เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 1 บทที่ 34.1
บทที่ 34
“ตอนนี้ข้าเองก็กำลังจะไปหาท่านแคลอฮันพอดี เลยมาชวนให้ไปพร้อมกันเลยน่ะครับ”
“อา…”
เธอนี่คิดไปเองอีกแล้วนะ
ไม่ใช่แค่เธอคนเดียว เด็กๆ ที่อยู่รอบๆ ต่างก็พยักหน้าเข้าใจ
ลาลาเน่แอบลอบลูบอกเบาๆ ดูเหมือนจะกลัวว่าเธอจะถูกเครย์ลีบันลากตัวไปดุ
“หืม”
เครย์ลีบันหรี่ตาลงครู่หนึ่ง คล้ายกับไม่ค่อยจะพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนั้นของทุกคนเท่าไหร่นัก
“ถะ…ถ้างั้นพวกเราไปกันเลยดีมั้ย”
“อื้อ! ไปกันเถอะ!”
สองแฝดพอเห็นแววตาดุดัน ก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่งทันที
“ลาก่อนครับ! ”
ทั้งคู่กล่าวลาแล้วรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เธอจะทันได้หาวิธีรั้งตัวเอาไว้เสียอีก
“บ๊ายบายฟีเรนเทีย ลาก่อนค่ะ อาจารย์”
ลาลาเน่เองก็ก้าวถอยหลัง รีบกล่าวลา แล้วเดินห่างออกไปจากพวกเธอ
ฟีเรนเทียมองออกไปเห็นเบเลซักที่ยืนรอพี่สาวอยู่หน้าประตูแล้วถลึงตาจ้องเธอหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินตามพี่สาวออกไป
ดูเหมือนทุกคนจะทำแบบนั้นเพราะกลัวเครย์ลีบันสินะ
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนที่มีนิสัยใจดีอะไรขนาดนั้น แถมนัยน์ตายังดูคมกริบกว่าคนอื่นอีกด้วย
เธอเหม่อมองเครย์ลีบัน
“ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
ใบหน้าดูหล่อเหลา ความประทับใจแรกเห็นคือ คนเคร่งขรึมเย็นชาไม่ชอบยิ้ม
สิ่งที่ทำให้เธอตั้งสมาธิอยู่กับเลกเชอร์ได้ดีแน่นอนว่าก็เป็นเพราะเนื้อหาที่ดี แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเครย์ลีบันหน้าตาหล่อเหลาด้วยเช่นกัน
แต่ทุกคนกลับกลัวเครย์ลีบันกันมากขนาดนั้น
“ว่ามั้ยคะ อาจารย์?”
เครย์ลีบันยักไหล่ไม่ยี่หระให้กับคำพูดของเธอ
“ไม่ทราบสิครับ คุณหนูอาจจะพิเศษไปหน่อยละมั้งครับ”
“เหรอคะ”
เครย์ลีบันไม่ตอบอะไรอีก เขาเดินนำหน้าออกไปก่อน
แต่ก็ไม่ได้เดินห่างออกไปคนเดียวจนเธอตามหลังไม่ทัน
เขาเอามือไขว้หลัง เดินอย่างเชื่องช้าด้วยท่วงท่าราวกับออกมาเดินเล่น
มันเป็นความเอาใจใส่เพื่อเธอที่ไม่สามารถเดินด้วยความเร็วเท่ากับผู้ใหญ่ได้
ดูสิ
คนคนนี้เป็นคนใจดีขนาดนี้เชียวนะ
“หาว”
ตั้งใจจะอดกลั้นเอาไว้ แต่สุดท้ายก็หลุดหาวออกไปจนได้
เธอซับน้ำตาที่หางตาไปพลาง มองคนสองคนที่กำลังประชุมกันอย่างแข็งขัน
“แต่ถ้าทำเช่นนั้น มันจะกลายเป็นว่าไม่ใช่กิจการที่เล็งเป้าหมายไปที่สามัญชนไม่ใช่หรือครับ”
ท่านพ่อพูดกับเครย์ลีบันด้วยความรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจนัก
“ราคาประมาณนี้ เป็นราคาที่สามัญชนกลุ่มที่พอจะมีเงินก็สามารถรับมือได้อยู่ครับ”
เครย์ลีบันเอ่ยตอบเสียงเรียบ
“ใช่แล้วละครับ เป็นราคาที่มีแต่คนมีเงินเท่านั้นที่สามารถซื้อได้ยังไงล่ะครับ นั่นแหละคือที่ข้าต้องการจะสื่อครับ”
“จุดเด่นของกิจการนี้ไม่ใช่เรื่องราคา แต่เป็นคุณภาพต่างหากล่ะครับ คุณภาพ”
“ต่อให้เป็นสินค้าคุณภาพดีแค่ไหน ถ้าหากผู้คนไม่สามารถซื้อได้ มันจะไปมีประโยชน์อะไรกันล่ะครับ”
การประชุมดำเนินไปได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่เนื้อหากลับวนอยู่กับที่
ตอนแรกเธอเองก็ตกใจเหมือนกันว่าท่านพ่อเป็นคนที่กระตือรือร้นกับสิ่งใดได้ขนาดนั้นเชียวหรือเนี่ย
และ
ท่านพ่อที่จนถึงเวลาก่อนเริ่มการประชุมยังดูกลัวเครย์ลีบันอยู่เลย จู่ๆ กลับโยนภาพลักษณ์เช่นนั้นทิ้งไป แถมยังถกเถียงกับเครย์ลีบันอย่างถึงพริกถึงขิง
ถ้าหากท่านพ่อเป็นไฟ เครย์ลีบันก็เป็นเหมือนน้ำแข็ง
เขาท้วงติงด้วยการสาดน้ำเย็นลงบนไอเดียของท่านพ่อที่กำลังลุกเป็นไฟด้วยความนิ่งสงบและหนักแน่น
แน่นอน เพราะอย่างนั้นทั้งสองคนจึงดูแล้วเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี
ในระหว่างที่เธอเท้าคางลงบนโต๊ะ ใช้ปลายนิ้วเขี่ยเศษขนมไปมา ท่านพ่อกับเครย์ลีบันเองก็เริ่มเข้าสู่ภาวะสงบศึก
“พักกันสักครู่เถอะครับ”
“ฮู่ว”
ใบหน้าของท่านพ่อที่ถอนหายใจพลางนวดรอบนัยน์ตาดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
เธอเดินเข้าไปใกล้ เอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง
“พ่อ เป็นอะไรมั้ยคะ”
ท่านพ่อยิ้มระโหยตอบคำถามของเธอ ก่อนจะส่งเสียงดัง ‘ฮัดช่า’ พร้อมกับอุ้มเธอขึ้นนั่งบนตัก
“เทีย”
“คะ?”
“พ่อจะทำได้ดีมั้ยนะ”
ก็นะ กิจการที่กำลังทำอยู่ตอนนี้เองก็เป็นงานที่แตกต่างจากนิสัยของท่านพ่อโดยสิ้นเชิงอยู่เหมือนกัน
ธุรกิจผ้าฝ้ายโคโรอีเมื่อคราวก่อนเองก็เช่นกัน นิสัยที่สร้างขึ้นจากการทำเรื่องทั้งหมดนั่นมันถือเป็นการปฏิวัตินิสัยดั้งเดิมของท่านพ่อเลยทีเดียว
ทว่าครั้งนี้มันต่างกัน
ธุรกิจนี้เป็นงานที่ท่านพ่อจะเป็นผู้นำตั้งแต่เริ่มยันจบ
เงินลงทุนเองก็เช่นกัน
ไม่ใช่เงินที่ติดป้ายลอมบาร์เดีย แต่เป็นเงินส่วนตัวที่แคลอฮันเก็บออมมาโดยตลอด
แน่นอนว่าเพราะเขาเป็นคนของลอมบาร์เดียที่ต่อให้กิจการครั้งนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ก็ยังใช้ชีวิตกินอยู่ได้อย่างสะดวกสบายไปตลอดชีวิตถึงมันจะเป็นกิจการที่เขาทุ่มทั้งหน้าตักก็เถอะ
“พ่อ สู้ๆ นะคะ”
ถึงแม้จะเป็นแค่คำพูดทั่วไปที่ใช้ปลอบคนเวลาเจอเรื่องยุ่งยาก แต่เธอก็ตบไหล่ท่านพ่อเบาๆ ด้วยความจริงใจ
“เสื้อผ้าที่ตัดเย็บไว้ล่วงหน้าให้คนได้ซื้อใส่เนี่ย มันเท่สุดๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอคะ! ”
เธอตั้งใจชูมือทั้งสองข้างขึ้นสูง ตะโกนเสียงดังโอ้อวดเกินจริง
ใช่แล้วละ
ธุรกิจที่ท่านพ่อวางแผนไว้ตอนนี้ พูดง่ายๆ ก็คือ ‘กิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูป’ นั่นเอง
เห็นว่าเป็นไอเดียที่นึกขึ้นได้เมื่อตอนที่ทำกิจการผ้าฝ้ายโคโรอีเมื่อคราวก่อน แล้วต้องเอาผลิตสินค้าตัวอย่างสำหรับโฆษณาไปแจกจ่ายให้พวกชนชั้นสูง
คิดเสียว่ามันเป็นแค่ร้านเสื้อผ้าทั่วไปก็ได้ แต่เรื่องสำคัญก็คือ โลกใบนี้ยังไม่มีคอนเซ็ปต์อย่าง ‘เสื้อผ้าสำเร็จรูป’ น่ะสิ
คนที่นี่ปกติแล้วจะไปยังห้องเสื้อเพื่อตัดเย็บเสื้อผ้าให้เข้ากับตัวเองมากกว่า
มันเป็นระบบที่สะดวกสำหรับคนที่ตั้งใจไปเพื่อซื้อเสื้อผ้าอยู่เหมือนกัน
แค่แวะไปห้องเสื้อที่มีดีไซเนอร์มากประสบการณ์ มีช่างตัดเสื้อ ช่างตัดเย็บ และอุปกรณ์อย่างครบครัน ก็สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ในคราวเดียว
แค่ปรึกษากับดีไซเนอร์ว่าต้องการวัสดุแบบไหน ต้องการเสื้อผ้าแบบใด ก็สามารถผลิตเสื้อผ้าตามแบบที่ตนต้องการขึ้นมาได้แล้ว การตัดเย็บขึ้นมาโดยวัดขนาดให้เข้ากับร่างกายของตนเอง จึงไม่ได้กังวลถึงเรื่องรูปร่างด้วยเช่นกัน
แต่เพราะอย่างนั้นราคามันถึงได้แพงมาก
แม้แต่พวกชนชั้นสูงเอง หากไม่ใช่ตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวย ก็ยังดูแลเสื้อผ้าราวกับเป็นสิ่งของล้ำค่ากันทั้งนั้น
ยิ่งเดรสหรูหราประณีตระดับที่สามารถสวมใส่ไปร่วมงานเลี้ยงหรืองานสังคมได้ที่ต้องทุ่มเทเงินทองในการตัดเย็บยิ่งแล้วใหญ่
ขนาดชนชั้นสูงยังไม่อาจสั่งตัดเย็บเสื้อผ้าได้อย่างสบายใจ แล้วสามัญชนจะยิ่งขนาดไหนกันล่ะ
สามัญชนที่ไม่ได้ลำบากอะไรมากก็พอจะมีเงินแวะไปหาห้องเสื้อราคาถูกที่ตั้งขึ้นเพื่อสามัญชนเช่นกัน แต่ก็ยังมีกรณีของคนที่ตัดเย็บเสื้อผ้าเองที่บ้านอยู่ด้วย
เพราะต้องทอผ้าแล้วตัดเย็บมันขึ้นมา จึงได้เกิดเหตุการณ์หัวเราะไม่ออกอย่างคุณภาพของเสื้อผ้าคนในครอบครัวกลายเป็นตัวตัดสินฝีมือของผู้เป็นมารดาไปเสียได้
ไม่เพียงแค่นั้น ได้ยินว่าคนยากคนจนต่างก็กลัวว่าถ้าซักเสื้อผ้าบ่อยจะทำให้มันเปื่อยยุ่ย จึงไม่ค่อยกล้าซักผ้ากันบ่อยนัก
ในสถานการณ์แบบนี้ ไอเดียของท่านพ่อจึงเป็นการค้นพบใหม่จริงๆ
ตอนที่เธอได้ฟังครั้งแรก เธอก็คิดอยู่เหมือนกันว่าที่จริงแล้วท่านพ่อเป็นอัจฉริยะตัวจริงหรือเปล่า
การมองสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้วด้วยมุมมองอื่น มันเป็นเรื่องที่ยากกว่าที่คิด
ก็นะ แค่การที่เครย์ลีบันรีบกระโจนขึ้นเรือลำเดียวกันก็บอกทุกอย่างหมดแล้ว