เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 46.1
ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติมฟีเรนเทียก็รีบยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรั้งท่านปู่ในขณะที่ร้องตะโกนเสียงดัง
“สะ…สักครู่นะคะ! รอสักครู่นะคะ ท่านปู่!”
“หืม?”
เธอทิ้งท่านปู่ที่เอียงคอมองด้วยความสงสัยไว้ข้างหลัง แล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องของเธออย่างรวดเร็ว
“พ่อ! กระเป๋า! กระเป๋าค่ะ!”
“อ๊ะ? อื้อ ได้ๆ …”
ท่านปู่ที่ยืนเหม่อเองก็พานยุ่งตามไปด้วยเพราะเธอ
ฟีเรนเทียหยิบกระเป๋ารูปทรงสี่เหลี่ยมที่ยัดไว้อยู่มุมห้องออกมากางบนเตียงแล้วก็โยนของใช้ที่จำเป็นสำหรับเฟเรส และของที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับเขาใส่ลงไปในกระเป๋า
“หนังสือนี่…อ๊ะ นั่นด้วย! แล้วก็คุกกี้ ลูกกวาด เครื่องเขียน…”
เธอวิ่งไปทั่วบ้าน วิ่งเข้าออกห้องโน้นห้องนี้ หยิบของหลายชิ้นอย่างแข็งขันอยู่พักใหญ่
ทั้งๆ ที่เพิ่งจะใส่ของลงไปได้แค่ไม่กี่ชิ้นเอง แต่เพียงไม่นานกระเป๋าก็เต็มแน่นเสียแล้ว
“ทำอะไรน่ะฟีเรนเทีย”
ท่านปู่ที่เคยนั่งรออยู่ในห้องรับรองสุดท้ายก็เดินเข้ามาในห้องของเธอแล้วเอ่ยถาม
“เตรียมพวกของที่จำเป็นนิดหน่อยค่ะ! ใช้เวลาไม่นานหรอกค่ะ รอสักครู่นะคะ ท่านปู่!”
บนเตียงกลายเป็นกองของขนาดย่อมไปแล้ว
“ของพวกนั้นจำเป็นต้องใช้ตอนนี้เลยหรือ”
ท่านปู่เอียงคอมองด้วยความงุนงง ท่าทางจะไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
เธอหันไปมองท่านปู่ที่ทำท่าเช่นนั้น แล้วเอ่ยตอบเสียงสดใส
“จะเอาไปให้เฟเรสน่ะค่ะ!”
“…ให้เด็กนั่นอย่างนั้นหรือ”
ไม่รู้ทำไมใต้ตาของท่านปู่ถึงได้กระตุกถี่ยิบ
หรือว่าท่านจะรู้สึกเสียดายของขึ้นมาเหรอ
“แค่ไม่กี่อันเอง…”
แต่ใบหน้านิ่วของท่านปู่ยังดูไม่มีทีท่าว่าจะคลายตัวลงเลยแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวได้พบเฟเรสแล้วท่านปู่ก็จะเข้าใจความรู้สึกของข้าเองค่ะ!”
มันเป็นความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์ที่อยากจะหาของกินของใช้ไปให้ หากได้เห็นเด็กน้อยผอมแห้งแบบนั้นอยู่แล้ว
เธอยืนยันเสียงหนักแน่นในขณะที่เอ่ยพูด
“…อืม ลองดูก็แล้วกัน”
ไม่รู้ทำไมคำตอบของท่านปู่ถึงได้ฟังดูแปลกไปเล็กน้อย แต่เธอก็แค่ยักไหล่ไม่ยี่หระเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
หลังจากนั้นเธอก็ปิดล็อกกระเป๋าหนัง ยกมันขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง
ไม่สิ ต้องบอกว่าพยายามจะยกมันขึ้นต่างหาก
“อ๊ะ!”
กระเป๋ามันหนักมากจนทำให้ร่างกายของเธอโงนเงนไปมาตามน้ำหนักกระเป๋า
สงสัยจะใส่ของเยอะไปหน่อย
ท่านพ่อถอนหายใจเสียงแผ่วอยู่ด้านข้าง ตั้งใจจะช่วยยกกระเป๋าแทนเธอ
แต่เธอส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงมีชีวิตชีวาเปี่ยมพลังเหมือนเสียงของท่านปู่เมื่อครู่นี้
“ไปหาเฟเรสกันเถอะค่ะ ท่านปู่!”
เธอแบกกระเป๋าเอาไว้บนไหล่อย่างโก้หรู แต่กว่าพวกเราจะได้ออกเดินทางจากคฤหาสน์ เวลาก็ผ่านไปหลังจากนั้นสักพัก
“ต่อให้คิดถึงเด็กนั่นมากแค่ไหน แต่คิดจะใส่ชุดนอนเข้าวังเนี่ยนะ…”
ท่านปู่ส่ายหน้าด้วยความละเหี่ยใจพลางเอ่ยพูด
“พะ…เพิ่งตื่นก็เลยไม่ค่อยมีสติน่ะค่ะ…”
อา น่าขายหน้าชะมัด
ใส่ชุดนอนลูกไม้ลายหวานแหวว แล้วตะโกนเสียงดังว่าเข้าวังกันเถอะเนี่ยนะถ้ารู้ตัวว่าใส่ชุดนอนอยู่ อย่างน้อยเธอก็คงจะไม่ยิ้มกว้างขนาดนั้นหรอก
ฟีเรนเทียแสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยม นั่งนิ่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร
พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ทั้งท้องฟ้า ทั้งถนนที่รถม้ากำลังวิ่งไปต่างก็มืดสลัว
ขบวนเดินทางของพวกเราเรียบง่ายมากเกินกว่าจะบอกว่าเป็นการเดินทางของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย
มีเพียงแค่รถม้ากับอัศวินตระกูลลอมบาร์เดียตามหลังมาสองนายเท่านั้น
นอกจากเสียงกีบเท้าม้าวิ่งกับเสียงล้อรถม้าที่หมุนไปบนถนน บริเวณโดยรอบนั้นเงียบสงัด
ราวกับโลกยังคงหลับใหล
เธอหันไปมองท่านปู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ
คงเป็นเพราะแสงไฟสลัวที่ส่องให้ความสว่างภายในรถม้า วันนี้ริ้วรอยบนหน้าผากของท่านถึงได้ดูลึกจนเห็นชัดกว่าที่เคย
เมื่อคืนตอนที่คุยเรื่องของเฟเรส ท่านยังดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรให้ต้องครุ่นคิดมากมายอยู่เลย
แต่สุดท้าย ท่านก็กลับมาหาเธอตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ชวนให้เข้าวังไปพร้อมกัน
อะไรกันที่ทำให้ท่านเปลี่ยนความคิด
เธอไม่สามารถถามท่านปู่ตรงๆ ได้ แต่เธอก็สามารถรู้สึกได้คร่าวๆ จากริ้วรอยลึกนั่น ว่ามันคงไม่ได้มีแต่เหตุผลด้านดีเสียเท่าไหร่
รถม้ายังคงวิ่งไปตามทางไม่หยุดพัก
ทั้งตอนที่พ้นอาณาเขตของลอมบาร์เดีย ทั้งตอนที่วิ่งไปบนทุ่งหญ้าผ่านประตูเมืองหลวง
หลังจากที่เหล่าพลทหารมองเห็นรถม้าสี่ตัวลากซึ่งมีเพียงเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเท่านั้นที่สามารถนั่งได้วิ่งเข้ามาจากไกลๆ พวกเขารีบขยับตัวกันอย่างรวดเร็ว
ประตูเมืองที่ต้องปิดแน่นสนิทจนกว่าจะถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและผ่านพ้นช่วงเคอร์ฟิวไปก่อน กลับเปิดทางให้อย่างง่ายดายเมื่ออยู่ต่อหน้าสัญลักษณ์ลอมบาร์เดีย
รถม้าที่พวกเรานั่งมาไม่จำเป็นต้องลดความเร็วลง
และในที่สุดก็มาถึงหน้าพระราชวัง
ฟีเรนเทียได้แต่รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องที่ต้องเจอเมื่อคราวก่อน อีกอย่างถึงยังไงพระราชวังก็ยังคงเป็นพระราชวังที่แสนน่ากลัวอยู่ดี
รถม้าก็ค่อยๆ ลดความเร็วลงอย่างช้าๆ ทำให้ความคิดที่ว่าอาจจะมีใครเปิดประตูรถม้าเหมือนเมื่อคราวก่อนผุดขึ้นมาในหัว เธอจึงปรับท่วงท่าเป็นนั่งตัวตรง
แต่ท่านปู่กลับยังคงนั่งเท้าคางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างไม่มีเปลี่ยน
ทันใดนั้นท่านปู่ก็หันหน้ากลับมาสบตากับเธอ เพราะรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอที่มองท่านอยู่
และในวินาทีนั้น รถม้าก็ขยับเคลื่อนไหวอีกครั้งราวกับโกหก
เคลื่อนตัวไปบนถนนที่ทอดยาวตั้งแต่หน้าประตูพระราชวังถนนที่เจ้าของของมันยังคงไม่ตื่นจากการหลับใหลอย่างไร้ซึ่งการลังเล