตกใจที่แม้แต่อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิ ท่านพ่อก็ยังไม่ยอมถอย
ทั้งองค์จักรพรรดิ ทั้งจักรพรรดินี ต่างก็คงจะไม่คิดว่าท่านพ่อจะกล้าถึงขนาดนี้ ใบหน้ายิ้มแย้มถึงได้หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”
จักรพรรดิลูบเคราในขณะที่ตรัสถาม
“รถม้าของพวกเราถูกกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์บังคับตรวจค้นพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม?”
องค์จักรพรรดิเองก็ดูจะตกใจไม่น้อย ก่อนจะเหลือบตามองจักรพรรดินี
“ฮ่าๆ มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอเนี่ย”
ท่าทางจะพอรู้อยู่บ้างแล้วว่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น
ดูเหมือนว่าการท้าทายด้วยวิธีการเช่นนั้นจะไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะกับพวกเราสินะ
เธอสังหรณ์ใจอย่างรุนแรงว่า บางทีแม้แต่เบเจอร์เองก็อาจจะเจอเรื่องแบบเดียวกันนี่ก็ได้
จักรพรรดินีหลุบตามองลงต่ำ ไม่เผยสีหน้าใดๆ ออกมาให้เห็น
“อย่างไรก็ตาม…คงจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันกระมัง”
องค์จักรพรรดินิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตรัสออกมา
“พวกนั้นสั่งให้รถม้าติดสัญลักษณ์ตระกูลลอมบาร์เดียจอดพ่ะย่ะค่ะ คงจะไม่ใช่การเข้าใจผิดหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“…แคลอฮัน ดูเหมือนเจ้าจะโมโหมากเลยนะ”
ท่าทางของท่านพ่อในตอนนี้ดูไม่เหมือนกับท่านพ่อเลยจริงๆ เพราะเป็นคนนิสัยทึ่มทื่อ ต่อให้ไม่ใช่จักรพรรดิแต่เป็นแค่พวกลูกจ้าง ก็ยังไม่ค่อยกล้าพูดกับพวกเขาเลยด้วยซ้ำ วันนี้กลับดูแตกต่างไปจากปกติเป็นอย่างมาก
“ลูกสาวกระหม่อมตกใจมากพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านพ่อเอ่ยตอบเสียงทุ้มต่ำ
ในตอนนั้นเอง เธอถึงได้เข้าใจพฤติกรรมของท่านพ่อ
ที่ตอนนี้ท่านพ่อกำลังโกรธ ไม่ได้เป็นเพราะตัวเองถูกเหยียดหยาม แต่เป็นเพราะพวกอัศวินทำให้เธอหวาดกลัวต่างหากล่ะ
รู้สึกราวกับสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านมาบนโต๊ะอาหารอยู่ครู่หนึ่ง
“ฮ่าฮ่า! ขอโทษจริงๆ!”
ถึงแม้จะหัวเราะอย่างคนใจกว้าง แต่สุดท้ายจักรพรรดิก็ต้องกล่าวขอโทษอยู่ดีแต่คำพูดหลังจากนั้นก็ยังไม่มีการเอ่ยอ้างถึงจักรพรรดินีเลยแม้แต่คำเดียว
“ช่วยเข้าใจความโง่เขลาของอัศวินพวกนั้นด้วยเถอะนะยังมีอยู่หลายคนที่จงรักภักดีเสียจนไม่อาจยอมรับความสัมพันธ์พิเศษระหว่างลอมบาร์เดียกับราชวงศ์อยู่”
สุดท้ายคนที่กลายเป็นแพะรับบาปก็คือ พวกอัศวิน
จักรพรรดินีผู้สั่งการทุกเรื่องกลับหลุดลอยไปได้และโยนความผิดให้กับพวกอัศวินแทน
ท่านพ่อเองก็รู้เรื่องนั้นดี จึงได้แต่ถอนหายใจแผ่วเบา พยักหน้าลง
“เพียงแต่หวังว่าจะไม่มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”
“แน่นอนๆ จะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก! เอาละดื่มให้ข้าสักแก้ว!”
จักรพรรดิตบหน้าอกตัวเองเป็นการการันตี ก่อนจะเทเหล้าให้ท่านพ่อ
ฟีเรนเทียแสร้งทำเป็นดื่มน้ำผลไม้ที่วางอยู่ตรงหน้า ลอบสำรวจใบหน้าของจักรพรรดินี แต่แล้วก็ต้องขนลุกชันขึ้นมาใบหน้างดงามนั่นยังคงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย ทว่านัยน์ตาดุดันคู่นั้นกำลังจับจ้องไปที่ท่านพ่อไม่กะพริบ
เธอเองก็รู้ตั้งแต่ที่นางพยายามฆ่าเจ้าชายลำดับที่สองด้วยวิธีการเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่นางช่างเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ
งานเลี้ยงมื้อเย็นจึงเริ่มขึ้นอย่างเต็มรูปแบบเช่นนั้น อาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้เริ่มถูกทยอยนำออกมาเสิร์ฟ
ในเมื่อเป็นงานที่จักรพรรดินีรับรองด้วยตัวพระองค์เอง แน่นอนว่าอาหารพวกนี้ย่อมเป็นอาหารหรูหราน่าทาน แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับตระกูลลอมบาร์เดียอยู่ดี
ในตอนที่เธอกำลังประเมินการต้อนรับด้วยความเย็นชาเช่นนั้นจู่ๆ องค์จักรพรรดิที่กำลังสนทนาเรื่องโน่นนี่อยู่กับท่านพ่อ ก็โยนคำถามเกี่ยวกับกิจการขึ้นมา
“ใช่แล้ว ได้ยินว่ากิจการที่เจ้าเป็นผู้นำให้ผลที่งอกเงยมากทีเดียว”
แม้แต่จักรพรรดินีที่แทบจะไม่ได้พูดอะไรหลังจากที่ท่านพ่อตำหนิองค์จักรพรรดิยังให้ความสนใจกับเรื่องครั้งนี้
“สองตระกูลอย่างอังเกนัสและลอมบาร์เดียที่เรียกได้ว่าเป็นแกนนำสำคัญของอาณาจักร มาร่วมมือกันทำงานแบบนี้นี่ดีจริง!”
“…ชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่อังเกนัสกลายเป็นแกนนำของอาณาจักรแห่งนี้?
องค์จักรพรรดิแอบยกระดับอังเกนัสซึ่งเป็นตระกูลฝั่งภริยาของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับลอมบาร์เดีย
ก็นะตอนนี้จักรพรรดิโยบาเนสกำลังพยายามใช้ตระกูลอังเกนัสมาคานอำนาจของตระกูลลอมบาร์เดียอยู่
นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่พระองค์แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งๆ ที่ทราบดีว่าจักรพรรดินีทำเรื่องอะไรกับเจ้าชายลำดับที่สองบ้าง
ทว่าสามปีให้หลัง ตระกูลอังเกนัสจะทำให้องค์จักรพรรดิเกิดโทสะเพราะการหลบเลี่ยงภาษี ความสัมพันธ์ของจักรพรรดิและจักรพรรดินีเองก็จบลงด้วยเช่นกัน
“ต่อไปก็คอยช่วยเหลือกลุ่มการค้าดิวรักด้วยนะคะ ท่านชายลอมบาร์เดีย พวกเขาเพิ่งจะเริ่มทำการค้า จึงยังไม่เชี่ยวชาญนัก”
จักรพรรดินียิ้มเป็นมิตร ในขณะที่เอ่ยพูดกับท่านพ่อ
แต่คำตอบที่ได้รับกลับไปไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“กระหม่อมเคยบอกหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักไปแล้ว อันที่จริงกระหม่อมตั้งใจจะวางมือจากกิจการผ้าทอพ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดินี”
“…คะ?”
ดูเหมือนจะเพิ่งทราบเรื่องนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ในที่สุดโป๊กเกอร์เฟสของจักรพรรดินีก็แตกเพล้ง
บางทีคงจะคิดว่า ถ้าหากแกนนำกิจการอย่างท่านพ่อถอนตัวออกไป กิจการอาจจะล้มเหลวก็เป็นได้
มันเป็นแหล่งสนับสนุนทางการเงินที่จะนำพาเจ้าชายลำดับที่หนึ่งไปสู่ตำแหน่งรัชทายาท หากถูกตัดขาดออกไป คงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่
“ตั้งใจจะทำธุรกิจส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นมันช่าง…รวดเร็วจริงๆ นะคะ แต่จะไม่รีบร้อนเกินไปหน่อยหรือคะ อยากให้อยู่ช่วยกลุ่มการค้าดิวรักต่ออีกสักหน่อยแท้ๆ”
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ แต่คงไม่ได้”
ถึงแม้จักรพรรดินีที่กำลังตื่นตระหนกจะพยายามเกลี้ยกล่อมทุกวิถีทาง แต่ท่านพ่อก็ไม่แม้แต่จะสะดุ้งสะเทือน
“กลุ่มการค้าลอมบาร์เดียจะคอยช่วยเหลือกลุ่มการค้าดิวรักไปตลอดไม่ได้อยู่แล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ”
พูดง่ายๆ ตอนนี้พวกเจ้าก็ไปจัดการช่วยเหลือกันเองก็แล้วกัน
ริมฝีปากของจักรพรรดินีสั่นระริก และเมื่อประเมินได้ว่าคำพูดนั่นหมายความว่าอะไร แววตาของจักรพรรดินีก็เปลี่ยนไปในทันที
จนถึงเมื่อครู่นี้นางคิดอยู่ว่า จะต้องใช้วิธีการใดทำให้คนที่ดูอ่อนปวกเปียกคนนี้ยอมทำในสิ่งที่นางต้องการ แต่ดูท่าทางจะต้องเก็บพับความคิดพวกนั้นไปเสียแล้ว
“…ท่านแคลอฮันเป็นคนที่แตกต่างจากที่ข้าคิดเอาไว้มากเลยนะคะ”
“ไม่ทราบหรอกพ่ะย่ะค่ะว่าองค์จักรพรรดินีทรงคาดหวังอะไรในตัวกระหม่อม แต่ต้องขอประทานอภัยด้วยที่ไม่อาจทำให้พระองค์พอใจได้พ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีท่านพ่อไม่ใช่คนหนักแน่นแบบนั้น ท่าทางจะไม่ชอบใจองค์จักรพรรดินีจริงๆ
เธอเองก็เหมือนกัน
ทั้งเรื่องเจ้าชายลำดับที่สอง ทั้งการปฏิบัติต่อลอมบาร์เดียก็ด้วย ช่างเป็นคนที่ชั่วร้ายในหลายด้านเหลือเกิน
งานเลี้ยงมื้อเย็นจบลงโดยที่ไม่รู้แล้วว่าทานอาหารเข้าไปทางปากหรือทางจมูก
ระหว่างทางที่นั่งรถม้ากลับคฤหาสน์ ท่านพ่อแทบจะไม่พูดอะไรออกมา ยกเว้นคำพูดประโยคเดียวที่ท่านพูดตอนลูบหน้าพลางมองเธอที่กำลังหลับใหล นอนฟุบลงบนหน้าตักของท่านพ่อเพราะเลยเวลาเข้านอนไปนานแล้ว
‘เพราะข้ามันไร้อำนาจ…’
ท่านพ่อเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เอาแต่พึมพำอยู่เช่นนั้น
ภายในห้องมืดมิดมีเพียงแสงจากเปลวเทียนหนึ่งเล่ม
มันอาจจะเป็นแค่วังเล็กๆ แต่สำหรับเด็กชายอายุสิบเอ็ดที่เหลือตัวคนเดียวแล้ว มันเป็นพื้นที่ที่ใหญ่และอ้างว้างมากเกินไป
เฟเรสนั่งอยู่มุมเตียงราวกับซ่อนกาย เขาเปิดถุงใบเล็กที่ยังไม่คุ้นมือนัก จากนั้นถึงได้เทยาสีทองที่อยู่ข้างในนั้นออกมาในปริมาณเท่ากับที่ฟีเรนเทียบอก ก่อนจะดื่มมันลงรวดเดียว
มันเป็นยารสขม แต่เฟเรสกลับไม่มีท่าทีอันใด
เพราะต่อให้แสดงความรู้สึกออกไป ตอนนี้ก็ไม่มีใครสนใจมองเขาอยู่ดี
เฟเรสปิดฝาขวดยาแน่นไม่ให้มันหกออกมาได้แม้แต่หยดเดียว คราวนี้เขาหยิบลูกกวาดเม็ดกลมออกมาใส่ปากเคี้ยว
แก้มขาวเนียนป่องตามรูปทรงของลูกกวาด
“…หวาน”
เฟเรสพึมพำพร่ำบ่น
รสขมนั้นเขาคุ้นเคยกับมันดีจนเบื่อหน่าย แต่รสหวานแบบนี้นั้นไม่ใช่
ไม่คุ้นเคย ทั้งยังแปลกพิกล
แต่เฟเรสก็ยังดุนดันลูกอมในปากให้กลิ้งไปทั่ว เพราะเริ่มค่อยๆ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทีละน้อย
เป็นรสหวานที่แผ่ซ่านไปทั่วนี่หรือที่ทำให้หัวใจเต้นตึ้กตั้ก
หรือว่า…
เฟเรสลูบไล้พื้นผิวกระเป๋าถือใบนุ่ม นึกถึงใบหน้าของฟีเรนเทียที่ได้พบกันเมื่อช่วงกลางวัน
ใบหน้าน่ารักขนาดที่ทำให้เขาเผลอคิดไปว่านางเป็นภูตน้อยในป่าลึก
โดยเฉพาะนัยน์ตากลมโตสีเขียวเหมือนยกเอาสีของใบหญ้ามาทั้งแบบนั้น มันเอาแต่ฝังแน่นอยู่ในหัวสมองของเขาไม่จางหาย และยังมีคำพูดที่เด็กคนนั้นพูดทิ้งไว้อีก
‘อยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ไม่สิ คิดว่าเจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป’
เฟเรสกำขวดยาในมือแน่น ราวกับจะไม่มีวันปล่อยให้ใครหน้าไหนแย่งชิงมันไปได้ทั้งสิ้น
กลุกกลัก
เขาใช้ลิ้นดุนดันลูกกวาดในปากให้กลิ้งอีกครั้ง
“…หวาน”
เฟเรสเหม่อมองแสงเปลวเทียนสั่นไหวไปมาจนเกิดรูปเงา พลางพูดพึมพำเสียงแผ่ว