เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 50.2
“ว้าว!”
ฟีเรนเทียหลุดปากอุทานด้วยความชื่นชมออกไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อมาหยุดยืนอยู่หน้าวังโฟอิรัคที่ตั้งตระหง่านรอต้อนรับเจ้าของคนใหม่อยู่ตรงหน้าของเธอ
“ใหญ่สุดๆ ไปเลย”
วังโฟอิรัคนี่มันใหญ่กว่าที่เธอคิดไว้มากทีเดียว
พวกเธอต้องนั่งรถม้าออกมาจากวังเล็กที่เฟเรสอาศัยอยู่พักใหญ่ และตำแหน่งที่ตั้งของมันก็ข้ามมาอยู่อีกฟากของเขตพระราชวัง เรื่องนี้ยิ่งทำให้เธอถูกใจมากขึ้นไปอีก
นี่เธอช่วยเขามากเกินไปหรือเปล่าเนี่ย
พอเห็นว่าเฟเรสได้วังใหม่ที่ยิ่งใหญ่ตระการตาสุดๆ มันทำเอาเธอรู้สึกอิจฉาจนปวดใจขึ้นมาชั่วขณะ
คฤหาสน์ลอมบาร์เดียเองก็ใหญ่โตเหมือนกัน แต่ถึงยังไงบ้านที่เธอกับท่านพ่ออาศัยอยู่ก็เป็นแค่บ้านหลังเล็กที่มีห้องอยู่แค่ไม่กี่ห้องเท่านั้นเอง
และพอหันไปมองเด็กนี่โดยไม่ได้คิดอะไร ก็พบว่าเขาไม่อาจละสายตาไปจากวังโฟอิรัค และเหล่าข้ารับใช้ที่กำลังเดินกันขวักไขว่ทำงานกันอย่างหนักได้เลย
อืม เธอก็แค่ใจดีทำเรื่องที่สมควรทำนั่นแหละ
เธอเก็บความรู้สึกใจแคบและชั่วร้ายของตัวเองกลับลงไป
ที่จริงหากเป็นเจ้าชาย เขาสมควรได้รับของแบบนี้ตั้งแต่แรกและเติบโตขึ้นมาด้วยซ้ำไป
การที่ที่ผ่านมาเฟเรสถูกขังไว้ในวังเล็ก ทั้งยังต้องลำบากอยู่เพียงคนเดียวนั่นมันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
“น่าจะเตรียมการเสร็จทั้งหมดในช่วงบ่ายค่ะ”
แคทเธอรีนเอ่ยขึ้นมา
“เร็วจังเลยค่ะ”
“ท่านเจ้าตระกูลลงมือเคลื่อนไหวด้วยตัวเองนี่คะ”
ว่าแล้วเชียว ท่านปู่ของพวกเราเจ๋งที่สุด
เธอลังเลมากที่จะฝากฝังเรื่องของเฟเรสกับท่านปู่
แต่สิ่งที่เธอเลือกนั้นถูกต้องแล้วจริงๆ
แคทเธอรีนน่ะไม่ต้องสงสัยเลย ส่วนคาอิลรัสเองก็ดูเป็นคนดี
หากเป็นเช่นนี้ยังไงเฟเรสก็คงจะไม่ต้องใช้ชีวิตวัยเด็กอันแสนเศร้าด้วยการกินยาพิษอีกต่อไปแล้ว
และถ้าหากเติบโตขึ้นมาโดยถูกห้อมล้อมด้วยคนของลอมบาร์เดียที่แสนจะใจดีตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าเฟเรสก็คงจะมีความรู้สึกดีๆ ต่อลอมบาร์เดียแน่
และนั่นก็คือแผนการของเธอ
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างลอมบาร์เดียกับเฟเรสที่จะกลายเป็นองค์รัชทายาทในอนาคต
เพราะฉะนั้นต่อไปตอนที่เธอตั้งใจจะเป็นเจ้าตระกูล เด็กคนนี้ก็จะช่วยเสริมอำนาจให้กับเธอ
“ตอนนี้ก็อยู่ที่นี่ได้โดยไม่ต้องหวาดระแวงแล้วนะ”
มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย แต่สิ่งที่เธอทำนั้นเรียบง่าย
เธอเพียงแค่ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ให้เฟเรสได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ให้สมกับที่เขาเป็นเจ้าชายเท่านั้นเอง
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ”
“อะ…อะไรเหรอ”
“พูดราวกับทุกอย่างมันจบแล้ว”
สีหน้าของเด็กหนุ่มที่จนถึงเมื่อครู่ยังเหม่อมองวังโฟอิรัคราวกับต้องมนตร์สะกดเศร้าหมองลงในทันที
ท่าทางราวกับมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆครึ้มคล้ายกับฝนกำลังจะตกลงมามันเสียประเดี๋ยวนี้
“มะ…ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย เจ้าเองก็ชอบไม่ใช่เหรอ”
“มันใหญ่เกินไป”
“ใหญ่แล้วทำไม”
“เพราะงั้นรับผิดชอบด้วย”
มือของเฟเรสจับชายแขนเสื้อของเธอแน่น
“ต้องแวะมาบ่อยๆ”
“บ่อยๆ เหรอ”
เธอยุ่งนะ!
แต่นัยน์ตาของเด็กหนุ่มที่มองเธอซึ่งไม่ยอมให้คำตอบยืนยันกลับไป กลับดูแข็งกร้าวไม่เหมือนเด็กที่เธอเคยเจอคนนั้นเลยสักนิด
เขาเป็นเด็กที่รู้จักแสดงสีหน้าแบบนี้ด้วยเหรอ
มันทำให้จู่ๆ เธอก็นึกถึงเฟเรสในอนาคตขึ้นมา จะว่าไปก็มีส่วนคล้ายคลึงกับเฟเรสคนนั้นอยู่เหมือนกัน
“เอาเป็นว่าจะเขียนจดหมายส่งให้บ่อยๆ ก็แล้วกัน”
“…เข้าใจแล้ว”
ไหล่ของเด็กน้อยที่ทำหน้าบึ้งตึงลู่ลง
ในตอนนั้นเอง
โครกคราก
เสียงดังลั่นเกินกว่าจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินดังออกมาจากเฟเรส
แต่ก็นะ เขาคงไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาหลายวันแล้วละมั้ง
ดังนั้นเธอหันไปพูดกับคาอิลรัสแทนเฟเรส
“พวกเราหิวแล้วค่ะ ขอข้าวหน่อยค่ะ!”
เพล้ง!
ถ้วยชาที่จักรพรรดินีถืออยู่ตกแตกจนส่งเสียงดังกังวาน
“นี่เจ้า…พูดว่าอะไรนะ”
นางกำนัลแจ้งเรื่องราวให้จักรพรรดินีที่เพิ่งตื่นจากบรรทมยามเกือบเที่ยงเหมือนทุกครา นางเหลือบมองถ้วยชาที่แตกเป็นชิ้น สีหน้าซีดเผือดกว่าเดิม
แต่เพราะทราบดีว่าต่อให้หวาดกลัวแค่ไหน หากนางไม่ตอบอะไรออกไป คงจะต้องโดนลงโทษหนักกว่านี้เป็นแน่ นางจึงพยายามเค้นเสียงของตนให้เอ่ยพูดออกไป
“ฝะ…ฝ่าบาททรงมอบวังโฟอิรัค…ให้แก่เจ้าชายลำดับที่สองเพคะ องค์จักรพรรดินี”
“ตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ที่ไหน”
“เสวยพระกระยาหารอยู่ในสวนประจำวังจักรพรรดิเพคะ…”
พรวด!
จักรพรรดินีที่นั่งแต่งตัวเสริมสวยอย่างเอื่อยเฉื่อยรีบลุกขึ้นพรวดจากที่นั่งในทันที
“ไปเอาเดรสมา! เดี๋ยวนี้!”
เหล่านางกำลังรีบร้อนวิ่งตามหลังชายกระโปรงของจักรพรรดินีที่สาวเท้าก้าวเดินไปตามโถงทางเดินด้วยความรวดเร็ว ทำให้หากใครมองเข้ามายังโถงทางเดินในพระราชวัง ก็คงจะพบชายกระโปรงสะบัดพลิ้วไปตามทางเดินเป็นขบวน
ทันทีที่มาถึงสวนในวังจักรพรรดิ จักรพรรดินีก็เอ่ยเรียกองค์จักรพรรดิเสียงแหลม
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท อยู่ที่ไหนเพคะ!”
ในตอนนั้นเองสิ่งที่ได้ยินแทนคำตอบกลับเป็นเสียงหัวเราะดังลั่นขององค์จักรพรรดิกับใครบางคน
“ฮ่าฮ่า! ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดเหลือเกินนะครับ!”
คนที่หัวเราะพลางทุบโต๊ะในสวนเสียงดังปังปังคือองค์จักรพรรดิอย่างแน่นอน
ราวีนี่พยายามฉีกยิ้มงดงามเต็มที่ นางเดินเลี้ยวตรงหัวมุมเข้าไปในขณะที่เอ่ยพูด
“ฝ่าบาท ทรงอยู่ที่นี่…”
แต่แล้วรอยยิ้มของนางก็จางหายไปจากใบหน้าในวินาทีต่อมาทันที ราวกับถูกใครสาดน้ำเย็นใส่หน้า
“โอ้! จักรพรรดินี! มาแล้วหรือ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียแวะมาพบ ตั้งใจว่าจะเรียกเจ้ามาร่วมดื่มชากันสักแก้วอยู่พอดีเชียว”
ราวีนี่ตระหนักได้ในทันที
เหตุผลที่จู่ๆ องค์จักรพรรดิก็ให้ความสนใจในตัวเจ้าชายลำดับที่สองขึ้นมา และเหตุผลที่พระองค์ประทานวังที่ดีเกินกว่าจะสมควรได้รับให้
ทุกอย่างเป็นผลงานของชายชราตระกูลลอมบาร์เดียคนนี้
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะพ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดินี”
รูลลัก ลอมบาร์เดียลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างผ่อนคลายในขณะที่เอ่ยทักทาย
รูลลักมองหญิงสาวที่ไม่อาจเก็บซ่อนความโมโหได้จนตัวสั่นอย่างสบายอกสบายใจ ก่อนจะเอ่ยพูดกับองค์จักรพรรดิ
“กระหม่อมคงต้องขอตัวกลับก่อนแล้วละพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ไม่สิ ทำไมถึงรีบกลับล่ะครับ”
“พอดีระหว่างทางกลับต้องแวะไปที่วังโฟอิรัค…เสียหน่อยน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“อา อย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเดินไปส่งที่รถม้านะครับ”
ในระหว่างที่ทั้งสองคนสนทนากันราวกับเป็นสหายสนิทที่ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน ราวีนี่ได้แต่กัดฟันกรอดเมื่อรู้สึกได้ว่านางถูกเมินเฉยอย่างสิ้นเชิงราวกับเป็นคนนอก
และความรู้สึกนั้นก็พุ่งขึ้นสูงจนถึงขีดสุดในตอนที่รูลลักกล่าวลาทางสายตาส่งมาที่นาง และแม้แต่องค์จักรพรรดิเองก็เดินผ่านนางตามหลังชายชราไป
ถึงอย่างไรนางก็ไม่อาจยืนนิ่งเป็นคนโง่อยู่ตรงนี้ต่อไปได้
จักรพรรดินีฝืนยิ้ม นางขยับกายเดินตามหลังจักรพรรดิเพื่อไปส่งรูลลัก
แต่แล้วในตอนที่เดินผ่านระเบียงทางเดินมาจนถึงหน้าประตูใหญ่ที่รถม้าของตระกูลลอมบาร์เดียจอดรออยู่
ก็มีใครคนหนึ่งยืนเหม่อขวางอยู่หน้ากลุ่มของพวกเขา
บุตรชายของรูลลัก เบเจอร์ ลอมบาร์เดีย
เมื่อคืนเบเจอร์ค้างคืนที่วังจักรพรรดินี ท่าทางจะได้ยินข่าวมาเหมือนกันถึงได้รีบร้อนวิ่งมาถึงที่นี่
ตึก ตึก
รูลลักซึ่งเดินนำอยู่หน้าสุดของกลุ่มค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เบเจอร์
“ทะ…ท่านพ่อ…”
เบเจอร์มีสีหน้าราวกับเด็กตัวน้อยที่แอบขโมยของแล้วถูกจับได้ เขาไม่ทันได้ถวายบังคมองค์จักรพรรดิตามมารยาทที่พึงกระทำด้วยซ้ำ ได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่แบบนั้น
รูลลัก ลอมบาร์เดียเองก็ไม่แม้แต่จะใช้หางตาเหลือบมองเบเจอร์ที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง เขาเพียงแค่เดินผ่านไปโดยไม่เอ่ยทักทายเท่านั้น
ทำราวกับบุตรชายคนโตไม่มีตัวตน
“อา…”
เบเจอร์ส่งเสียงร้องครางต่ำราวกับฝันร้าย ไม่ได้ฉุกคิดว่าตนควรจะวิ่งตามหลังของรูลลักไป เขาได้แต่ยืนนิ่งเหมือนถูกตอกตรึงไว้อยู่กับที่ตรงนั้น
“ถ้าอย่างนั้นเอาไว้พบกันใหม่พ่ะย่ะค่ะ”
“หลังจากนี้ก็มาให้ข้าได้พบหน้าบ่อยๆ นะครับ เจ้าตระกูล”
รูลลักกับจักรพรรดิกล่าวลากันอย่างสนิทสนม ราวกับคนที่ไม่เคยบาดหมางข้องใจกัน
แล้วรถม้าลอมบาร์เดียก็จากไปเช่นนั้น
ราวีนี่ได้แต่กัดริมฝีปากแน่น พยายามอดกลั้นความรู้สึกกระวนกระวายใจ นางเดินเข้าไปหาจักรพรรดิในขณะที่เปิดปากพูด
“ฝ่าบาท…”
นางก็สะดุ้งตกใจกับการตอบสนองของอีกฝ่าย
“ทำไมหรือ จักรพรรดินี”
ทั้งๆ ที่พระองค์กำลังยิ้มมองนางอยู่แท้ๆ
ทั้งๆ ที่มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเมื่อก่อน
แต่แววตาขององค์จักรพรรดิกลับเปลี่ยนไปแล้ว
มือของนางร่วงตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรงเมื่อตระหนักได้ด้วยสัญชาตญาณ
“ข้าคงต้องไปออกว่าราชการแล้วละ จักรพรรดินีเองก็กลับไปพักผ่อนเถอะ”
องค์จักรพรรดิไม่มีการพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเจ้าชายลำดับที่สองแต่อย่างใด ทว่ามันเป็นคำสั่งเตือนกรายๆ ว่า ตอนนี้นางไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในเรื่องของเจ้าชายลำดับที่สองอีกต่อไปแล้ว
องค์จักรพรรดิเสด็จกลับไปยังห้องทรงงาน ส่วนราวีนี่ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่อาจขยับกายไปไหนได้พักใหญ่ เหมือนอย่างที่เบเจอร์เป็น