เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 1 บทที่ 6.2
หนังสือที่เสร็จสมบูรณ์ของท่านพ่อ สุดท้ายก็ถูกเก็บขึ้นชั้นหนังสือของท่านเท่านั้นแต่ถึงอย่างนั้นท่านพ่อของเธอก็ยังมีเงินทองมากพอที่จะซื้อลูกม้ากับแม่ม้าให้เป็นของขวัญวันเกิดอายุแปดขวบของลูกสาวได้
ว่าแล้วเชียว ลอมบาร์เดียน่ะ ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว
เธอเปิดหนังสืออ่าน ขณะนั่งห่างถัดๆ ออกมาจากท่านพ่อที่กำลังโฟกัสอยู่กับงานของตัวเอง และกำลังขีดเขียนอะไรบางอย่างอยู่
แน่นอนว่าฟีเรนเทียก็แค่เลียนแบบท่าทางการอ่านหนังสือเท่านั้นแหละเพราะเป้าหมายที่แท้จริงของเธอคืออย่างอื่น
‘มาลองเรียบเรียงความคิดกันสักครั้งเถอะ’
เธอต้องการเรียบเรียงเรื่องที่จะต้องทำในอนาคตให้เป็นระเบียบ
ที่จริงควรจะเขียนมันลงกระดาษถึงจะดีที่สุด แต่มันเสี่ยงเกินไปที่จะโดนใครบางคนอ่านเข้า แถมเวลาแบบนี้ต้องมาเกาะติดกับท่านพ่อตลอดทั้งวันนี่มันช่างยุ่งยากเสียจริง
เธอแสร้งทำท่าอ่านหนังสือ ในขณะที่จ้องมองหน้ากระดาษก็เลือกเรื่องที่เธอต้องทำเป็นอันดับแรกขึ้นมาในหัวก่อน
‘ต้องดึงดูดความสนใจจากท่านปู่ให้ได้’
ก่อนหน้าที่ท่านปู่จะเสีย ท่านมักจะถอนหายใจ แล้วพูดกับเธอว่าถ้าหากท่านได้รู้ความสามารถของเธอเร็วกว่านั้นสักหลายปีหน่อยละก็…แต่ถึงอย่างนั้นอนาคตของตระกูลก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี ต่อให้รู้ก่อนหน้านั้นหลายปี มันก็สายเกินไปแล้ว
สุดท้ายตำแหน่งผู้สืบทอดถูกมอบให้เบเจอร์ผู้เป็นบุตรชายคนโตไปแล้ว และตอนนั้นเบเลซักที่เป็นบุตรชายของเบเจอร์ก็บรรลุนิติภาวะแล้วด้วย หลานสาวนอกสมรสของบุตรชายคนที่สามที่ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการอย่างเธอ ต่อให้มีคุณสมบัติที่โดดเด่นแล้วจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้
เพราะเธอคือบุตรสาวเลือดผสมของบุตรชายคนที่สามที่ไร้อำนาจ ดังนั้นเพื่อที่จะแข่งขันกับคนพวกนั้น มันก็ไม่ต่างจากการที่เธอจะต้องก้าวข้ามผ่านภูเขาถึงสามลูกนี้ไปให้ได้
ทว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฟีเรนเทียต้องทำให้ท่านปู่เห็นว่าเธอมีความสามารถมากพอที่จะเป็นผู้นำตระกูล เพื่อให้ฐานะของเธอมั่นคง เธอจำเป็นที่จะต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบจากท่านปู่
‘แต่ถึงจะเป็นเรื่องของตระกูล ก็ใช่ว่าจะต้องพึ่งพาเฉพาะอำนาจภายในเท่านั้นเสียหน่อย’
เธอจะไม่เลือกวิธีการ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่คิดได้อีกเรื่องก็คือ เจ้าชายลำดับที่สอง
คนที่จะทำให้ตำแหน่งของเธอมั่นคงทั้งจากภายในและภายนอกตระกูล คนที่จะช่วยเสริมกำลังให้กับเธอแม้กระทั่งหลังจากเธอกลายเป็นเจ้าตระกูลก็คือเจ้าชายลำดับที่สอง
แน่นอนว่าเธอเองก็ตั้งใจที่จะให้ความช่วยเหลือเขาจนกว่าเขาจะได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทเช่นกัน
ไม่มีจักรพรรดิในอนาคตคนใดที่จะหันหลังให้กับลอมบาร์เดียที่ให้ความช่วยเหลือมากมาย ทั้งยังสั่งสมความไว้เนื้อเชื่อใจตั้งแต่ยังเด็ก บางทีพวกเราอาจจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ก็ได้
‘อา จะว่าไปก็ช่วงประมาณนี้หรือเปล่านะ’
เธอมองออกไปนอกหน้าต่างที่ฝนเริ่มตกโปรยปรายลงมา
มารดาของเฟเรส เจ้าชายลำดับที่สองจะเสียชีวิตลงในวันหนึ่งของฤดูฝนปีนี้
ได้ยินว่าถึงแม้จะคลอดโอรสของจักรพรรดิ แต่ด้วยการบีบบังคับของจักรพรรดินี ทำให้นางไม่อาจได้รับการรักษาที่สมควรจนสุดท้ายก็จากไป
เฟเรสที่อาฆาตแค้นกับเรื่องดังกล่าว หลังจากได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท เขาก็จัดการทำให้จักรพรรดินีล้มป่วยแบบเดียวกัน ทั้งยังสั่งห้ามไม่ให้แพทย์เข้าไปในวังของจักรพรรดินี
องค์รัชทายาทได้ยึดครองอำนาจแทนองค์จักรพรรดิที่อยู่ก้ำกึ่งระหว่างความเป็นความตาย เจ้าชายลำดับที่หนึ่งอย่างอาสทาน่าที่สมควรจะเป็นเกราะให้แก่มารดาก็ถูกขับไล่ให้ไปอยู่แนวหน้าของชายแดน จึงไม่มีใครสามารถขวางทางเขาได้
เจ้าชายผู้ไร้คนสนับสนุน ไม่มีใครเข้าหาคนนั้น กว่าที่จะขึ้นเป็นรัชทายาทได้ จะต้องลำบากกัดฟันทนมามากขนาดไหนกัน
ถ้าหากไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ก็คงไม่สามารถทำได้สำเร็จ
บางทีตอนนี้เฟเรสผู้สูญเสียมารดาไป ก็คงจะใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวไปวันๆ อยู่ละมั้ง
ถึงอยากจะโผล่ไปให้เห็นหน้าเห็นตา คอยช่วยปลอบโยนเขาอย่างที่ใจคิด แต่เธอไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ มันเป็นกฎที่ท่านปู่ตั้งขึ้น
บุตรหลานตระกูลลอมบาร์เดียไม่สามารถออกไปนอกคฤหาสน์ได้ จนกว่าจะถึงวันเกิดอายุครบสิบเอ็ดขวบ เว้นเสียแต่จะได้รับคำอนุญาตเป็นพิเศษจากเจ้าตระกูล ถึงจะสามารถเข้าออกคฤหาสน์ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันพวกอาชญากรที่เล็งเป้าหมายมาที่บุตรหลานของตระกูลลอมบาร์เดีย
‘เพราะฉะนั้นอดทนต่ออีกแค่นิดเดียว’
แต่เธอไม่คิดที่จะวางมือโดยไม่ทำอะไรจนกระทั่งอายุสิบเอ็ดขวบหรอก แต่ตอนนี้เป็นช่วงที่เธอต้องจดจ่ออยู่กับงานภายในตระกูล ส่วนเรื่องสร้างโอกาสในการเข้าสู่พระราชวังนั้นเป็นเรื่องถัดไป
ฟีเรนเทียเรียบเรียงความคิด เธอพลิกหน้ากระดาษหนังสืออีกครั้งไปพลางขุดความทรงจำในหัวสมอง
‘ช่วงประมาณนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นในลอมบาร์เดียบ้างนะ’
เมื่อต้องแบกรับภาระการงานของตระกูลอยู่หลายปี ต่อให้ไม่ชอบก็ต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของตระกูลอยู่ดี
แต่กรณีของเธอ เธอพยายามศึกษาเล่าเรียนเพราะความต้องการของตัวเอง
เมื่อปีที่เธออายุได้แปดขวบ จำได้ว่าที่ลอมบาร์เดียเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ แต่แล้วในตอนนั้นเองหูของเธอที่กำลังเค้นสมองใช้ความคิดอยู่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงไม่คุ้นหูของใครบางคน
“ท่านแคลอฮันอยู่มั้ยครับ”
เธอเคยได้ยินเสียงนี้เมื่อไหร่นะ
“ใครครับ”
ท่านพ่อเอียงคอด้วยความสงสัยในขณะที่เปิดประตูห้องรับรองออก
ใบหน้าที่เห็นผ่านประตูที่ถูกเปิดออกก็ทำให้เธอถึงกับตกตะลึง
บุคคลผู้ประสบความสำเร็จตัวจริง เขาเคยรับหน้าที่ดูแลกิจการของตระกูลลอมบาร์เดียแต่หลังจากท่านปู่เสียชีวิตก็ออกจากตระกูลไปเหมือนกับเธอ ก่อนจะก่อตั้งร้านค้าเพลเลสขึ้น และภายในระยะเวลาเพียงแค่สองปีก็พัฒนาจนมันยิ่งใหญ่ติดอันดับหนึ่งในห้าของอาณาจักรแลมบลู!
เครย์ลีบัน เพลเลสคนนั้นกำลังย่างเท้าเดินเข้ามาในห้องรับรองของพวกเรา