เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 54.1
บทที่ 54
“ว้าว เหรียญยกย่องเหรอคะ”
“ใช่แล้วละ! ทางพระราชวังส่งคนมาที่ร้านขายเสื้อผ้าน่ะ!”
ในทุกๆ ปี องค์จักรพรรดิจะมอบเหรียญรางวัลยกย่องในวันชาติประจำอาณาจักร
คนที่จะได้รับเหรียญรางวัลที่ว่านั่นขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของจักรพรรดิจริงๆ
ในบรรดากษัตริย์รุ่นที่ผ่านมา มีกระทั่งองค์ที่มอบเหรียญรางวัลให้แก่เจ้าชายที่เป็นบุตรชายของตัวเองอยู่เหมือนกัน
รูปแบบของเหรียญยกย่องนั้นหลากหลายมาก
มีทั้งประทานให้เป็นแผ่นป้าย บางครั้งถึงกับประทานของใหญ่โตอย่างบ้านพักตากอากาศให้เป็นรางวัล
“บอกว่าเป็นกิตติคุณในการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปขึ้นมา ช่วยพัฒนาสุขภาพของประชาชนทั้งหลาย…”
ท่านพ่อหยิกแก้มตัวเองราวกับยังไม่อยากจะเชื่อในขณะที่พูดพึมพำ
“พ่อเยี่ยมที่สุดเลยค่ะ!”
เธอจุ๊บลงบนแก้มของท่านพ่อที่ยังคงเหม่อลอย ช่วยทำให้ท่านรู้สึกดีใจมากยิ่งขึ้น
อันที่จริงเธอรู้อยู่แล้วว่าวันชาติประจำอาณาจักรในปีนี้คนที่จะได้รับเหรียญยกย่องคือท่านพ่อ
เพราะจักรพรรดิโยบาเนสได้ถ่ายทอดความตั้งใจของพระองค์ให้ท่านปู่ทราบตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อนแล้ว และเครย์ลีบันเองก็นำความนั้นมาบอกเธอ
เธอไม่ได้เขียนลงในจดหมายบอกเฟเรสว่าอีกไม่นานจะได้พบกันโดยไม่มีมูลหรอกนะ
อีกอย่างวันชาติปีนี้มันจะพิเศษยิ่งกว่าปีไหนๆ
เครย์ลีบันได้นำข่าวมาแจ้งว่า ตระกูลใหญ่หลายตระกูลซึ่งครอบครองเมืองแต่ละเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งกว่าประวัติศาสตร์ของอาณาจักร ต่างก็เริ่มทยอยเดินทางกันมาถึงเมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้กันแล้ว
เซอเชาว์แห่งใต้ รูมันแห่งตะวันออก ฮ็อกสลีย์แห่งตะวันตกและไอบันแห่งเหนือ
ในบรรดางานเลี้ยงของราชวงศ์หลายสิบปี จะมีงานไหนที่ยิ่งใหญ่อลังการ ทั้งยังมีแขกชั้นสูงมาร่วมงานกันมากมายเท่ากับงานนี้อีก
“มีรับสั่งว่าอีกสามวันให้หลังเข้าร่วมงานเลี้ยงประจำอาณาจักร…ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง ไม่สิ ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องเริ่มจากชุดที่เทียของพ่อจะใส่ก่อน…”
ท่านพ่อยังคงตั้งสติไม่ได้จนพูดจาฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็ยังคิดถึงเรื่องเสื้อผ้าของเธอก่อน
ทั้งๆ ที่คนได้รับรางวัลคือท่านพ่อ ไม่ใช่เธอเสียหน่อย
“ข้าจะใส่ชุดของร้านเสื้อขายเสื้อผ้าแคลอฮันไปค่ะ!”
คำพูดที่เธอตะโกนออกไปทำให้ท่านพ่อตกใจจนเบิกตากว้าง
“แต่ว่าเทีย เสื้อผ้าของร้านขายเสื้อมัน…”
ท่านพ่อหยุดชะงัก เลือกคำที่จะใช้อยู่ครู่หนึ่ง
“จะใส่ไปร่วมงานเลี้ยงในวังมันค่อนข้าง…ใส่ชุดที่ท่านป้าชานาเนสมอบให้เป็นของขวัญไปแทนดีมั้ย”
ท่าทางจะกังวลว่า หากเธอใส่เสื้อผ้าสำเร็จรูปไปร่วมงานเลี้ยงในวังแล้วจะโดนคนอื่นล้อละมั้ง
แต่จะว่าไปก็สมควรแล้วที่จะเป็นกังวล
เพราะเสื้อผ้าสำเร็จรูปมันเป็นเสื้อผ้าสำหรับสามัญชน
ดูจากที่ท่านพ่อได้รับเหรียญรางวัลยกย่องให้เป็นการให้เกียรติ เพราะท่านผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปขึ้นมาเพื่อพวกสามัญชนที่เคยแต่ต้องสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ทนหนาวอยู่เสมอ ก็สามารถรู้ได้แล้ว
แต่เธอยังคงยืนกรานเช่นเดิม
“งั้นข้าใส่เสื้อผ้าที่ท่านพ่อเย็บให้ไปก็แล้วกันค่ะ!”
“เทีย…”
ท่านพ่อกอดเธอเอาไว้แน่น
คงจะซาบซึ้งในความรักที่เธอมีต่อครอบครัว
“ขอบใจนะ เทีย”
ท่านพ่อกล่าวเสียงสะอื้นพลางลูบแผ่นหลังของเธอ
“ลูกสาวใครกัน งดงามขนาดนี้…”
เธอเองก็สวมกอดตอบท่านพ่อแน่น
อารมณ์ดีจนหลุดหัวเราะออกมาโดยอัตโนมัติ
งานเลี้ยงในพระราชวังอย่างนั้นเหรอ
มันเป็นโอกาสเหมาะเหม็งสำหรับโปรโมตเสื้อผ้าสำหรับเด็กเลยไม่ใช่หรือไง
“ฝ่าบาททรงรออยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ราชเลขาฯ ประจำองค์จักรพรรดิแจ้งให้เฟเรสที่เดินเข้ามาใกล้ทราบ
ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ที่พระอาทิตย์เพิ่งจะเริ่มลอยขึ้นมาส่องแสงสลัวกระทบใบหน้า
โยบาเนสจะเรียกตัวเฟเรสมาร่วมเสวยมื้อเช้าด้วยกันเดือนละหนึ่งครั้ง
หากคนอื่นๆ ทราบเรื่องนี้เข้า ก็คงจะคิดกันว่า ‘ฝ่าบาททรงโปรดเจ้าชายลำดับที่สองมากจริงๆ’ แต่ไม่รู้สินะ
เฟเรสกลับคิดว่านี่มันเหมือนคอยจับผิดกันมากกว่า
จับผิดว่าเจ้าชายเลือดผสมที่ถือกำเนิดจากความไม่ตั้งใจจะคิดก่อการใหญ่อะไรหรือไม่
พอเข้าไปข้างใน องค์จักรพรรดิก็กำลังเสวยพระกระยาหารอยู่ก่อนแล้ว
ไม่มีคำทักทายทั่วไป โยบาเนสเพียงแค่ใช้หางตาเหลือบมองเฟเรสที่เดินเข้ามา ไม่ได้หยุดชะงักมือที่กำลังกินอาหารอยู่ด้วยซ้ำ
เฟเรสเองก็เลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ตำแหน่งที่ห่างออกมาหนึ่งที่นั่งอย่างคุ้นเคย
ในที่สุดเมนูอาหารหรูหราเหมือนอย่างที่องค์จักรพรรดิกำลังเสวยอยู่ก็ถูกจัดเตรียมขึ้นอีกชุด
เฟเรสมองมันด้วยความว่างเปล่า ในขณะที่นึกถึงวันแรกที่เขาเข้าไปอาศัยอยู่ในวังโฟอิรัค
ในตอนที่เขาเริ่มคุ้นชินกับอาหารเน่าเสียขึ้นรา วันแรกที่เขาได้รู้ว่าอาหารที่ ‘สมกับเจ้าชาย’ มันเป็นเช่นไร
วันที่ได้ตระหนักว่า หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน จุดเทียน แล้วจุดไฟในเตาผิงตลอดทั้งคืน มันอบอุ่นมากถึงเพียงใด
วันที่เพลิงโทสะมันร้อนแรงเสียยิ่งกว่าเปลวไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ในเตาผิง
สิ่งที่ทำให้เฟเรสยิ้มได้เมื่อนึกถึงความทรงจำในวันนั้น มีเพียงแค่ฟีเรนเทียคนเดียวเท่านั้น
“ได้ยินว่าระยะเวลาในการสร้างออร่าให้คงอยู่เพิ่มมากขึ้นจนน่าจับตามองทีเดียว”
องค์จักรพรรดิเอ่ยกับเฟเรสที่กำลังนึกถึงฟีเรนเทีย
“…พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ”
คำตอบนั้นสั้นมากอย่างน่าขันเกินกว่าจะตอบองค์จักรพรรดิ แต่โยบาเนสไม่สนใจเรื่องดังกล่าว
เพราะพระองค์มัวแต่จดจ่ออยู่กับความสามารถในการฟันดาบอันแสนเก่งกาจที่เฟเรสเผยออกมาให้ได้ประจักษ์
ในตอนที่อ่านรายงานที่อาจารย์สอนฟันดาบมอบให้แก่ราชเลขาฯ เป็นครั้งแรก โยบาเนสแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตน
อายุเพียงแค่สิบสามปี แต่กลับมีความสามารถขนาดคงออร่าเอาไว้ได้นานถึงหนึ่งชั่วโมง!
ต่อให้รวบรวมประวัติศาสตร์อาณาจักรตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เคยมีนักดาบคนใดทำได้เช่นนั้น
เด็กอายุสิบสามปี เป็นวัยที่หากแค่ฝึกฝนร่างกายได้จนถึงขีดสุด ก็ได้รับการประเมินว่ามีความสามารถแล้ว
ตัวอย่างคล้ายๆ กันก็เช่น เจ้าชายลำดับที่หนึ่งอาสทาน่า
อาสทาน่าซึ่งเริ่มจับดาบตั้งแต่วัยที่เยาว์กว่าเฟเรสอยู่มาก เมื่อไม่นานมานี้อายุครบสิบห้าปี แต่เพิ่งจะจบการฝึกขั้นพื้นฐาน และเริ่มเรียนภาคทฤษฎีในการสร้างออร่าอยู่เลย
ทั้งๆ ที่ถือว่าเป็นคนที่พัฒนาได้ค่อนข้างเร็วแล้วแท้ๆ
เหล่าขุนนางของอาณาจักรที่ได้พบอาสทาน่าต่างก็บอกกันว่า ‘อนาคตของราชวงศ์จะต้องสดใสเป็นแน่’