เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 46.2
ท่านปู่มองเธอที่ดูตกใจเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกมาลูบศีรษะของเธอ ในขณะเดียวกันก็พูดปลอบโยนไปด้วย
“คิดว่าจะมีใครมาตรวจค้นเหมือนเมื่อคราวก่อนหรือไงกัน”
“ค่ะ…ข้าทราบค่ะว่าอยู่กับท่านปู่ยังไงก็ไม่เป็นอะไร แต่ว่าถึงยังไงมันก็เป็นพระราชวังอยู่ดี…”
เธอรู้ดีว่าหากเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียต้องการแล้วละก็ ท่านสามารถเดินเข้าไปถึงห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิ โดยไม่มีใครกล้าเข้ามาขวางแม้แต่คนเดียวอยู่แล้ว
แต่ถึงสมองจะรับรู้ ร่างกายมันกลับไม่เชื่อฟัง
ท่านปู่ลูบศีรษะเธอในขณะที่เอ่ยปลอบ
“เจ้าคือลอมบาร์เดีย ลอมบาร์เดียไม่เคยต้องเกรงกลัวราชวงศ์”
“แหะๆ …”
เท่จัง
พอเห็นเธอมองภาพลักษณ์สุดเท่จนหลุดยิ้มออกมาอย่างเหม่อลอย ท่านปู่ก็พึมพำเสียงแผ่ว
“พวกจองหอง กล้ายุ่มย่ามกับหลานสาวของรูลลักคนนี้…ไม่ต้องห่วงนะ วันนี้ปู่จะตำหนิให้หนักเลยเชียว”
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าท่านปู่จะไปตำหนิใครกันแน่ แต่เธอก็พยักหน้าหนักแน่นซึ่งในระหว่างนั้นรถม้าก็ขับเคลื่อนเข้าสู่อาณาเขตวังจักรพรรดินีเสียแล้ว
ที่นี่ก็เหมือนกับที่อื่นๆ นอกจากแสงไฟสลัวที่ให้ความสว่างตามทางแล้ว วังของจักรพรรดินีเองก็ยังคงหลับใหล บริเวณโดยรอบเงียบสงัด
“จะไปที่ไหนดีครับ”
สารถีรถม้าเปิดหน้าต่างบานเล็กเพื่อเอ่ยถาม
“จากตรงนี้ข้ารู้แต่ทางเดินเท้า…”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้สินะ”
ท่านปู่ตระหนกเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูรถม้าแล้วก้าวลงจากรถ
เธอเองก็จับมือท่านปู่ที่คอยช่วยประคองให้ แล้วกระโดดตามลงไป
สารถีบอกว่าจะถือสัมภาระตามไป แต่ท่านปู่กลับถือกระเป๋าไว้แทน ส่ายหน้าปฏิเสธ
คงจะประเมินว่า ยังไงจะปล่อยให้คนอื่นได้พบเฟเรสไม่ได้เด็ดขาด
“ไปกันเถอะ ฟีเรนเทีย”
ท่านปู่ยื่นมือมาหาเธอ
ฟีเรนเทียจับมือที่แตกต่างจากมือของท่านพ่อมือข้างนั้นหยาบกร้านเล็กน้อยและอบอุ่นมากกว่านิดหน่อย ก่อนจะพากันเดินไปตามทางเดินในป่าที่มองเห็นไม่ค่อยชัดนัก
โล่งอกที่ท้องฟ้าฝั่งทิศตะวันออกกำลังสว่างขึ้นเรื่อยๆ
เธอพึ่งความจำของตัวเองจนในที่สุดก็มาถึงตำแหน่งที่เฟเรสเคยเด็ดใบสมุนไพรกินและก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าเธอรู้เพียงแค่ว่ามันอยู่ทิศตะวันตกเท่านั้น เธอไม่ได้รู้เลยว่าที่จริงแล้วเฟเรสอาศัยอยู่ที่ไหนกันแน่
“ท่านปู่ คือว่า”
“ทำไมหรือ”
“เมื่อคราวก่อนข้าเจอเฟเรสตรงนี้น่ะค่ะ แต่นอกจากเรื่องว่าเขาอาศัยอยู่ในป่าฝั่งตะวันตกของวังจักรพรรดินี ก็ไม่ทราบเรื่องอื่นเลย…”
ต่างจากความคาดเดาของเธอว่านี่คงจะเป็นปัญหายุ่งยากทีเดียว ดูเหมือนท่านปู่จะมีสถานที่ที่พอจะคาดเดาเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว
“หรือจะเป็นที่นั่น”
ท่านปู่พึมพำอะไรบางอย่างที่เธอไม่อาจรู้ความหมายได้ สายตาเหม่อมองไปยังสถานที่ห่างไกลที่จากตรงนี้มองเห็นเพียงต้นไม้เขียวชอุ่ม
“ดูเหมือนจะเลวร้ายกว่าที่คิด”
มือของท่านปู่ที่จับมือเธอไว้เกร็งขึ้นมาเล็กน้อย
“จากตรงนี้ปู่รู้ทางดี ไปกันเถอะ”
ท่านปู่เป็นฝ่ายขยับเท้าก้าวเดินก่อนด้วยใบหน้านิ่ง
และไม่นานหลังจากนั้น พวกเราก็มาหยุดยืนอยู่หน้าวังขนาดเล็ก
มันเป็นเพียงแค่วังเก่าๆ สภาพใกล้เคียงกับวังร้างที่ผุพังไปแล้วด้วยไม่เคยถูกจัดการดูแล
แค่สายลมพัดผ่านเข้ามาอย่างแผ่วเบา หน้าต่างก็ส่งเสียงร้องเอี๊ยดอ๊าดฟังดูอ้างว้างเหลือเกิน
“บ้าไปแล้ว…”
เธอหลุดสบถออกมาโดยไม่รู้ตัว
ถึงยังไงก็เถอะ ปล่อยเด็กตัวเล็กๆ ไว้ในวังผุพังคนเดียวเนี่ยนะ
เผลอๆ ห้องเก็บของในวังจักรพรรดินีอาจจะยังดูสวยงามกว่าที่นี่อีกละมั้ง
ท่านปู่เองก็มองวังขนาดเล็กตรงหน้าด้วยสายตาจริงจังไม่ต่างจากเธอ ก่อนจะเอ่ยพูด
“หนึ่งในนางสนมของอดีตจักรพรรดินางหนึ่งเสียชีวิตลงที่นี่ นางลงมือสังหารบุตรของตัวเอง แล้วตัดสินใจฆ่าตัวตายตาม…”
ท่านปู่หยุดชะงักเพียงแค่นั้น หลังจากนั้นก็พูดอะไรไม่ออก แต่เธอพอจะเดาคำพูดทั้งหมดได้
เป็นจักรพรรดินีที่สั่งให้เฟเรสกับมารดาของเขาต้องอาศัยอยู่ที่นี่
“บางทีอาจจะไม่ใช่ที่นี่ก็ได้นะคะ ถึงยังไงที่นี่มันก็เกินไป…”
“เด็กคนนั้นบอกว่าอยู่ทางตะวันตกของวังจักรพรรดินีไม่ใช่หรือ วังเล็กในป่าตะวันตกมีแค่วังนี้วังเดียว และสถานที่ที่เจ้าชายลำดับที่สองเคยอาศัยอยู่ด้วยกันกับมารดาก็คือที่นี่”
“ถะ…ถ้างั้นก็ที่นี่จริงๆ เหรอ…”
พูดตามตรง สภาพของวังนี่คือ ถ้าหากมีผีโผล่ออกมาก็ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด
อาศัยอยู่คนเดียวที่นี่มาตลอดหลายปี
หากเป็นเธอไม่ต้องรอให้ถึงหลายปีหรอก แค่ไม่กี่วันก็คงจะทนไม่ไหวแล้ว
เธอได้ตระหนักอีกครั้งว่า ที่ผ่านมาเฟเรสต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากมากขนาดไหน
“เข้าไปดูข้างในกันก่อนเถอะ”
แต่แล้วในจังหวะที่กำลังจะเข้าไปข้างในหลังจากได้ยินคำพูดของท่านปู่
โครม!
เสียงสนั่นดังลั่น พร้อมกับที่บานประตูสนิมเกรอะถูกเปิดออกด้วยแรงทั้งหมดจนแทบจะพังลงมาทั้งบาน
และบุคคลร่างเล็กที่ผลักประตูออกมาก็วิ่งตรงดิ่งมาหาเธอ
ทุกย่างก้าวที่ขยับเท้าวิ่งไปบนพื้น เรือนผมสีดำของเขาก็พลิ้วไปตามจังหวะของร่างกาย ผิวขาวเนียนละเอียดดั่งเครื่องปั้นเซรามิกนั่น แม้กระทั่งอยู่ภายใต้แสงสลัวยามรุ่งสางก็ยังส่องประกายอย่างเจิดจรัส
“ฟะ…เฟเรส…ว้าย!”
แค่พริบตาเฟเรสก็วิ่งมาถึงตัวเธอ เขากระโจนเข้าสวมกอดเธอด้วยแรงทั้งหมดที่วิ่งพุ่งมา
ร่างกายที่พุ่งเข้ามากระแทกทำให้เธอเจ็บจนร้องเสียงดังเฮือก แต่ฟีเรนเทียไม่อาจผลักไสเด็กคนนี้ออกไปได้
เพราะเด็กคนนี้กำลังพิงศีรษะลงบนไหล่ของเธอ สองมือก็ดึงเธอเข้าไปกอดแน่น ช่างเป็นสัมผัสที่ให้ความรู้สึกถึงความสิ้นหวังและการโหยหาใครสักคนเป็นอย่างมาก
“ฟีเรนเทีย”
เสียงเล็กแหบแห้งของเด็กหนุ่มที่เอ่ยเรียกชื่อเธอมันกำลังสั่นเทา
“เฮ้ ปล่อยก่อนนะ หายใจไม่ออก”
เธอจงใจพูดเสียงเฉื่อยชา
เด็กที่เอาแต่กอดเธอราวกับต่อให้มีเรื่องอะไรก็จะไม่ยอมปล่อย ถึงได้ยอมถอยห่างออกไปอย่างว่าง่าย
ทว่าก็แค่ครึ่งก้าวเท่านั้น
เด็กชายถอยห่างเพียงแค่ผละกายออกเท่านั้น ในขณะที่จ้องหน้าเธอไม่ละสายตามือข้างขวาเองก็ยังคงกำชายแขนเสื้อของเธอเอาไว้แน่น
แม้ว่าใบหน้ายังคงไร้อารมณ์เหมือนเคย แต่นัยน์ตาสีแดงของเขากำลังมองเพียงแค่เธอ
เด็กนี่ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ
แต่ก็นะ อยู่ที่แบบนี้คนเดียว ไม่ว่าจะเจอใครก็คงจะดีใจทั้งนั้นนั่นแหละ
“ข้าบอกแล้วว่าจะมาใหม่ไม่ใช่หรือไง ทำไมทำเป็นเรื่องใหญ่โตไปได้”
“…นึกว่าจะลืมข้าไปแล้ว”
ฟีเรนเทียรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เธอก็พ่นลมหายใจเสียงดังหึทางจมูกพลางพูด
“เห็นข้าเป็นคนไม่รักษาสัญญาหรือไง”
เฟเรสส่ายหน้าอย่างแรงแทนคำตอบ
ในตอนนั้นเอง
มือใหญ่ก็เอื้อมเข้ามาคว้าร่างของเฟเรสจากด้านหลัง แล้ววางเขาลงในตำแหน่งที่ค่อนข้างห่างออกไปจากตัวเธอเล็กน้อย
“อยู่ให้ห่างจากหลานสาวของข้า”
ท่านปู่ก้มหน้ามองเฟเรสด้วยความไม่ชอบใจ