เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 55.2
เวลาเดียวกัน ณ วังโฟอิรัค
แคทเธอรีนกับคาอิลรัสซึ่งรับหน้าที่ดูแลรับใช้เฟเรสต่างก็ได้แต่ลอบแลกเปลี่ยนสายตากันโดยไม่พูดอะไร
ในตอนที่ทุกคนกินอาหารกลางวันเสร็จและกำลังรู้สึกเกียจคร้านกันอยู่
เฟเรสกำลังอ่านหนังสือไม่ต่างอะไรจากทุกวันที่เคยทำ แต่บรรยากาศกลับต่างไปจากทุกครั้ง
คาอิลรัสมองเฟเรสที่รู้สึกตื่นเต้นตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยความเป็นห่วง
หากจะถามว่าเฟเรสที่ภายนอกมีใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์เหมือนเช่นทุกวัน มองจากตรงไหนถึงบอกว่าตื่นเต้นแล้วละก็
เฟเรสเหม่อมองหน้ากระดาษหนังสือโดยไม่ขยับมือเปลี่ยนหน้ามาได้หนึ่งชั่วโมงแล้ว
แคทเธอรีนมองภาพนั้นอยู่เงียบๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้พลางเอ่ยพูด
“เจ้าชาย หากอึดอัดใจมากถึงเพียงนั้น ออกไปเดินเล่นข้างนอกสักครู่หนึ่งเป็นเช่นไรเพคะ กว่าจะถึงยามอาทิตย์ตกดินที่งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นก็ยังเหลือเวลาอีกมากเพคะ”
คาอิลรัสช่วยพูดเสริมอีกคน
“หรือให้กระหม่อมจัดคุกกี้ช็อกโกแลตที่พระองค์ชอบขึ้นโต๊ะเสวยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ตุบ
สุดท้ายเฟเรสก็ปิดหนังสือเล่มหนาที่ถือเอาไว้จนส่งเสียงดังหนักหน่วง
“ชัดมากเลยหรือว่าข้า…ตื่นเต้นน่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อ”
เฟเรสลูบมุมหนังสือ ‘คู่มือการฟันดาบแบบบราวน์’ ไปพลางถอนหายใจแผ่วเบา
“สมควรแล้วที่จะตื่นเต้นพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรก็เป็นงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการครั้งแรก…”
คาอิลรัสเอ่ยปลอบเฟเรส
เฟเรสอาจจะเป็นคนที่มีความรู้สึกไม่สมกับเป็นเด็กอายุสิบสามปี แต่วันอย่างวันนี้นั้นเป็นวันที่ไม่ว่าใครก็สมควรจะตื่นเต้นกันทั้งสิ้น
“มันอาจจะเรียกว่างานเลี้ยงประจำอาณาจักรก็จริง แต่ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมายขนาดนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะเพียงแค่เข้างานพร้อมฝ่าบาท ให้ผู้คนได้เห็นหน้าเห็นตาบ้าง แล้วกลับวังมาก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หม่อมฉันกับคาอิลรัสเองก็จะคอยอยู่ข้างกายพระองค์เพคะ”
จะรู้สึกหนักใจมากขนาดไหนกันนะ
ความรู้สึกที่ต้องยืนต่อหน้าผู้คนในฐานะเจ้าชายลำดับที่สองแห่งอาณาจักรแลมบลูเป็นครั้งแรก หลังจากที่ถูกผู้คนลืมเลือนแม้กระทั่งการมีตัวตน
มันคงจะเป็นภาระที่หนักมากเกินกว่าเจ้าชายที่ยังเด็กคนหนึ่งจะรับมือได้ตามลำพัง
เฟเรสมองทั้งสองคนที่เอาแต่มองเขาด้วยใบหน้าสงสาร ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้น
“ไม่ได้กังวลเรื่องงานเลี้ยงเสียหน่อย”
“ถะ…ถ้าอย่างนั้น…หรือว่ากังวลเรื่องจักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ”
คาอิลรัสเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
หากลองพิจารณาแล้ว นอกจากงานเลี้ยงสิ่งที่พอจะทำให้เจ้าชายรู้สึกตื่นเต้นได้ก็ยังมีอีกเรื่อง
ตอนนี้เขาเองก็ได้ทราบเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดแล้วว่าเพราะเหตุใดเฟเรสที่ยังเด็กถึงถูกทิ้งไว้ในวังเล็กที่ผุพังเต็มที่อยู่ตามลำพัง และวันที่พบกันครั้งแรกทำไมถึงได้มีร่างกายผอมแห้งตัวเล็กขนาดนั้น
โล่งอกที่หลังจากย้ายมายังวังโฟอิรัค เฟเรสก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดินีอีก
จักรพรรดินียังคงปฏิบัติกับเฟเรสราวกับคนไม่มีตัวตนเหมือนเคย งานเลี้ยงทุกงานของราชวงศ์ก็สั่งไม่ให้เฟเรสได้เข้าร่วม
เรื่องที่แตกต่างจากอดีตก็มีเพียงแค่การที่เฟเรสย้ายเข้ามาอยู่ในวังโฟอิรัคแทนวังเล็กได้รับการศึกษาและการดูแลสมกับเป็นเจ้าชายแทนชีวิตที่ถูกทิ้งให้อยู่อย่างเปล่าเปลี่ยว
ดังนั้นตารางงานในฐานะเชื้อพระวงศ์สำหรับเฟเรส จึงมีเพียงแค่การร่วมรับประทานอาหารด้วยกันกับองค์จักรพรรดิเดือนละครั้งเท่านั้น
“องค์จักรพรรดินียังไม่ทราบว่าเจ้าชายจะเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยพ่ะย่ะค่ะ แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่ระบายโทสะออกมาต่อหน้าทุกคน…”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
เฟเรสส่ายหน้า
แคทเธอรีนเอ่ยพูดต่อเมื่อทนดูต่อไม่ไหว
“เจ้าชาย หากไม่สบายใจตรงไหนโปรดบอกพวกหม่อมฉัน พวกเราจะได้…”
“เทีย”
“…เพคะ?”
“เทียจะมาร่วมงานเลี้ยงด้วยไม่ใช่เหรอ”
เฟเรสพูดออกไปเช่นนั้นแล้วก็กางหนังสือออก ก้มหน้านิ่งอีกครั้ง
ใบหูที่เผยให้เห็นผ่านเรือนผมสีดำคุณภาพดีนั้นกำลังขึ้นสีแดงระเรื่อ
“เพราะฉะนั้น…”
คาอิลรัสเอ่ยถามกลับด้วยไม่อาจเชื่อหูของตัวเอง
“ไม่ใช่งานเลี้ยงที่ต้องยืนต่อหน้าชนชั้นสูงนับร้อย ไม่ใช่เพราะต้องพบหน้าจักรพรรดินีอีกครั้ง แต่ตื่นเต้นเพราะจะได้พบคุณหนูฟีเรนเทียหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสพยักหน้าเล็กน้อยหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“…ก็ไม่ได้เจอกันตั้งนานนี่นา”
เฟเรสตอบเช่นนั้น ก่อนจะหนีหายเข้าไปยังโลกหนังสืออีกครั้ง
แต่สุดท้ายหน้ากระดาษแผ่นนั้นก็ยังคงถูกเปิดค้างทิ้งไว้จนกระทั่งถึงเวลาออกเดินทางไปยังโถงจัดงานเลี้ยง
พวกเรามาถึงพระราชวังโดยนั่งรถม้าส่วนตัวของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียของท่านปู่
ครั้งนี้องค์จักรพรรดิโยบาเนสคงตั้งใจที่จะแสดงให้เห็นถึงความหรูหราของราชวงศ์
คงจะตั้งใจแน่วแน่มากทีเดียว ระดับความยิ่งใหญ่ของงานเลี้ยงประจำอาณาจักรในครั้งนี้ถึงได้แตกต่างไปจากทุกครั้ง
แตกต่างจากสมัยก่อนที่จะใช้โถงจัดงานเลี้ยงของวังจักรพรรดิหรือวังจักรพรรดินี ในปีนี้พระองค์ได้สั่งให้เปิดวังตากอากาศขนาดใหญ่เพื่อนำมาตกแต่งใช้ในการจัดงานเลี้ยง
แสงไฟสว่างของโถงงานเลี้ยงนั้นสว่างมากเสียจนมองเห็นได้จากไกลๆ
ภาพรถม้าที่พวกชนชั้นสูงโดยสารมาต่อแถวเรียงยาวตั้งแต่หน้าประตูพระราชวังไปจนถึงโถงงานเลี้ยงเพื่อรอเข้าร่วมงานเองก็ดูอลังการเป็นอย่างมาก
แต่รถม้าสัญลักษณ์ลอมบาร์เดียกลับเมินเฉยแถวที่เรียงรายพวกนั้น และวิ่งตรงไปหยุดอยู่หน้าโถงงานเลี้ยงด้วยความเร็วราวกับกำลังวิ่งอยู่บนทางด่วน
ฟีเรนเทียเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างในระหว่างที่สารถีรถม้าจัดเตรียมแท่นรองเหยียบ แล้วก็พลันตระหนักขึ้นมาได้สิ่งหนึ่ง
“ว่าแล้วเชียว ลอมบาร์เดียเจ๋งที่สุดเลย…”
หากถึงกับได้รับเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงของราชวงศ์ ย่อมหมายความว่ามีแต่ตระกูลชั้นสูงมากอำนาจทั้งสิ้น
และในเมื่อมาพระราชวัง คนพวกนั้นจะเตรียมตัวมากันพร้อมขนาดไหนล่ะ
แต่แม้กระทั่งรถม้าของตระกูลเหล่านั้น เมื่อจอดอยู่ข้างรถม้าของลอมบาร์เดีย ยังดูไร้ความหมายไปเลย
แค่ขนาดของรถม้าก็เล็กกว่าจนเทียบไม่ติด
ก่อนที่ประตูรถม้าจะถูกเปิดออก ท่านปู่หันกลับมามองเธอ แล้วพูดขึ้น
“จำที่ปู่พูดไว้ให้ดี เตะด้วยเท้าไปเลยนะ”
“ใช่แล้วละเทีย แล้วก็เรียกพ่อทันทีด้วย”
คราวนี้แม้แต่ท่านพ่อเองก็เอากับเขาด้วย
โล่งอกที่บทสนทนาของพวกเราจบลงด้วยการเปิดประตูของสารถีรถม้า
ท่านปู่เป็นฝ่ายก้าวลงไปก่อน หลังจากนั้นท่านพ่อก็ก้าวตามลงไป
และเธอก็ได้รับการช่วยเหลือจากท่านพ่อ ก้าวลงไปเป็นคนสุดท้าย
ทันทีที่เท้าเหยียบลงบนพื้น สายลมเย็นสบายก็พัดผ่านเข้ามา พร้อมกับท่วงทำนองหวานของดนตรีบรรเลงที่ดังแว่วออกมาจากข้างใน
อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นชีวิตก่อนหรือชีวิตใหม่นี้ การร่วมงานเลี้ยงยิ่งใหญ่อลังการแบบนี้ต่างก็เป็นครั้งแรกของเธอทั้งสิ้น
เธอรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อยจริงๆ
มือข้างหนึ่งของเธอจับมือของท่านพ่อเอาไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งจับมือของท่านปู่ พวกเราเดินเข้างานไปพร้อมกัน
เพียงแค่นั้น
ไม่ได้มีใครแจ้งการมาถึงของพวกเราด้วยเสียงตะโกน พวกเราเพียงแค่ก้าวเท้าเดินไม่กี่ก้าวมุ่งหน้าเข้าไปยังโถงงานเลี้ยงเท่านั้น
แต่ทุกย่างก้าวที่พวกเราก้าวเดินไปข้างหน้า มันกลับก่อให้เกิดคลื่นความเปลี่ยนแปลง
หนึ่งคน สองคน
ทุกคนต่างก็เหลียวหลังหันกลับมามองพวกเรา ราวกับข่าวลือถูกแพร่กระจายออกไป
และในตอนที่มาถึงหน้าประตูงานเลี้ยง สายตาของทุกคนในงานก็หันมาจับจ้องอยู่ที่พวกเราอย่างพร้อมเพรียง