เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 1 บทที่ 4.2
“เบเลซักปฏิเสธว่าข้าไม่ใช่ลอมบาร์เดียค่ะ ข้าจึงไม่อาจอดทนได้”
“ไม่ใช่เพราะล้อว่าเจ้าชั้นต่ำ แต่เป็นเพราะบอกว่าเจ้าไม่ใช่ลอมบาร์เดีย ถึงได้ตบตีอย่างนั้นหรือ”
“ค่ะ”
เธอพยักหน้าตอบ หลังจากนั้นก็ตั้งใจพูดเสริมต่ออีกหนึ่งคำ
“ท่านปู่”
หมายความว่า ‘ข้าเองก็เป็นหลานของท่านปู่นะคะ’
อยากจะบอกออกไปว่าเธอเองก็มีสิทธิ์มากเท่าๆ กับเบเลซักที่จะเรียกท่านว่าปู่
และในตอนนั้นเองเธอก็ได้เห็นว่าบนใบหน้านิ่งของท่านปู่ที่ดูเหมือนโกรธเคืองนั่น มีรอยยิ้มจางพาดผ่าน
“เข่าไม่เจ็บหรือไง”
ในตอนนั้นเองถึงได้ก้มมองดูเข่าของตัวเองเมื่อได้ยินคำพูดของท่านปู่
เลือดไหลรินออกมาจากตรงตำแหน่งที่ล้มกระแทก
“เจ็บสิคะ”
“แต่ไม่ร้องไห้เลยนะ เป็นเด็กขี้แยขนาดนั้นแท้ๆ”
คำพูดนี้ของท่านปู่ทำให้เธอแทบอยากกรีดร้องหาพระเจ้า
ฟีเรนเทียที่เคยเป็นเด็กขี้แยจนถึงเมื่อวานนี้ จู่ๆ ดันเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ท่านปู่จะคิดว่ามันแปลกหรือเปล่า
เธอตื่นตระหนกเล็กน้อยรีบตอบกลับไป
“ร้องค่ะ พูดเรื่องที่อยากพูดจบแล้ว ก็จะกลับไปร้องที่ห้องค่ะ”
“หึ”
ได้ยินเสียงท่านพ่อหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นเหนือศีรษะ
ในขณะเดียวกันบรรยากาศตึงเครียดก็เริ่มคลายตัวลง
โล่งอกไปที
เธอแอบลอบถอนหายใจไม่ให้ใครเห็น
เพื่อที่เธอจะได้กลายเป็นเจ้าตระกูล สิ่งแรกที่ต้องทำให้ได้ก็คือ การได้รับความไว้วางใจจากท่านปู่
ราชาแห่งลอมบาร์เดียคือ ท่านปู่
ตั้งแต่เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ของตระกูลไปจนถึงเรื่องผู้สืบทอด ทั้งหมดจะเป็นไปตามความตั้งใจของท่านปู่ทุกเรื่อง
พูดง่ายๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้รับความรักจากท่านปู่นั่นเอง
ถึงแม้เบเจอร์กับคนอื่นๆ ในตระกูลจะไม่พอใจในตัวเธอ แต่ถ้าหากเธอได้รับความรักจากท่านปู่แล้วละก็ พวกนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ในลอมบาร์เดียแห่งนี้ หากถูกท่านปู่เมินก็ไม่ต่างอะไรจากการตายไปจากสังคม
เรื่องที่ทะเลาะกับเบเลซักอาจจะเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่โชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี
กำลังกลุ้มใจอยู่เลยว่าจะเรียกร้องความสนใจจากท่านปู่ด้วยวิธีไหน ดูเหมือนว่าเธอจะได้ใช้โอกาสนี้ทำให้ท่านปู่ประทับใจเสียแล้วสิ
“คือว่า ท่านพ่อ ข้าคงจะต้องพาเทียไปรักษาบาดแผลแล้วละครับ”
ท่านพ่อเอ่ยพูดกับท่านปู่อย่างระมัดระวัง
“อืม ได้ เอาตามนั้น พาไปเถอะ”
เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ก็รีบหนีกันเถอะ
แต่แล้วในตอนที่เธอตั้งใจจะจับมือท่านพ่อ
“เดี๋ยวก่อน”
ท่านปู่ก็เอ่ยเรียกเธอไว้
อา อะไรอีกล่ะคะ
“ฟีเรนเทีย หนังสือนี่ของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
ท่านปู่หยิบหนังสือที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาส่งให้เธอพลางเอ่ยถาม
หนังสือเล่มหนาชื่อ <ผู้คนทางใต้> มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่หนังสือนิทานที่เด็กๆ อ่านมันเป็นหนังสือที่แพงและล้ำค่ามาก
ชั่วขณะเธอถึงกับผวาเฮือก เพราะเผลอลืมเรื่องหนังสือไปเสียสนิท และเธอก็รู้ด้วยว่าท่านปู่คิดยังไงกับคนที่สุ่มสี่สุ่มห้ามายุ่มย่ามกับหนังสือพวกนี้
เธอตั้งใจว่าจะยอมรับออกไปก่อน ในเมื่อท่านปู่ก็ทราบหมดแล้วว่าเธอใช้หนังสือเล่มนี้ตบตีไอ้เบเลซัก ยังไงก็ไม่มีรูให้เธอมุดหนีรอดไปได้อยู่แล้ว
“ค่ะ หนังสือของข้าเองค่ะ…”
เธอรับหนังสือกลับคืนมาด้วยมือสองข้างพลางเอ่ยตอบ
“ขออภัยค่ะ”
“หืม?”
ท่านปู่มองเธอแปลกๆ
อะไรกัน ไม่โกรธเหรอ
“ขอโทษเรื่องอะไรกันล่ะ”
“คือว่า เรื่องที่ยุ่งกับหนังสือแถมยังดูแลมันไม่ดี เพราะหนังสือเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดความรู้ ไม่ใช่ของที่จะเอามาตบตี ไม่สิ ไม่ใช่ของที่จะเอามาใช้ทำร้ายคนค่ะ”
“ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกว่าเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ใช่หรือ”
ความจำดีจังเลยนะคะ
เธอแสร้งทำเป็นใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ข้าคิดว่า การยอมรับในทันทีที่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดเป็นวิธีที่ดีค่ะ”
“ฮ่าฮ่า”
ท่านปู่ส่งเสียงที่เธอไม่แน่ใจว่าท่านกำลังหัวเราะอยู่ใช่หรือเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวกับท่านพ่อ
“รีบพาฟีเรนเทียไปหาหมอเถอะ”
ตระกูลลอมบาร์เดียมีหมอประจำตระกูลอยู่พวกเรามีโรงแพทย์เล็กๆ ที่เอาไว้ใช้สอนพวกลูกศิษย์โดยทางตระกูลเป็นผู้ให้การสนับสนุน ให้พวกเขาใช้มันทำการทดลองค้นคว้าไปพลางช่วยรักษาผู้คน
“ครับ ท่านพ่อ”
ท่านพ่อก้มลงมองหัวเข่าของเธอที่เลือดไหลซิบ ก่อนจะอุ้มตัวเธอขึ้น การที่ท่านพ่ออุ้มลูกสาวที่อายุเจ็ดขวบมันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สำหรับเธอที่มีจิตวิญญาณของผู้หญิงโตเต็มวัย การถูกคนอื่นอุ้มแบบนี้มันค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย
แถมอีกฝ่ายยังเป็นท่านพ่อที่เสียไปนานมากแล้วจนไม่สามารถพบหน้ากันได้อีกครั้งเสียด้วย
“แต่ท่านพ่อ! จะจบเรื่องนี้แบบนี้หรือครับ ฟีเรนเทียทำร้ายเบเลซักจนเจ็บหนักขนาดนี้เลยนะครับ!”
เบเจอร์ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ตะโกนเสียงสูงคล้ายกับรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
“ฟีเรนเทียจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้นะครับ! ”
แหม ไอ้งั่งนี่
เธอฝังใบหน้าลงบนไหล่ของท่านพ่อ พยายามอดกลั้นเอาไว้
ไม่ว่าจะตอนนี้หรือในอนาคต ก็ยังเป็นคนที่ไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้เหมือนเคยเลยนะ
“นี่เจ้ากำลังโต้เถียงคำตัดสินของข้าอย่างนั้นหรือ”
เสียงของท่านปู่กลับมาโหดเหี้ยมอีกครั้ง
“มะ…ไม่ใช่แบบนั้น…”
“เบเจอร์”
“…ครับ ท่านพ่อ”
“รู้จักอายบ้างเถอะ”
ท่านปู่ทิ้งเอาไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน
เบเจอร์ที่ถูกทิ้งไว้ได้แต่กัดฟันกรอด แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“ถ้าอย่างนั้นพวกข้าขอตัวก่อนนะครับ”
ท่านพ่อกล่าวลาทุกคนทั้งๆ ที่ยังอุ้มเธอเอาไว้
นึกว่าจะเดินออกไปทันทีเสียอีก แต่ท่านกลับหยุดชะงักตอนที่เดินผ่านข้างเบเจอร์ แล้วเอ่ยพูดอีกประโยค
“ท่านพี่ แค่เด็กๆ ทะเลาะกัน โวยวายเสียใหญ่โตเกินไปหรือเปล่าครับ”
“วะฮ่าฮ่า! ”
เธอรีบยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปากตัวเอง
ท่านพ่อแค่ตอบกลับไปเหมือนอย่างที่ลุงใหญ่เคยพูดทุกครั้งที่เบเลซักกลั่นแกล้งเธอเท่านั้นเอง
“แก!”
เบเจอร์โมโหจนไม่รู้จะทำยังไง แต่ท่านพ่อของเธอก็แค่ตีหน้านิ่งไม่รู้สึกรู้สาอะไร แล้วเดินผ่านไป
เธอโอบกอดรอบคอของท่านพ่อ หันหลังกลับไปมองเบเลซัก
ทันทีที่เด็กนั่นสบตาเธอไหล่ของเขาก็สั่นเทิ้มไปหมด
จากใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้ม เธอแสยะยิ้มชั่วร้าย ขยับปากพูดโดยไม่มีเสียง
‘เอา.ไว้.เจอ.กัน’
จู่ๆ เด็กที่นิ่งเงียบก็ระเบิดเสียงร้องไห้ดัง ‘ฮือออ’ แต่เธอไม่คิดที่จะสนใจหรอก เธอถูไถใบหน้าลงในอ้อมกอดของท่านพ่อที่แสนคิดถึง ดื่มด่ำกับช่วงเวลานี้
อา กลิ่นของท่านพ่อ หอมจัง