เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 1 บทที่ 41.2
“เทีย! เทีย!”
ใบหน้าของเมโลนกับคิลลีวูซีดจนเขียว
ใบหน้าเล็กขาวเนียนของฟีเรนเทียที่เปรอะท่วมไปด้วยเลือดสีแดงมันทำให้พวกเขารู้สึกราวกับหัวใจร่วงตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“เจ้า เบเลซัก เจ้า…”
เมโลนเอ่ยพูดด้วยนัยน์ตาน่ากลัว
เบเลซักกับอาสทัลลีอูผวาเฮือก พูดอะไรไม่ออก ได้แต่หลบสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นของเมโลน
“เมโลน! ต้องรีบพาเทียไปโรงแพทย์นะ!”
ถ้าหากตอนนั้นคิลลีวูไม่ตะโกนขึ้นมาแบบนั้น เมโลนคงจะหยิบดาบไม้ที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาตีอาสทัลลีอูกับเบเลซักเสียงดังให้หนำใจไปแล้ว เขาจะทำจนกว่าอีกฝ่ายจะอ้อนวอนบอกว่าจะไม่แตะต้องฟีเรนเทียอีกเป็นครั้งที่สอง
เมโลนถลึงตาจ้องทั้งสองคนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะอุ้มร่างของฟีเรนเทียที่นอนลู่ไร้เรี่ยวแรงขึ้นพิงหลังของคิลลีวู
“เร็ว ต้องรีบไป!”
คิลลีวูแบกฟีเรนเทีย ลุกขึ้นจากพื้น ร้องตะโกน
เมโลนเองก็ใช้มือข้างหนึ่งช่วยประคองหลังของฟีเรนเทียเอาไว้ แล้ววิ่งไปพร้อมกัน
“ฮึ่ย…เทียตัวเบามากเลย”
คิลลีวูที่แบกน้องสาวลูกพี่ลูกน้องขึ้นหลังกัดริมฝีปากล่างแน่นพลางเอ่ยพูดพึมพำ
ไม่รู้ว่านัยน์ตาทั้งสองข้างเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาตั้งแต่เมื่อไหร่
ทั้งๆ ที่ปกติแล้วนางเป็นคนที่ร่าเริงสดใสแท้ๆ บางครั้งอาจจะดูน่ากลัวไปบ้าง จนเหมือนพี่สาวที่อายุมากกว่าอยู่หลายปี
ถึงแม้ร่างกายจะเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกัน แต่ฟีเรนเทียที่ไร้เรี่ยวแรงให้เขาแบกอยู่บนหลังช่างเบาและอ่อนแอมากเหลือเกิน
ใบหน้าของเมโลนเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาบน้ำตาและน้ำมูกจนเละเทะไปหมด
“เบเลซัก ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่…”
เมโลนเองก็ดูจะคิดเหมือนกัน เขาจึงกัดฟันกรอดเอ่ยพูดเช่นนั้น
กว่าจะถึงโรงแพทย์ของดอกเตอร์โอมัลลี่ ทั้งสองคนไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้รู้สึกว่ามันไกลแบบนี้
เหล่าข้ารับใช้และเจ้าหน้าที่ในลอมบาร์เดียที่เห็นสองแฝดร้องไห้โฮ แบกฟีเรนเทียวิ่ง ต่างก็ตกใจจนหยุดชะงักฝีเท้า
แต่เด็กอายุสิบเอ็ดขวบทั้งสองคนกลับไม่มีใครทันได้คิดที่จะขอความช่วยเหลือจากพวกเขา ทั้งยังเค้นแรงที่มีทั้งหมดวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความตั้งใจว่าต้องพาฟีเรนเทียไปให้ถึงโรงแพทย์ให้ได้
“ดอกเตอร์โอมัลลี่ครับ!”
“ดอกเตอร์! เทียบาดเจ็บครับ!”
ทันทีที่มาถึงโรงแพทย์สองแฝดก็ตะโกนจนเส้นเสียงแทบแตก
ถึงขนาดที่ทำให้ดอกเตอร์โอมัลลี่ตกใจจนต้องวิ่งออกมาจากข้างในห้องทดลอง
“นี่มันเรื่องอะไรกัน…”
สภาพของฟีเรนเทียที่หมดสติถูกแบกขึ้นหลัง กับลูกชายฝาแฝดของชานาเนสที่ร้องไห้จนน้ำตาไหลติ๋งๆ ทำเอาดอกเตอร์โอมัลลี่รู้สึกราวกับหัวใจร่วงหล่นเสียงดังตึง
“รีบวางลงทางนี้เลยครับ”
ลูกชายฝาแฝดของชานาเนสที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาสี่บุตรชายบุตรสาวของเจ้าตระกูล กับลูกสาวเพียงคนเดียวของแคลอฮันที่ช่วงนี้กำลังเป็นที่ฮือฮาในเมือง
เมื่อคิดได้ว่าจะให้มีอะไรผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด ดอกเตอร์โอมัลลี่จึงขยับกายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
ดอกเตอร์โอมัลลี่สั่งให้สองแฝดถอยไปก่อน หลังจากนั้นจึงปิดม่านและตรวจอาการของฟีเรนเทียอย่างระมัดระวัง
จมูกไม่ได้หัก แต่มีรอยช้ำเล็กน้อย ดูแล้วไม่มีบาดแผลอื่นอีก ถึงเลือดกำเดาก็หยุดไหลไปแล้วแต่อย่างไรก็ต้องเผื่อไว้ก่อน ดอกเตอร์โอมัลลี่ปลดเสื้อผ้าของฟีเรนเทียออกเล็กน้อยเพื่อตรวจร่างกายโดยละเอียดจากนั้นเขาก็ถอนหายใจแผ่วเบาในขณะที่ช่วยติดกระดุมกลับคืนอีกรอบ
ไม่มีปัญหาอื่น อะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่จมูก ทำให้ศีรษะถูกกระทบกระเทือนเล็กน้อย เลือดจึงไหลออกมามากจนหมดสติไป
ในระหว่างนั้นก็ยังได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของสองแฝดดังแว่วเป็นระยะจากนอกผ้าม่าน
ดอกเตอร์โอมัลลี่ห่มผ้าให้ฟีเรนเทียแล้วเปิดม่านเดินออกมาข้างนอก
“เทียเป็นอะไรมั้ยครับ”
สองแฝดที่นั่งคร่อมอยู่บนเตียงคนไข้เตียงอื่นวิ่งเข้ามาถามด้วยความร้อนรน
“คุณหนูฟีเรนเทียจะไม่เป็นอะไรครับ ไม่ต้องกังวลมากนะครับ”
“อา…”
“โล่งอกไปที…”
คิลลีวูกับเมโลนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในขณะที่ใช้หลังมือเช็ดน้ำตา
แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น
พอความเครียดคลายตัวลง ทั้งสองคนก็เริ่มร้องไห้โฮเสียงดังอีกครั้ง
“ฮู่ว…”
ดอกเตอร์โอมัลลี่ลอบถอนหายใจเสียงแผ่วไม่ให้ใครได้ยิน ก่อนจะเรียกข้ารับใช้ สั่งให้ถ่ายทอดคำพูดออกไป
และไม่นานหลังจากนั้น
ปัง-!
ประตูบานเลื่อนห้องวิจัยถูกเปิดออกอย่างรุนแรงส่งเสียงดังสนั่น
คนที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าบึ้งตึงก็คือ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย รูลลัก
ดอกเตอร์โอมัลลี่ที่กำลังเขียนบันทึกการรักษาของฟีเรนเทียสะดุ้งตกใจลุกขึ้นจากที่นั่ง เขาเผลอจ้องหน้ารูลลัก ก่อนจะรีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ แต่หัวใจมันกลับเต้นโครมครามด้วยความกระวนกระวายใจ
บรรยากาศรอบตัวรูลลักที่ได้รับการติดต่อจึงมุ่งตรงมาที่นี่นั้นน่ากลัวมากถึงเพียงนั้น
ขนาดสองแฝดยังไม่กล้าส่งเสียงร้องสะอื้น ได้แต่ยืนนิ่งอยู่เงียบๆ
พอรูลลักเอามือไขว้หลังเดินเข้ามา ห้องรักษาพยาบาลที่ไม่ได้เล็กเลยแม้แต่น้อย ก็ให้ความรู้สึกแน่นเต็มห้อง
“เด็กไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
“ครับ คุณหนูฟีเรนเทียแค่พักสักครู่ ก็น่าจะตื่นขึ้นมาได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรครับ”
ดอกเตอร์โอมัลลี่รีบตอบอย่างรวดเร็ว
รูลลักมองสภาพหลานสาวที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง
สายตาหยุดอยู่ที่เดรสตัวเล็กที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดแห้งกรังเป็นสีคล้ำด้านหน้า
และผ่านไปไม่นาน ชานาเนสก็มาถึงด้วยสภาพหอบหายใจเล็กน้อย คงจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาเป็นแน่
“ท่านแม่!”
“แง! ”
สองแฝดวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดของชานาเนส เสียงร้องไห้ที่หยุดไปจึงระเบิดออกมาอีกครั้ง
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
ชานาเนสลูบหลังสองแฝดพลางเอ่ยถาม
“คือว่า…ฮึก เรียนฟันดาบเสร็จ กำลังไปหาเทีย แต่ตรงซอยแถวลานฝึก เบเลซัก…เบเลซัก…”
“เบเลซักกำลังตีเทียด้วยดาบไม้ครับ…ฮืออออ เพราะฉะนั้นพวกเราก็เลยวิ่งเข้าไปช่วย แต่เทีย เทียหมดสติไป…”
“ตีด้วย…ดาบไม้?”
ชานาเนสถามกลับด้วยความตกใจ
ชานาเนสทราบดีว่าเบเลซักไม่ชอบเทีย แต่การทะเลาะตบตีกันในหมู่ลูกพี่ลูกน้องกับการแกว่งดาบไม้ทำให้บาดเจ็บ มันเป็นคนละเรื่องกันเลย
“เพราะฉะนั้นพวกเราก็เลยตั้งใจจะตีเบเลซักบ้าง…แต่เทียห้ามไม่ให้ทำ ฮึก!”
“ทั้งๆ ที่กำลังจะสลบไป ก็ยังบอกไม่ให้พวกเราตีเบเลซัก…ตั้งหลายครั้ง…เบเลซักกลับทำแบบนั้นกับเทียที่ใจดีขนาดนี้ แง! ”
อารมณ์ที่ตีตื้นขึ้นมาเมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อตอนนั้น ทำให้สองแฝดร้องไห้เสียงดังโฮอีกครั้ง
“อืม”
ชานาเนสปลอบคู่แฝดที่ร้องไห้เช่นนั้น ในขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตสีหน้าของรูลลักไปด้วย
สู้ให้ระเบิดความโมโหออกมายังจะดีเสียกว่า
เวลาที่เงียบแบบนั้นทีไร ไม่เคยจบลงด้วยดีเลยสักครั้ง
ผิดไปจากที่คิดเสียที่ไหนล่ะ
รูลลักที่ยืนฟังเรื่องราวจากปากของเด็กแฝดอยู่เงียบๆ ออกคำสั่งกับข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างเสียงเรียบ
“ไปเรียกตัวเบเจอร์กับเบเลซักมาพบข้าที่ห้องทำงาน”