เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 1 บทที่ 36.2
ท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ เวสตินหัวเราะเปลี่ยนบรรยากาศให้คนอื่นๆ อารมณ์ดีขึ้นไปพลาง ตบลงบนหลังมือของชานาเนสเบาๆ
ในบรรดาพี่น้อง ชานาเนสมีนิสัยแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้ามากที่สุด แต่เฉพาะกับสามีของนางเท่านั้น ที่นางจะแสดงภาพลักษณ์ด้านอ่อนหวานให้เห็น
ดูจากที่ตอนนี้เองก็เก็บสีหน้าเย็นชากลับไป และหัวเราะแสร้งทำเป็นเถียงสู้ไม่ไหว เอาแต่กินอาหารก็รู้ได้แล้ว
“ไม่มีอะไรให้ต้องโอ้อวดนักหรอก”
ในที่สุดรูลลักก็เปิดปากพูด
“หากมีเหตุผลที่สมควร ย่อมไม่มีเหตุผลให้ต้องห้ามไม่ให้เข้าออกคฤหาสน์ก่อนถึงวัยอยู่แล้ว อีกอย่าง จะเมินเฉยสาส์นของจักรพรรดินีก็ไม่ได้ด้วย”
ใบหน้าบูดบึ้งของเซรัลจึงค่อยมีรอยยิ้มจางผุดขึ้น
“อบรมแนะนำให้ดี อย่าให้เบเลซักก่อเรื่องทำอะไรผิดพลาดในพระราชวังเด็ดขาด”
“ครับ ท่านพ่อ”
เบเจอร์ยิ้มกว้างพลางเอ่ยตอบ
“รวมตัวกันรับประทานอาหารแบบนี้ วันนี้อาหารยิ่งดูจะอร่อยมากขึ้นกว่าเคยนะว่ามั้ยครับ ท่านพ่อ”
เวสตินฉีกยิ้มอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์ คลายบรรยากาศให้ผ่อนคลายลง
“อืม จริงด้วย”
“ต่อไปถ้าได้มารวมตัวกันแบบนี้บ่อยๆ ก็คงจะดีนะครับ! อ๊ะ แต่คงจะลำบากเพราะน้องเขยเล็กหรือเปล่าครับเนี่ย ฮ่าฮ่า!”
แคลอฮันที่นั่งทานอาหารอยู่เงียบๆ ในมุมหนึ่งของโต๊ะเบิกตากว้าง เมื่ออีกฝ่ายกล่าวอ้างถึงตน
“พูดถึงข้าหรือครับ”
“ช่วงนี้แทบจะไม่เจอหน้าน้องเขยเล็กเลยนะ! ”
“อา ขอโทษครับ…พอดีงานยุ่งไปหน่อย”
แคลอฮันโค้งศีรษะพลางเอ่ยพูด
“งานอะไรกัน”
“…พูดอะไรแบบนั้นคะ คุณ”
เบเจอร์แสยะยิ้มพูดเย้ยหยัน ส่วนเซรัลก็พูดแสร้งทำเป็นตำหนิสามี
ทั้งๆ ที่พูดแบบนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเซรัลเองก็ใช่ว่าจะถูกลบออกไปจากใบหน้า
“เห็นพูดไปทั่วว่าครั้งนี้จะสร้างร้านค้าอะไร เจ้าตั้งใจจะสร้างเรื่องอะไรกันแน่”
เบเจอร์เอ่ยถามราวกับต้องการสอบสวนแคลอฮัน
มันเป็นคำพูดเยาะเย้ยขนาดที่คนอื่นๆ ที่ได้ยินยังรู้สึกโมโหแทน แต่แคลอฮันกลับเอ่ยตอบด้วยความสงบนิ่ง
“ก็อย่างที่บอกน่ะครับ ตั้งใจจะเปิดร้านค้าเล็กๆ”
“โดยไม่มีการสนับสนุนจากตระกูล”
“ครับ ครั้งนี้ตั้งใจจะลองทำด้วยแรงของข้าเองน่ะครับ”
แคลอฮันกล่าวขอบคุณพ่อบ้านที่ช่วยเติมน้ำในแก้วของตน ก่อนจะตอบ
“เพราะฉะนั้นถึงได้จะไปขายของตามตลาดอย่างนั้นหรือ”
ในคำพูดของเบเจอร์มีเสียงหัวเราะเยาะเล็กๆ ผสมอยู่ด้วย
ทั้งเซรัล ทั้งลอเรนซ์กับภริยา ทั้งเวสตินเอง ต่างก็พากันหัวเราะตามไปด้วย
“เพราะเจ้าคนเดียว แคลอฮัน ช่วงนี้จะไปไหนข้าก็ไม่กล้าเงยหน้ามองคนอื่นแล้ว หากจะเปิดร้านค้าก็น่าจะเปิดที่เซดาคิวนาร์ให้มันเหมาะสมหน่อย แต่ตลาดเฮลสล็อตเนี่ยนะ…”
“หากเงินไม่พอ พวกเราให้ยืมเอามั้ยล่ะ”
ลอเรนซ์เอ่ยถามราวกับเป็นห่วงน้องชาย
“…ตอนนี้ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินหรอกครับ ไม่เป็นไรครับ ท่านพี่”
แต่มองจากใบหน้ายิ้มแย้มของทุกคนแล้ว บรรยากาศดูแล้วเหมือนกับพวกเขาไม่เชื่อคำพูดของแคลอฮันเลยแม้แต่น้อย
เซรัลเอ่ยแทรกขึ้นมา
“ถ้าต้องการที่ว่างสร้างร้านค้าในเซดาคิวราร์ ให้ข้าลองคุยกับที่บ้านให้มั้ยคะ ยังไงถ้าต้องการความช่วยเหลือก็บอกได้ตลอดเลยนะคะ ท่านแคลอฮัน”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”
“แต่ว่า…”
เซรัลลอบแลกเปลี่ยนสายตากับโรเนสภริยาของลอเรนซ์
ท่าทางพวกผู้หญิงจะเคยคุยกันเรื่องนี้มาก่อนแล้ว
เนื้อหาของบทสนทนาก็คาดเดาได้ง่ายมาก แคลอฮันจึงหัวเราะขมขื่น
“ต้องมีศักดิ์ศรีของลอมบาร์เดียบ้างสิ แต่นี่กลับทำธุรกิจกับพวกสามัญชนเนี่ยนะ”
เบเจอร์ตำหนิแคลอฮัน
“ตอนนี้บนท้องถนนถึงกับพูดคุยกันไปว่าทางบ้านเราละเลยเจ้าเกินไปหรือเปล่าอีกด้วย”
“เรื่องนั้นที่พูดกันนั้น…ไม่ทราบเลยครับ”
“คนที่ไม่ได้เฉียดไปงานสังคมแม้แต่ปลายจมูกอย่างเจ้าจะไปรู้ได้ยังไงกัน ก็บอกแล้วแท้ๆ ว่าต่อให้ไม่มีที่ไหนเชิญตัวไป ก็ต้องโผล่หน้าออกไปให้คนอื่นเขาเห็นหน้าค่าตาบ้าง…”
ฟังผิวเผินอาจจะดูเหมือนเสียงพร่ำบ่นเพราะเป็นห่วงน้องชาย แต่สุดท้ายมันก็แค่คำพูดดูถูกแคลอฮัน และเยินยอตัวเองว่ามีชื่อเสียงในแวดวงสังคมเท่านั้นเอง
“กิจการรีดไถเศษเงินจากพวกสามัญชนน่ะ คิดดูใหม่อีกครั้งดีกว่านะ แคลอฮัน”
เบเจอร์เดาะลิ้นจิ๊จ๊ะในลำคอเป็นการปิดท้ายพลางพูดท่าทางนั้นเป็นการเมินเฉยแคลอฮันอย่างสิ้นเชิง
แคลอฮันสมควรที่จะโกรธเคืองเบเจอร์ที่ทำท่าเช่นนั้นแต่เขากลับทำเพียงแค่นั่งดื่มเหล้าด้วยใบหน้าแปลกพิกลเท่านั้น
เบเจอร์กับลอเรนซ์หัวเราะ เมื่อคิดว่าแคลอฮันคงจะทำเช่นนั้นเพราะเถียงไม่ออกเป็นแน่แต่แล้วในตอนนั้นเอง
รูลลักใช้ผ้าเช็ดริมฝีปากหลังจากที่ทานอาหารเสร็จ ก่อนจะโยนคำพูดประโยคหนึ่งออกไป
“ข้าจะคอยดูนะ แคลอฮัน”
แค่นั้นแคลอฮันเองก็ตกใจแล้วถึงขนาดหยุดชะงักมือที่กำลังวางแก้วลง
ในขณะเดียวกันใบหน้าของเบเจอร์กลับบิดเบี้ยว
มันขึ้นอยู่กับว่าจะตีความแบบไหน อาจจะฟังแล้วตีความกันไปคนละความหมายเลยก็ได้ แต่เบเจอร์กลับมองบิดาด้วยนัยน์ตาลุกโชนราวกับพร้อมที่จะพ่นไฟออกมาได้ทุกเมื่อ
คำพูดนั้นมันราวกับจะบอกว่า คาดหวังในตัวแคลอฮันไม่ใช่หรือไงกัน
รู้สึกราวกับถูกบิดาที่ไม่เคยแสดงท่าทีแบบนั้นให้ตนเห็นหักหลังกันอย่างไรอย่างนั้น
แคลอฮันเหม่อมองรูลลักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยเสียงหนักแน่น
“ครับ ท่านพ่อ จะพยายามเต็มที่เลยครับ”
หลังจากนั้นบทสนทนาที่นำโดยเวสตินก็เริ่มต้นอีกครั้ง แต่มันก็มีแต่คำพูดพล่ามไร้สาระเท่านั้น
เบเจอร์ไม่อาจเก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ได้ จึงเอาแต่ยกเหล้าดื่ม ส่วนแคลอฮันก็ได้แต่นั่งนิ่งด้วยใบหน้าที่เอาแต่ครุ่นคิดอะไรบางอย่างเป็นครั้งคราว
คนที่กำลังฟังบทสนทนาจากโต๊ะของพวกผู้ใหญ่ไม่ได้มีแค่ฟีเรนเทียคนเดียว
คำพูดทั้งหลายแหล่ที่เมินเฉยท่านพ่อ ทำให้สองแฝดที่นั่งประกบข้างเธอเอาแต่ยุ่งอยู่กับการลอบสังเกตสีหน้าของเธอ ส่วนเบเลซักนั้นกำลังยุ่งอยู่กับการหัวเราะคิกคักอยู่กับอาสทัลลีอูที่นั่งอยู่ข้างเขา
“เทีย ไม่เป็นไรนะ”
ลาลาเน่ที่กำลังดูแลบีชีเย่น้องสาวของอาสทัลลีอูที่ยังเล็กมากก็เอ่ยถามเธอด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน
“อะไรเหรอ”
“เปล่า คือว่า…”
ลาลาเน่ละคำพูดด้วยความระมัดระวัง
“ข้าไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย อ๊ะ อร่อยจัง ต้องขอเพิ่มแล้วละ”
ฟีเรนเทียจิ้มเนื้อสีเหลืองทองไร้มันพลางเอ่ยพูด เพราะเธอไม่ได้รู้สึกอะไรเลยจริงๆ นะ
ไม่สิ ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเสียมากกว่าด้วยซ้ำ
อยากให้เวลารีบๆ ผ่านไปไวๆ จัง
เธออยากรู้จะตายอยู่แล้ว ว่าหลังจากที่ร้านของท่านพ่อเปิดให้บริการคนพวกนั้นจะทำหน้าแบบไหนกัน
“คิกๆ”
เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังออกมาจากปากของเธอ