เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 45.2
“ท่านปู่ ข้ามาแล้วค่ะ!”
เพราะฟีเรนเทียได้ยินข่าวว่าท่านพ่อจะกลับมาช้าอีกแล้ว เธอจึงตัดสินใจจะกินมื้อเย็นกับสองแฝดและชานาเนส แต่ตอนที่กำลังจะรับประทานอาหารจู่ๆ พ่อบ้านก็มาหาเธอด้วยตัวเองโดยแจ้งว่าท่านปู่เรียกหาเธอให้ไปพบ
พอเข้ามาข้างในห้องทำงาน ก็เห็นว่ามีอาหารง่ายๆ ถูกเตรียมเอาไว้บนโต๊ะเหมือนเมื่อคราวก่อน
“เทียของปู่มาแล้วหรือ! ปู่เรียกมากินอาหารด้วยกันกับปู่คนนี้น่ะ!”
“ดีเลยค่ะ!”
ก็คิดอยู่ว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า
ท่าทางจะแค่อยากร่วมมื้อเย็นด้วยกันกับหลานสาวละมั้ง
แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย…คิดได้อย่างนั้นแล้วฟีเรนเทียจึงเดินเข้าไปนั่งลงข้างท่านปู่ ก่อนจะเริ่มลงมือกินอาหาร
“เอาละกินนี่ด้วยสิ นี่ด้วย”
ท่านปู่ดันจานอาหารน่าอร่อยหลายอย่างมาให้ตรงหน้าเธอพลางลูบศีรษะของเธอไปด้วย
“แหะๆ ท่านปู่เองก็กินด้วยสิคะ! อร่อยนะคะ!”
และในตอนที่เธอกำลังยัดเนื้อชิ้นใหญ่เข้าปากเป็นชิ้นที่สาม ท่านปู่ที่มองเธอด้วยความเอ็นดูก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ได้ยินมาว่าเทียของปู่มีเพื่อนใหม่ด้วยหรือ”
“เพื่อนเหรอคะ”
“ใช่แล้วละ ที่อยู่ในวัง”
เป็นเธอเผลอประมาทไปเองสินะที่คิดว่าท่านปู่คงแค่เรียกมากินมื้อเย็นด้วยเฉยๆ
เธอแสร้งทำเป็นเคี้ยวเนื้อให้ละเอียด ในขณะที่กลบเกลื่อนสีหน้าตื่นตระหนก
หากเป็นเด็กอายุแปดขวบทั่วไป จะแสดงสีหน้าแบบไหนเมื่อได้ยินคำถามแบบนี้จากปู่กันนะ
อึก
หลังจากกลืนเนื้อลงคอ ฟีเรนเทียจึงค่อยวางส้อมในมือลง
“เรื่องนั้นท่านปู่ทราบได้ยังไงเหรอคะ”
เธอเบิกตากว้าง พูดเสียงแหลมแสร้งทำเป็นว่าตกใจมาก
เด็กตัวเล็กๆ ย่อมยังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ซับซ้อนของพวกผู้ใหญ่
ทั้งเรื่องที่เธอเล่าเกี่ยวกับ ‘เพื่อนในวัง’ ให้แคทเธอรีนฟังเมื่อกลางวัน มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดถึงและความเป็นห่วงเพื่อน โดยไม่มีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝงทั้งสิ้น
เธอสะบัดหน้าหันหลังให้ท่านปู่อย่างแง่งอน
ท่านปู่ยิ้มพลางเอื้อมมือมาหยิกแก้มเธอเบาๆ โดยระวังไม่ให้เธอเจ็บ
“ได้ยินจากแคทเธอรีนน่ะ เล่าเรื่องเพื่อนที่ไม่เคยเล่าให้ปู่คนนี้ฟังแก่แคทเธอรีนเสียได้ รู้มั้ยว่าปู่เสียใจแค่ไหน”
ท่านปู่เองก็หัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่า ไม่มีสีหน้าต้องการจะเค้นดูจุดประสงค์ที่แท้จริงจากเธอในตอนที่ท่านพูดเช่นกัน
“งื้อ คือว่าเป็นเพื่อนที่ได้พบกันตอนหลงทางเมื่อตอนที่เข้าวังครั้งก่อนกับท่านพ่อน่ะค่ะ พอดีกลัวโดนดุก็เลย…”
“หลงทางอย่างนั้นหรือ”
ท่าทางท่านพ่อคงจะสั่งให้พวกผู้ดูแลปิดปากเงียบ
ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องแคร์จักรพรรดินีกับจักรพรรดิแบบนั้นเลยสักนิด
ท่านพ่อน่ะ ใจดีเกินไปแล้วจริงๆ
ปัญหาคือเธอเป็นคนใจดีแบบนั้นไม่ได้หรอก
“ค่ะ! จู่ๆ อัศวินน่ากลัวหลายคนก็มาสั่งให้จอดรถม้า สั่งให้ข้ากับพ่อลงจากรถค่ะ ทะเลาะกันกับพ่อที่กำลังโมโหเสียยกใหญ่! เพราะอย่างนั้นข้าเลยก็ต้องลงไปด้วยค่ะ เพราะกลัวมากเลย…”
“กล้ายุ่งกับคนของข้า…”
ดูเหมือนว่าท่านปู่จะรู้ได้ในทันทีที่ได้ยินว่าใครเป็นคนสั่งให้พวกนั้นกล้าทำเรื่องแบบนั้น
ท่านปู่กัดฟันกรอด แต่พอเห็นนัยน์ตากลมโตของเธอที่มองอยู่ ท่านก็กระแอมไอฮึ่มๆ แสร้งกลบเกลื่อนและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง
“แล้วเพื่อนเทียของปู่เป็นเด็กแบบไหนล่ะ เพื่อนอายุเท่าๆ กันกับเทียหรือ”
“ค่ะ! อายุมากกว่าข้าสามปีค่ะ! อ๊ะ แล้วก็มีผมกับตาสีแดงเหมือนกระต่ายเลยค่ะ!”
นัยน์ตาของท่านปู่ไม่ยิ้มอีกต่อไปแล้ว
เธอรีบพูดต่อทันที
“ตอนที่ข้าหลงทางในวัง เขาช่วยข้าไว้ค่ะ!”
“เหรอ เป็นเด็กใจดีจริงๆ นะ…”
“แต่เพื่อนคนนั้นเขาบอกว่าอยู่คนเดียวค่ะ ไม่มีทั้งแม่ ไม่มีทั้งพี่เลี้ยง อยู่ตัวคนเดียว ดูเหงาและโดดเดี่ยวมากเลยค่ะ ท่านปู่”
มือของท่านปู่ที่ลูบผมเธอหยุดชะงัก
“คนเดียว”
“ค่ะ! เพราะงั้นเลยบอกว่าอิจฉาข้าที่มีครอบครัวหลายคนค่ะ”
“นี่มันช่าง…”
แต่ปฏิกิริยาของท่านปู่กลับไม่ได้มีท่าทางอยากจะวิ่งตรงไปยังพระราชวังเสียเดี๋ยวนี้เหมือนอย่างที่เธอคิดไว้
ให้ตายเถอะ!
น้ำเสียงอาจจะดูสงสารอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่เธอรู้จักน้ำเสียงแบบนั้นของท่านปู่ดี
ท่านกำลังคิดอะไรอยู่มากมาย
บางทีคงจะได้ข้อมูลหลายอย่างมาจากผู้คนที่มาร่วมงานพบปะนักเรียนทุนวันนี้แล้วสินะ
เพราะทุกคนจะเข้ามาพบตามที่ท่านปู่เรียกตัว แจ้งข่าวสารที่ตนทราบมากันทีละคน แล้วจากไปหากปล่อยไว้แบบนี้ กว่าท่านปู่จะเคลื่อนไหวอาจจะกินเวลาหลายวัน หรือใช้เวลาหลายสัปดาห์เลยก็ได้
ไม่ได้นะ! แบบนี้ท่านคงมัวแต่ครุ่นคิดว่าจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของเฟเรสดีหรือเปล่าเป็นแน่
แต่สำหรับเฟเรส เขาไม่มีเวลารอเฉยแบบนั้นอีกแล้ว
เพราะฉะนั้นเธอถึงได้วางแผนไว้ว่าจะใช้สิทธิ์คำขอที่ได้รับมาเป็นของขวัญวันเกิด ให้ ‘ท่านปู่ไปหาเพื่อนของเธอที่พระราชวังด้วยกัน’
แต่ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอมอบให้แคทเธอรีนเพื่อเรื่องในภายภาคหน้า กลับเคลื่อนไหวไปในรูปแบบนี้เสียได้
ครั้งนี้มันแตกต่างจากเรื่องของท่านพ่อ เรื่องที่เกี่ยวพันกับท่านปู่โดยตรง มันย่อมไม่มีทางเป็นไปในทิศทางตามที่เธอต้องการง่ายๆ แน่
ฟีเรนเทียลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจลงไป
ต้องบอกเหตุผลที่จะทำให้ท่านปู่ต้องรีบลงมือเคลื่อนไหวให้ได้เร็วที่สุด
“และก็…”
พอเห็นเธอลังเล ท่านปู่ก็ปลอบเธอให้วางใจ
“ไม่ต้องห่วง บอกปู่คนนี้ได้ทุกเรื่อง”
เธอขยุกขยิกนิ้วไปมา เอ่ยพูดคล้ายกับรวบรวมความกล้าพูดมันออกไป
“และเขาบอกว่าป่วยค่ะ บอกว่ามีคนทำให้เพื่อนของข้าป่วย…”
เธอก้มหน้านิ่ง แสร้งทำสีหน้าเศร้าหมองให้ได้มากที่สุด
“บอกว่ามีคนพยายามทำร้ายเขา…”
แต่ถึงอย่างนั้นท่านปู่ก็ยังไม่พูดอะไร
เธอจับแขนเสื้อท่านปู่แน่น ช้อนตาขึ้นในขณะที่เอ่ยปากขอร้อง
“ท่านปู่ช่วยเขาหน่อยไม่ได้เหรอคะ”
คำขอร้องด้วยความสิ้นหวังของหลานสาวดูเหมือนจะได้ผลอยู่มาก สีหน้าเย็นชาของท่านปู่จึงเริ่มหวั่นไหวขึ้นมา
ท่านปู่มองเธอด้วยใบหน้าซับซ้อน ก่อนจะเอ่ยถามเธอสั้นๆ
“เพื่อนของเจ้าชื่ออะไรหรือ ฟีเรนเทีย”
ราวกับจำเป็นต้องตรวจเช็กให้แน่ใจ
ฟีเรนเทียเองก็ตอบออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เฟเรส เพื่อนของข้าชื่อเฟเรสค่ะ ท่านปู่”
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นสง่าอยู่บนฟากฟ้า
รูลลักลอมบาร์เดียดื่มเหล้าแก้วหนึ่งไปพลางเหม่อมองนอกหน้าต่าง
ฟีเรนเทียหลานสาวของเขากลับห้องไปได้พักใหญ่แล้ว แต่รูลลักก็ยังคงครุ่นคิดไม่จบ
พอได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าชายลำดับที่สองอยู่ที่ไหน เขาก็เอาแต่ครุ่นคิดเรื่องอื่นมากมาย
มันมีหลายเรื่องให้ตนต้องตัดสินใจ
ข้อมูลที่คนอื่นๆ ที่เข้ามาพบเข้าก่อนหน้าแคทเธอรีน ต่างก็พัวพันอยู่ในหัวสมองทำเอาศีรษะหนักอึ้งไปหมดแต่สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกของรูลลักมันยุ่งเหยิงไปหมดนั้น มันเป็นเพราะเรื่องของสายเลือดไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองหรือความสัมพันธ์ใดๆ
รูลลักยืนนิ่งดื่มจนเหล้าในแก้วเหลือเพียงครึ่ง ก่อนที่จะกดกริ่งเรียกตัวพ่อบ้าน
เพียงครู่หลังจากนั้น พ่อบ้านก็เปิดประตูเข้ามาเงียบๆ
“โยฮัน”
“ครับ รับสั่งมาได้เลยครับ”
“เบเจอร์กลับมาแล้วหรือยัง”
บุตรชายคนโตเมินเฉยคำเตือนของรูลลัก พาภริยาและบุตรชายบุตรสาวเข้าวังไปตั้งแต่เช้าตรู่
“เรื่องนั้น…”
พ่อบ้านโยฮันเอ่ยตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ก่อนหน้านี้มีสารแจ้งมาจากสารถีรถม้าครับ ดูเหมือนว่าครอบครัวของท่านเบเจอร์วันนี้จะค้างคืนที่พระราชวัง…เพื่อที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นในวังพรุ่งนี้เย็นครับ”
รูลลักพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่
พ่อบ้านไม่อาจคาดเดาได้ว่ารูลลักจะรู้สึกเจ็บปวดใจเพียงใด เขาจึงได้แต่ยืนค้อมศีรษะเฝ้ารออยู่เงียบๆ
ไม่นานหลังจากนั้น รูลลักจึงเอ่ยพูดเสียงทุ้มต่ำ
“อย่างนั้นหรือ ตัดสินใจเช่นนั้นสินะ”
แกรก
เสียงแก้ววางลงบนขอบหน้าต่างดังก้องไปทั่วห้องทำงาน
“เทีย? เทีย ตื่นก่อนเถอะ”
เธอขยี้ตาด้วยความง่วงพลางลุกขึ้นจากเตียงเมื่อมีมือมาเขย่าปลุก
“พ่อ?”
สิ่งแรกที่เห็นในห้องที่ยังคงมืดสลัวคือท่านพ่อ
ท่านพ่อสวมชุดนอนคลุมเพียงเสื้อคลุมผ้าไหม ท่านกำลังปลุกเธอด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
“ง่วงมากเลยใช่มั้ย”
“งื้อ ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่มีอะไรเหรอคะ”
“ดูเหมือนวันนี้เทียจะต้องตื่นเช้าหน่อยแล้วละ”
หากไม่มีเรื่องอะไรสำคัญ ท่านพ่อไม่มีทางปลุกเธอตั้งแต่ไก่โห่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นแบบนี้แน่
ท่าทางของท่านพ่อที่เอาแต่เหลือบมองประตูที่ถูกเปิดแง้มค้างทิ้งไว้อยู่เรื่อย มันทำให้เธอตาสว่างเหมือนกระโดดจ๋อมลงในน้ำเย็นผสมน้ำแข็ง
เธอรีบลงจากเตียง วิ่งไปเปิดประตูห้องทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ใส่รองเท้า
ท่านปู่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับรองที่มืดสลัวไม่ต่างจากห้องนอนของเธอ
“โอ้ๆ ตื่นแล้วหรือ”
ท่านปู่เอ่ยต้อนรับด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวาราวกับหลับสนิทมาตลอดทั้งคืน ท่านอยู่ในสภาพเตรียมตัวพร้อมแล้วตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ท่านปู่มองเธอที่กำลังจับลูกบิดประตู ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยพูด
“เข้าวังกับปู่คนนี้หน่อยเป็นอย่างไรฟีเรนเทีย”