เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 54.2
ความสำเร็จของเฟเรสตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีเพียงแค่โยบาเนสกับอาจารย์สอนฟันดาบเท่านั้นที่ทราบ
ไม่สิ อาจารย์สอนฟันดาบเป็นคนที่มาจากการแนะนำของลอมบาร์เดียตั้งแต่แรก ดังนั้นรูลลักเองก็คงจะได้รับรายงานเรื่องนี้เช่นกัน
แต่นอกจากพวกเขาแล้ว เฟเรสก็ยังคงเป็นเจ้าชายที่ถูกลืมเหมือนเคย
แตกต่างกับอาสทาน่าที่ได้รับความสนใจจากพวกชนชั้นสูงในทุกย่างก้าว ราวกับถ่ายทอดสดทุกการเคลื่อนไหวอย่างสิ้นเชิง
พวกนั้นรู้เพียงแค่ว่าเฟเรสมีตัวตนอยู่เท่านั้น
“เฟเรส”
เฟเรสวางส้อมกับมีดลงเมื่อได้ยินเสียงเรียกของโยบาเนส
“งานเลี้ยงประจำอาณาจักรครั้งนี้ เจ้าจงเข้าร่วมด้วย”
นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสมององค์จักรพรรดิด้วยความสงสัย
โยบาเนสมองนัยน์ตาคู่นั้นในขณะเดียวกันก็คิดว่ามารดาของเฟเรสที่ตนจำหน้าไม่ได้เสียแล้วนางนั้น มีนัยน์ตาสีแดงแบบนั้นด้วยหรือเปล่า
“…ไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีเสียเท่าไหร่กระมังพ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กลับเป็นคำพูดสุภาพ แต่มันเป็นคำปฏิเสธที่ราบเรียบเหลือเกิน
โยบาเนสตื่นตกใจ ตนไม่เคยคิดเลยว่าเฟเรสจะกล้าขนาด ‘ปฏิเสธ’ รับสั่งของพระองค์
ในเมื่อที่ผ่านมาต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีใครพบเห็น เขานึกว่าเด็กคนนี้จะดีใจเสียอีกที่ได้มีโอกาสในการเผยโฉมออกสู่สังคมเสียที
แต่ใบหน้าของเฟเรสกลับไม่มีความต้องการที่ว่านั่นเลยแม้แต่น้อย
ทั้งยังมีสีหน้ารำคาญใจอีกด้วย
“มันเป็นงานที่เจ้าจะได้รับการยอมรับในฐานะเจ้าชายลำดับที่สอง”
โยบาเนสกล่าวเตือนเป็นครั้งสุดท้าย
“จำเป็นต้องยอมรับด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“…ว่าไงนะ”
ถึงแม้จะถามกลับไป แต่เฟเรสก็ไม่คิดที่จะอธิบายอะไรเพิ่มเติม เขาปิดปากแน่นอย่างดื้อรั้น
จักรพรรดิเหลือบมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดพึมพำกับตัวเอง
“เจ้านี่มัน ช่างเหมือนกับข้าเสียจริง”
ชั่วขณะความไม่พอใจที่ไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้พาดผ่านอยู่ข้างในนัยน์ตาของเฟเรส แต่โยบาเนสที่มัวแต่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองไม่ทันได้สังเกตเห็น พระองค์ยังคงกล่าวต่อไปเรื่อยๆ
“ใช่แล้ว ต่อให้ขุนนางพวกนั้นไม่ให้การยอมรับ อย่างไรเจ้าก็เป็นสายเลือดของข้า เป็นเจ้าชายลำดับที่สองของอาณาจักรแลมบลูแห่งนี้”
‘การยอมรับ’ ที่เฟเรสพูดถึง มันไม่ใช่การยอมรับแค่เฉพาะจากขุนนางพวกนั้นเหมือนอย่างที่โยบาเนสเข้าใจ
มันมีอีกความหมายว่า เขาจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากองค์จักรพรรดิด้วยหรือไง
ว่ากันตามตรง องค์จักรพรรดิเองก็ไม่ได้สนใจว่าเฟเรสจะเป็นหรือจะตายมาสามปีแล้วไม่ใช่หรือ
เมื่อก่อนก็เพียงแค่โยนเฟเรสให้จักรพรรดินี คาดหวังอยากให้เขาตาย บางทีจักรพรรดิเองก็คงหวังอยากให้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในค่ำคืนเดียวหายไปเช่นนั้นก็เป็นได้
แต่ดูเหมือนโยบาเนสจะเข้าใจคำพูดนั้นไปคนละความหมาย
“เรื่องนั้น…”
เฟเรสตั้งใจจะแก้ไขความเข้าใจผิด แต่องค์จักรพรรดิกลับพูดขัดเอาไว้
“แต่จำเป็นต้องให้ขุนนางพวกนั้นได้รับรู้เหมือนกัน ว่าเจ้าชายที่ได้รับการยอมรับจากข้าผู้เป็นจักรพรรดิ ไม่ได้มีแค่อาสทาน่าคนเดียว”
อาสทาน่า
ชื่อของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งทำให้แววตาของเฟเรสเปลี่ยนไปในทันที
โยบาเนสสังเกตเห็นแววตาคู่นั้นจึงยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
“ใช่แล้ว เจ้าเองก็คงจะเห็นด้วยในเรื่องนั้นสินะ”
อันที่จริงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเฟเรสเอง การซ่อนเขาต่อไปแบบนี้อีกหลายปีอาจจะดีกว่าก็ได้
อำนาจในการขวางอังเกนัส ตระกูลฝ่ายมารดาที่อาสทาน่าครอบครองเอาไว้นั้น เฟเรสยังคงไม่อาจคว้ามันไว้ได้
เด็กคนนี้อาจจะมีรูลลัก ลอมบาร์เดียเป็นเหมือนผู้ปกครองก็จริง แต่เรื่องนั้นก็เป็นเพียงแค่ผลพลอยได้จากข้อตกลงระหว่างรูลลักกับจักรพรรดิเท่านั้น
ดังนั้นการแอบสร้างอำนาจอย่างลับๆ แบบนี้ย่อมต้องดีกว่า
แต่นั่นก็เป็นหนทางเพื่อตัวเฟเรสเอง
ไม่ใช่หนทางเพื่อโยบาเนส
“งานเลี้ยงประจำอาณาจักรมีความหมายพิเศษในหลายๆ เรื่องมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว”
เมื่อไม่นานมานี้ ตระกูลอังเกนัสได้ถวายทองคำแท่งให้เขาสิบหีบ
อังเกนัสทำแบบนั้นก็เพื่อประเมินน้ำหนักตัวตนของเฟเรส และตั้งใจแสดงออกเพื่อให้พวกเขาดูดีในสายตาของโยบาเนส
หากเฟเรสปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยงประจำอาณาจักรครั้งนี้ อังเกนัสย่อมต้องใส่ใจในเรื่องนี้แน่
มากยิ่งกว่าทองคำแค่สิบหีบ
“ปีนี้ยิ่งสำคัญมากเข้าไปใหญ่ แคลอฮัน ลอมบาร์เดียเองก็จะเข้าวังเพื่อรับเหรียญรางวัลยกย่อง พวกชนชั้นสูงที่เข้าร่วมงานเลี้ยงในปีนี้เองก็มีมากกว่าปีอื่นๆ เป็นเท่าตัว…”
“จะเข้าร่วมพ่ะย่ะค่ะ”
จู่ๆ เฟเรสก็พูดขึ้น
จนถึงเมื่อครู่นี้ยังหน้าบูดบึ้งอยู่เลย ตอนนี้นัยน์ตากลับเป็นประกายเสียแล้ว
‘คงจะเริ่มโลภขึ้นมาบ้างแล้วสินะ’
โยบาเนสพยักหน้าพลางใช้ผ้าเช็ดริมฝีปาก
เพราะโยบาเนสไม่มีวันคิดได้เลยว่า การที่ท่าทางของเฟเรสเปลี่ยนไปนั่น ที่แท้จริงแล้วมันเป็นเพราะชื่อ ‘แคลอฮัน ลอมบาร์เดีย’ ต่างหาก ไม่ใช่โลภอยากแข่งขันกับใครแต่อย่างใด
วันงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันชาติประจำอาณาจักร
ฟีเรนเทียได้รับความช่วยเหลือจากลอรีลเตรียมตัวจนเสร็จเรียบร้อย
“ใช่แล้ว นี่แหละ”
เธอยืนหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจก ยิ้มด้วยความพอใจ
“ว้าว คุณหนูน่ารักมากเลยค่ะ!”
“ใช่มั้ยล่ะ”
ปกติแล้วเด็กๆ วัยประมาณเธอจะไม่ค่อยชอบใจกันหรอกเวลาพวกผู้ใหญ่บอกว่า ‘น่ารักจัง’ น่ะ
แต่ไม่ว่าเด็กพวกนั้นจะคิดยังไง การดูน่ารักในสายตาพวกผู้ใหญ่ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
เพราะคนที่ซื้อเสื้อผ้าเด็กก็คือผู้ใหญ่พวกนั้นยังไงล่ะ
เพื่อโปรโมตเสื้อผ้าเด็กที่เปิดตัวขึ้นใหม่คราวนี้ เธอเลือกชุดเดรสประณีตสีน้ำตาลมันช่วยทำให้นัยน์ตาสีเขียวของเธอดูเด่นขึ้นมา ทั้งยังดูสุภาพเรียบร้อย เป็นสไตล์ที่พวกผู้ใหญ่ชอบให้บุตรหลานของตัวเองสวมใส่
แต่มันไม่ได้มีแค่นั้นหรอก
เธอสวมเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีครีมเอาไว้ข้างในเดรสสีเรียบ ตามชายชุดเดรสถูกเย็บประดับด้วยผ้าสีเขียวปักลายดอกไม้ด้วยไหมสีทองประดับมรกตสีเขียวไว้บนเดรสสีน้ำตาลราบเรียบ ที่เอวใช้เข็มขัดที่ทำจากมุกสีขาวเม็ดเท่าข้อนิ้วพันรัดเอาไว้ ช่วยให้เดรสดูมีลูกเล่นมากขึ้น
นอกจากนั้นยังนำผ้าลูกไม้สีขาวมาเย็บติดไว้ที่ปลายแขนเสื้อ ตอนนี้มันจึงกลายเป็นเดรสตัวหรูที่ดูงดงามมากเสียจนไม่อาจคิดได้ว่ามันเป็นแค่ชุดสำเร็จรูปเท่านั้น
ถึงแม้เริ่มต้นจะคล้ายกันกับเสื้อผ้าของคนอื่นๆ แต่เสน่ห์ของเสื้อผ้าสำเร็จรูปแบบนี้คือการที่พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ให้ดูแตกต่างจากคนอื่น ได้ด้วยการแสดงให้เห็นถึงเซ้นส์ด้านแฟชั่นของแต่ละคน กับเครื่องประดับที่ต้องการ
แน่นอนว่าจุดนี้เป็นเพราะเธอรู้ดีว่า ทุกคนต่างก็ทราบว่าเดิมทีเสื้อผ้าสำเร็จรูปเป็นของเรียบง่ายน่าเบื่อหน่าย
และมันจะทำให้คนอื่นๆ ได้สังเกตเห็นว่า เธอใช้เครื่องประดับราคาแพงแค่ไหน และเปลี่ยนมันเป็นดีไซน์ที่สวยงามโดยแสดงให้เห็นถึงรสนิยมด้านความงามออกมาได้ดีแค่ไหน
มันเป็นตัวการที่เหมาะสมในการนำมาใช้กระตุ้นความรู้สึกอยากเอาชนะของพวกชนชั้นสูง ที่แสนจะชื่นชอบในการใช้เงิน ใช้เวลา ลงทุนไปกับการโอ้อวดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นมากทีเดียวละ