เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 1 บทที่ 38.2
เครย์ลีบัน เพลเลส ถึงกับเปิดเผยบาดแผลของตัวเองออกมาให้เห็น ทั้งยังบอกว่าอยากเป็นคนของเธอ ย่อมไม่มีเหตุผลใดให้เธอผลักไสเขา
ไม่สิ ถ้าไม่บ้า เธอก็คงไม่ผลักไสเขาออกไปแน่
เครย์ลีบันคนนี้จะกลายเป็นหูเป็นตาให้แก่เธอที่ยังเด็กและไม่อาจเข้าออกคฤหาสน์ได้อย่างอิสระ จะกลายเป็นปาก รวมถึงเป็นแขนและขาให้เธอ
และต่อไป เขาจะกลายเป็นหน้ากากของเธอ จนกว่าเธอจะบรรลุนิติภาวะ
“หากจะทำตามพวกเรื่องที่ข้าจะทำในอนาคต มันอาจจะลำบากหน่อยก็ได้นะคะ”
นัยน์ตาสีฟ้าของเครย์ลีบันสั่นไหวราวกับเกิดแผ่นดินไหว
“และเหนือสิ่งอื่นใด…”
เธอถามเรื่องที่สำคัญที่สุดเป็นคำถามสุดท้าย
“เก็บความลับได้มั้ยคะ”
จนกว่าเธอจะเตรียมการพร้อม จะให้ใครหน้าไหนล่วงรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เธอจะทำไม่ได้เด็ดขาด
เธอจะต้องเป็นหลานสาวที่แค่ฉลาดเล็กน้อยของเจ้าตระกูลให้ได้นานที่สุดไประยะหนึ่งเท่าที่จะทำได้
เพื่อไม่ให้เบเจอร์รู้สึกถึงภัยอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา
เพื่อให้ในตอนที่ตระหนักขึ้นมาได้ เธอก็ยืนขวางหน้าเขาในทุกด้าน และยึดครองตำแหน่งเจ้าตระกูลคนต่อไปได้สำเร็จ
และเธอก็ได้เห็น
รอยยิ้มยินดีเหมือนเมื่อคราวก่อนที่ช่วยผูกริบบิ้นที่แขนเสื้อให้กับเธอ มันกำลังเบ่งบานอยู่บนใบหน้าของเครย์ลีบัน
“ต่อไปก็ขอฝากตัวด้วยนะคะ เครย์ลีบัน”
คำเรียกที่เปลี่ยนไปของเธอ ทำให้ไหล่ของเครย์ลีบันสั่นเทาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะประทับริมฝีปากจุมพิตลงบนหลังมือของเธอด้วยความระมัดระวัง
“ข้าเชื่อและขอติดตามคุณหนูครับ”
ไม่จำเป็นต้องมีคำมั่นสัญญาโก้หรูหรือคำปฏิญาณตนใดๆ ทั้งนั้น
แค่ประโยคที่บอกว่าจะเชื่อและติดตามเธอ แค่คำนั้นประโยคเดียวมันก็เพียงพอแล้ว
ตอนนี้ก็สนทนากันจบแล้ว เธอจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง
พอเธอขยับตัว เครย์ลีบันเองก็รีบลุกขึ้นตาม
เธอสะบัดชายกระโปรงที่ยับเล็กน้อยให้เข้าที่เข้าทาง พลางเอ่ยพูดกับเครย์ลีบัน
“อีกสักพักก็แจ้งท่านปู่ด้วยนะคะ ว่าอยากจะลองให้ข้าเรียนเสริมเพิ่ม”
“เรียนเพิ่มหรือครับ”
ใบหน้านั้นราวกับจะถามว่า ‘ข้าสอนคุณหนูหรือครับ’
“จะแอบสนทนากับเครย์ลีบันแบบนี้ไปตลอดไม่ได้ไม่ใช่เหรอคะในอนาคตคงจะมีเรื่องให้ปรึกษาหารือกันมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่นะ”
แถมยังมากด้วย
“เพราะฉะนั้นช่วยบอกว่าจะจัดคลาสเรียนตัวต่อตัวให้ข้าตามจำเป็นบ้างเป็นครั้งคราวนะคะ บางทีท่านปู่ก็คงจะไม่คัดค้านอะไรหรอกค่ะ”
เผลอๆ จะหัวเราะชอบใจว่า ‘วะฮ่าฮ่าฮ่า!’ ด้วยซ้ำ
เธอปล่อยเครย์ลีบันที่เอาแต่ยืนเหม่อลอยไม่สมกับเป็นเขาทิ้งไว้ แล้วเดินตรงไปยังประตูเข้าออก
เปิดประตูออกไป ก็เห็นคนงานสองคนกำลังเดินตรงมาทางนี้จากไกลๆ
เธอหันหลังกลับ ตะโกนเสียงดังเพื่อให้พวกเขาได้ยิน
“ถ้าอย่างนั้นลานะคะ อาจารย์!”
ประสานมือไว้ที่ท้อง โค้งศีรษะคำนับกล่าวลา
พอเห็นเธอทำแบบนั้น เครย์ลีบันก็ตั้งสติได้ แล้วกล่าวลาตอบกลับ
“…กลับดีๆ นะครับ คุณหนูฟีเรนเทีย”
หลังจากส่งยิ้มกว้างให้อีกครั้งแทนความหมายว่ามาพยายามทำให้ดีกันเถอะ เธอก็เริ่มต้นออกเดินไปตามทาง
แต่ขนาดเธอมองเองยังรู้เลยว่าฝีเท้าที่ก้าวเดินของเธอมันกระโดดขึ้นลงไปมาถึงขนาดฮัมเพลงอีกด้วย
“ดีๆ”
ได้เครย์ลีบันมาเป็นพวกเร็วกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว
เอาละ งั้นคราวนี้จะทำอะไรต่อดีล่ะ
ภายในหัวสมองของเธอกำลังครุ่นคิดอย่างวุ่นวาย สร้างรายการสิ่งที่จะให้เครย์ลีบันเป็นคนออกหน้า ดำเนินเรื่องต่างๆ อย่างกิจการของท่านพ่อ หรือกลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…?”
โรเบิร์ตเจ้าของร้านขนมปังอ้าปากค้าง เบิกตากว้าง มองผู้คนมากมายที่ยืนต่อแถวอยู่หน้าร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮัน
แถวเริ่มตั้งแต่หน้าทางเข้าออกทอดยาวเลยผ่านหน้าร้านขายถ้วยชาม ลามไปจนถึงร้านถัดๆ ไป
คนที่ยืนต่อแถวเป็นผู้หญิงทั้งหมด แต่ทุกคนต่างก็มองส่องเข้าไปในร้านด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด
“เอาละๆ ทางเราได้เตรียมสินค้าไว้เยอะมาก เพราะฉะนั้นช่วยอดใจรอกันหน่อยนะคะ!”
หญิงสาวที่เมื่อคราวก่อนแนะนำตัวว่าชื่อไวโอเล็ต ป้องมือทั้งสองข้าง ตะโกนป่าวประกาศเสียงดัง
แต่ยิ่งสินค้าที่ถูกถือไว้ในมือของผู้คนที่ออกมาจากร้านค้ามากขึ้นเท่าไหร่ ใบหน้าของผู้คนที่กำลังยืนรอก็ยิ่งเปลี่ยนสีหน้าเป็นจะร้องไห้กันอยู่รอมร่อ
ในตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็วิ่งออกมาจากร้านค้าที่กำลังยุ่งวุ่นวาย
“ผู้จัดการ!”
ชายหนุ่มผิวขาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลทองแดงเหลือบมองสายตาของผู้คนที่ยืนต่อแถวกันอยู่ ก่อนที่จะเข้าไปหาไวโอเล็ต แล้วเอ่ยพูดในทันที
“ท่าทางคงจะต้องจำกัดจำนวนต่อคนแล้วละครับ ปล่อยไว้แบบนี้สินค้าที่เตรียมไว้คงได้ขายหมดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงแน่ครับ”
“เหรอ ช่วยไม่ได้สินะ เอาตามนั้นก็แล้วกัน”
คาดการณ์เอาไว้แล้วก็จริงว่าคงจะได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม แต่กระแสตอบรับกลับถล่มทลายขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย
ไม่นึกเลยว่าจะถึงขนาดต้องจำกัดจำนวนที่สามารถซื้อได้ต่อคน เพราะเสื้อผ้าที่เตรียมมาไว้ขายมีจำนวนไม่พอต่อความต้องการแต่ไม่ว่าจะเป็นไวโอเล็ตที่วิ่งวุ่นทั้งวันโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือพนักงานร้าน บนใบหน้าของทุกคนต่างก็มีแต่รอยยิ้มเบ่งบาน
ไวโอเล็ตสูดลมหายใจเข้าลึก ยกมือขึ้นป้องปากอีกครั้ง ตะโกนเสียงดังเพื่อให้คนที่อยู่ปลายแถวได้ยิน
“เพื่อให้ผู้คนมากมายได้มีโอกาสซื้อกันได้อย่างทั่วถึง หนึ่งคนสามารถซื้อได้แค่สองตัวเท่านั้นนะคะ! ขอให้เข้าใจกันด้วยค่ะ! หนึ่งคนต่อสองตัวค่ะ!”
คำพูดของนางทำให้ผู้คนที่โลภมากระเบิดความโมโหออกมา แต่คนที่ต่ออยู่ท้ายแถวกลับดีใจเป็นอย่างมาก
ถึงแม้พนักงานจะพยายามกันแล้ว วันแรกของการเปิดกิจการ สุดท้ายเสื้อผ้าทั้งหมดก็ถูกขายออกไปจนหมดก่อนเวลาปิดร้านหลายชั่วโมง ทำให้ร้านขายเสื้อผ้าต้องปิดประตูร้านเร็วกว่ากำหนด
ความนิยมของร้านขายเสื้อผ้าที่เกิดขึ้น ทั้งวันต่อมา วันถัดไป ก็ยังคงมีแต่จะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีวี่แววว่าจะซาลงเลยแม้แต่น้อย