เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 1 บทที่ 37.1
บทที่ 37
ช่วงนี้มีเรื่องหนึ่งที่กลายเป็นหัวข้อสนทนาในตลาดเฮลสล็อต
มันคืออาคารสีเขียวขนาดใหญ่ซึ่งตั้งขึ้นบนถนนสายหลักของเฮลสล็อตนั่นเอง
สีเขียวราคาแพงถูกทาทั่วอาคารหลังใหญ่
เดิมทีตำแหน่งที่ตั้งนี้เป็นเพียงแค่ตึกเก่าๆ แต่อาคารขนาดสี่ชั้นที่ถูกปรับปรุงขึ้นใหม่กลับกำลังโอ้อวดการตกแต่งภายนอกที่แสนจะหรูหราจนไม่เข้ากับตลาดแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้นผู้คนที่มาใช้บริการตลาดจึงพูดกันไปต่างๆ นานาว่าอาคารแบบนี้จะเอามาใช้ทำอะไรกันแน่
ใครบางคนกล่าวว่าตึกหรูนั่นจะเอามาเปิดเป็นร้านเหล้าชั้นสูง ใครบางคนกล่าวว่ามันจะถูกเอามาเปิดเป็นโรงแรมหรู
จุดที่เหมือนกันของความเห็นหลากหลายก็คือ ทุกคนต่างก็คาดเดาว่าจะต้องเป็นสถานที่ที่ขายของราคาแพงหูฉี่แน่นอน
และวันนี้ ในที่สุดป้ายขนาดใหญ่ก็ถูกแขวนขึ้นบนอาคารดังกล่าว
<ร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮัน>
ผู้คนที่เดินกันให้วุ่นอยู่บนถนนต่างก็ลดระดับฝีเท้า เหลียวมองป้ายนั่นกันทีละคนสองคน
ป้ายที่ถูกเขียนด้วยลายมือสวยหรูพอๆ กันกับการตกแต่งภายนอกของอาคาร ดูแล้วเหมาะกับย่านเซดาคิวนาร์ซึ่งเป็นแหล่งพื้นที่ของพวกชนชั้นสูงเสียมากกว่า
“ร้านขายเสื้อผ้า?”
แฮนสันซึ่งเปิดร้านขายผลไม้ขนาดใหญ่อยู่ในละแวกนั้นเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านมันวาวพลางเอ่ยพึมพำ
“เขียนคำว่าห้องเสื้อผิดไปหรือเปล่านะ”
โรเบิร์ตผู้เปิดร้านขนมปังอยู่ข้างร้านของแฮนสันเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอ่ยพูด
“นั่นสิ ถ้าเป็นห้องเสื้อก็น่าจะเขียนว่าห้องเสื้อสิ ร้านขายเสื้อผ้านี่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเลยนะ”
“ข้าจะไปรู้ได้ไงเล่า”
โรเบิร์ตพร่ำบ่น เขาไม่ชอบใจไอ้ตึกแวววาวเป็นประกายที่ตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางตึกเก่าๆ นี่เอาเสียเลย
“แต่ตึกใหญ่แบบนั้นจะเอามาใช้เป็นห้องเสื้อทั้งตึกเลยเหรอ”
มากาเร็ตเจ้าของร้านขายถ้วยชามซึ่งตั้งอยู่ข้างตึกร้านขายเสื้อผ้าเองก็เข้ามาร่วมวงสนทนาของพวกผู้ชาย ในขณะที่เอ่ยถามไปด้วย
“ห้องเสื้อใหญ่แบบนี้ก็น่าจะไปตั้งที่เซดาคิวนาร์สิ มาตั้งที่เฮลสล็อตแล้วใครมันจะไปเข้าล่ะ”
คนอื่นๆ ต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดของเฮลสันแต่ถึงจะบอกแบบนั้น พวกเขาก็ไม่อาจละสายตาห่างไปจากอาคารสีเขียวเข้มนี้ได้เลย
ในตอนนั้นเอง ประตูร้านขายเสื้อผ้าที่ถูกปิดแน่นก็ถูกเปิดออก ก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งจะเอ่ยทักทายเหล่าพ่อค้าแม่ค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะ!”
ถึงผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้แต่งตัวมากเป็นพิเศษแต่เธอกลับมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ทำให้คนอื่นที่เห็นนางกลับไม่อาจละสายตาออกห่างไปได้ อีกทั้งยังต้องรู้สึกเขินอายยามจ้องมองนางอีกด้วย
“ข้าชื่อไวโอเล็ต เป็นผู้จัดการของ ‘ร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮัน’ ค่ะ! ต่อไปก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ!”
เดิมทีเธอเป็นคนกลางที่คอยช่วยดูแลผ้าทอของกลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย และครั้งนี้ก็ได้ถูกเครย์ลีบันทาบทามให้ย้ายงานมาประจำที่นี่
ไวโอเล็ตเคยทำงานรับมือกับพวกพ่อค้าผ้าที่เดินทางกันมาจากทั่วอาณาจักรคนนี้ งานที่ต้องพบปะผู้คนอย่างงานนี้จึงถือว่าเป็นงานที่คุ้นเคยดีราวกับแค่หายใจเข้าออก
คำทักทายอย่างเป็นมิตรของไวโอเล็ตทำให้เหล่าพ่อค้าต่างก็พยักหน้า ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวกันทีละคน
และเฟลิช่านายหญิงของร้านขนมปังก็ไม่อาจเก็บซ่อนความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ได้ จึงเอ่ยถามไวโอเล็ตทันที
“ร้านขายเสื้อที่ว่านี่ เหมือนกับห้องเสื้อชั้นสูงเหรอคะ”
“พวกเราแตกต่างกับห้องเสื้อเล็กน้อยค่ะ คิดง่ายๆ ว่าขายเสื้อผ้าที่ตัดเย็บไว้แล้วล่วงหน้าก็ได้ค่ะ! ”
“สะ…เสื้อผ้าที่ตัดเย็บไว้ล่วงหน้าอย่างนั้นเหรอ”
ผู้คนต่างก็มองหน้ากันและกันด้วยความสับสน
ไวโอเล็ตยิ้มตอบอย่างสดใส คล้ายกับคุ้นชินกับปฏิกิริยาแบบนั้นดีอยู่แล้ว
“ร้านค้าจะเปิดในอีกสองวันให้หลังค่ะ ลองแวะมาดูสักครั้งนะคะ! สามารถหาซื้อเสื้อผ้ากันได้ในราคาไม่ถึงสองเหรียญเงินด้วยค่ะ!”
ผู้คนต่างก็กะพริบตาปริบๆ อยู่สองสามครั้ง ก่อนที่จะระเบิดหัวเราะเสียงวะฮ่าฮ่าออกมาดังลั่นเมื่อได้ยินคำพูดของนาง
“แม่หนูคนนี้นี่! เด็กสาวๆ นี่เล่นมุกกันเก่งจังเลยนะ!”
“สถานที่แบบนี้จะขายเสื้อผ้าตัวละสองเหรียญเงินได้ยังไงกัน! ขนาดไปห้องเสื้อราคาถูกยังต้องจ่ายหนึ่งเหรียญเงินกับอีกห้าสิบเหรียญทองแดงเลยนะ!”
“สมัยนี้ผ้าพับเดียวก็ปาเข้าไปตั้งหนึ่งเหรียญเงินแล้ว!”
ทว่าไวโอเล็ตกลับเอ่ยพูดด้วยใบหน้าจริงจัง
“จริงๆ นะคะ ลองมาดูวันเปิดร้านของพวกเราสิคะ แต่คงต้องรีบมากันหน่อยนะคะ แค่พริบตาคงจะขายหมดทั้งตึกเลยละค่ะ”
ท่าทางจริงจังของหญิงสาวทำให้ผู้คนที่หัวเราะจนท้องแข็งต่างก็เริ่มหยุดหัวเราะกันทีละคนสองคน
“จะ…จริงเหรอ”
“ค่ะ แน่นอนเลยค่ะ! ”
แต่ดูเหมือนทุกคนก็ยังคงมีสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ดี
ไวโอเล็ตยักไหล่ไม่ยี่หระ คิดว่าอย่างไรพอถึงวันเปิดร้าน ทุกคนก็จะได้รู้เองนั่นแหละ
แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะไหว้วานอีกครั้งเป็นการทิ้งท้าย
“อย่าลืมกระจายข่าวให้คนอื่นๆ รอบๆ ได้ทราบกันด้วยนะคะ! ‘ร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮัน’ ของพวกเราจะเปิดให้บริการอีกสองวันให้หลังค่ะ!”
วันนี้เป็นวันที่มีคลาสเรียน
และยังมีอีกอย่างที่สำคัญ
เพราะวันนี้เป็นวันที่ร้านขายเสื้อผ้าในนามของท่านพ่อจะเปิดให้บริการที่ตลาดเฮลสล็อตด้วยเช่นกัน
ท่านพ่อตื่นเต้นมากเสียจนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน แน่นอนว่าท่านก็ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนฟีเรนเทียก็ตื่นขึ้นมารับประทานอาหารเช้าง่ายๆ เพียงลำพัง แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังห้องเรียนเช้ากว่าปกติเล็กน้อย
เธอได้รับแจ้งมาว่า คลาสเรียนวันนี้จะถูกเลื่อนเข้ามาให้เช้าขึ้น เนื่องจากตารางงานของเครย์ลีบัน
บางทีคงตั้งใจว่าช่วงบ่ายจะแวะไปห้องเสื้อเพื่อสำรวจสถานการณ์นั่นแหละ
ฟีเรนเทียเดินผ่านเส้นทางที่ตอนนี้คุ้นกับมันเป็นอย่างดี แล้วเปิดประตูห้องเรียนออก
แต่ในห้องเรียนกลับว่างเปล่า สำหรับสองแฝดกับเบเลซักนั่นเธอไม่ได้สนใจเป็นพิเศษทว่าห้องเรียนกลับว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งลาลาเน่ที่มักจะมาก่อนใครและนั่งอ่านหนังสือรอทุกคน
“ข้ามาคนแรกเหรอ”
เป็นเรื่องที่หาได้ยากทีเดียว
เธอเดินเข้าไปจับจองที่นั่งในห้องเรียนโดยที่ไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไรมากมาย
มันคือที่นั่งตำแหน่งที่เธอมักจะนั่งอยู่กับสองแฝดเป็นประจำ
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงประตูห้องเรียนถูกเปิดออกอีกครั้ง
“สวัสดีค่ะ อาจารย์!”
เธอส่งยิ้มกว้างไปให้เครย์ลีบัน
มันเป็นแค่รอยยิ้มทางธุรกิจ
ถ้าหากเธอยิ้มให้แบบนี้ ปกติแล้วเครย์ลีบันจะยิ้มตอบกลับมาแบบเดียวกัน
แต่วันนี้มันมีอะไรบางอย่างดูแตกต่างออกไป
เขายังคงยิ้มเหมือนที่เคยราวกับติดเป็นนิสัย แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับจ้องเธอนิ่งไม่กะพริบตา
“อาจารย์ มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
เครย์ลีบันเดินเข้ามาใกล้บริเวณที่เธอนั่งอยู่ ก่อนจะหยิบกระปุกใบเล็กออกมาจากอกเสื้อ แล้ววางมันลงตรงหน้าเธอ
“รู้จักสินค้าตัวนี้ที่เรียกว่ายาขี้ผึ้งลอมบาร์เดีย ซึ่งช่วงนี้กำลังขายดีเป็นเทน้ำเทท่ามั้ยครับ”
“อืม…”
ไม่รู้จะตอบยังไงดี
มันคือยาขี้ผึ้งที่เธอลงมือเคลื่อนไหวต่อรองกับท่านปู่ด้วยตัวเอง เพื่อให้ได้ใบแนะนำมา
อีกอย่างได้ยินว่ามันเป็นสินค้าที่ท่านปู่ถึงกับเรียกตัวบรรดาลูกน้องใต้บังคับบัญชาของลอมบาร์เดียมาโอ้อวดว่าเป็นสินค้าที่เธอทำขึ้นอีกด้วย
ดังนั้นถ้าจะตอบออกไปว่า ‘รู้จักดี’ ก็น่าจะโอเค
แต่เพราะไม่อาจรู้จุดประสงค์คำถามของเครย์ลีบัน มันเลยทำให้เธอลังเลขึ้นมา
เธอเหม่อมองเขาครู่หนึ่งแทนคำตอบ
นัยน์ตาสีอ่อนคล้ายสีท้องฟ้าของเครย์ลีบันมองสบสายตาของเธอตรงๆ
“…ถ้าอย่างนั้นข้าขอกล่าวความคิดของข้าก่อนก็แล้วกันครับ”