เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 59.1
บทที่ 59
สัมผัสของเส้นผมที่ปลายนิ้วช่างนุ่มมือดีเหลือเกิน
บางทีคุณภาพเส้นผมของเด็กนี่อาจจะดีกว่าเธอเสียอีกทั้งๆ ที่เธอก็เป็นพวกดูแลผมและผิวพรรณเป็นอย่างดีแท้ๆ
ฟีเรนเทียเหม่อมองเส้นผมที่คุณภาพดีมากเสียจนทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังพ่ายแพ้ให้กับเด็กผู้ชาย เฟเรสปล่อยให้เธอลูบผมของเขาโดยไม่คิดห้ามปราม ก่อนที่นัยน์ตาของพวกเราจะพลันสบกันเข้า
และมือของเด็กหนุ่มก็จับมือของเธอเอาไว้
“…อ๊ะ?”
ฝ่ามือที่ยื่นเข้ามาดึงมือของเธอเข้าไปกอบกุมไว้ในอุ้งมือของตัวเองได้อย่างง่ายดาย มันทำให้เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่แล้วในตอนนั้นเอง
ก็รู้สึกได้ว่าในอุ้งมือมีอะไรบางอย่าง
“นี่อะไรน่ะ”
“ของขวัญ”
“ของขวัญเหรอ”
พอแบมือออกถึงได้เห็นว่าบนมือมีดอกไม้กลมมนดอกหนึ่งวางอยู่
มันเป็นดอกสีแดงรูปร่างคล้ายดอกกุหลาบผสมกับดอกลิลี่
แต่ทำไมดอกไม้นี่ถึงได้แข็งจัง
หรือว่า?
“หรือว่านี่คือ…ทับทิม”
“อื้อ”
‘อื้อ’ งั้นเหรอ!
ทับทิมนี่มันเป็นอัญมณีที่มีค่าเกินกว่าจะพยักหน้าตอบรับว่าใช่โดยไม่คิดอะไรแบบนั้นนะ!
น้ำหนักที่รู้สึกได้บนอุ้งมือมันทำให้รู้สึกหนักใจขึ้นมาพอควร
เธอเดินห่างออกไปยังตำแหน่งที่แสงสว่างพอจะส่องถึงเล็กน้อย แล้วเริ่มสำรวจทับทิมที่กำไว้ในมือ
ทับทิมขนาดเล็กกว่าลูกปิงปองเล็กน้อยถูกแกะสลักเป็นรูปดอกไม้
แต่รูปร่างของกลีบดอกมันแปลกๆ นิดหน่อย
มันเหมือนกับคนที่แกะสลักมันในตอนแรกยังทำงานได้ไม่คล่องมือนัก แต่ก็ค่อยๆ ชำนาญขึ้นอย่างรวดเร็ว…
“หรือว่านี่เจ้าแกะสลักเอง!”
“อื้อ”
เด็กนี่ยังคงพยักหน้าอย่างสงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อครู่ไม่มีผิด
“ดะ…ได้ไง? ไม่สิ ทำไมล่ะ!?”
เจ้าชายลำดับที่สองที่ยุ่งอยู่กับการเรียนการฝึกฟันดาบทุกวัน ทำไมถึงได้มานั่งแกะสลักทับทิมเหมือนไม่มีอะไรทำเสียได้
“ตั้งใจจะให้เจ้า”
“อะ…เอาเป็นว่าขอบใจนะ! ขอบใจจริงๆ! เฮ้อ…นี่แกะสลักทับทิมด้วยวิธีไหนกันแน่เนี่ย”
มันไม่ใช่ของอย่างต้นไม้ที่ตัดได้ง่ายๆ ด้วยดาบเสียหน่อย
เฟเรสตอบคำถามของเธอด้วยเสียงราบเรียบราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ใช้มีดสั้นหุ้มออร่าน่ะ”
“อ่า ถ้าเป็นออร่าก็คงจะ…เดี๋ยวนะ แกะสลักด้วยออร่า!”
เด็กหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง
“ออร่า…แกะสลักด้วยออร่า…”
ให้ตายเถอะ
เธอไม่เคยได้ยินว่ามีอัญมณีที่ถูกแกะสลักเป็นรูปร่างด้วยออร่าเลย
เดิมทีตัวทับทิมมันก็มีค่ามหาศาลอยู่แล้ว แต่นี่แกะสลักมันด้วยออร่าอย่างนั้นเหรอ
“ออร่าใช้งานได้มีประโยชน์ทีเดียว”
พูดราวกับออร่าที่ตัวเขาสร้างขึ้นมาได้นั่น มันมีไว้เพื่อแกะสลักทับทิมเท่านั้น
วิธีการคิดของเด็กคนนี้มันช่างแปลกประหลาดกว่าคนอื่นมากจริงๆ
เธอถอนหายใจแผ่วเบา เหม่อมองทับทิมที่วางนิ่งอยู่ในมือ
“ขอบใจนะ ข้าจะรักษามันอย่างดีเลย”
คนอื่นๆ อาจจะปฏิเสธมันเพราะเป็นของขวัญที่มีค่าเกินกว่าจะรับไว้ แต่ทำไมเธอต้องทำแบบนั้นล่ะ
ต่อไปในอนาคตเมื่อเฟเรสขึ้นเป็นองค์รัชทายาท แล้วกลายเป็นองค์จักรพรรดิ คุณค่าของทับทิมนี้มันจะมากมหาศาลจนไม่อาจแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองได้เลย
ทับทิมที่องค์จักรพรรดิใช้ออร่าแกะสลักมันด้วยตัวพระองค์เองในวัยเยาว์ เธอก็ต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดีสิ
“ที่จริงแล้ว…”
เฟเรสค้นอะไรบางอย่างในกระเป๋าอีกครั้ง ก่อนที่จะหยิบมันออกมา
มันเป็นเชือกยาวที่ทำจากทองคำ
“สร้อยคอนี่เอง”
ลองมองดูอย่างละเอียดถึงได้เห็นว่าข้างหลังทับทิมมันมีตะขอเกี่ยวติดอยู่
ทำไมข้างในอัญมณีถึงได้มีตะขอห้อยอยู่ได้ล่ะ
เธอถามด้วยความสงสัย
“ถ้างั้นนี่ก็…”
“อื้อ ใช้ออร่า”
ให้ตายเถอะ ไม่มีอะไรที่ออร่าทำไม่ได้เลยใช่มั้ย
ฟีเรนเทียอยู่นิ่งๆ มองเฟเรสแกะตะขอเกี่ยวติดกับสร้อยคอ
“ถ้าไม่เป็นอะไร ลองสวมสร้อยคอดูมั้ย”
เด็กหนุ่มเอ่ยถามอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“อันนี้เป็นของข้าไม่ใช่เหรอ งั้นก็ต้องใส่แน่นอนอยู่แล้วสิ”
เรื่องแค่นั้นยังต้องถามอีกหรือไง
เธอเอนตัวโน้มลำคอออกไปหาเขา
สร้อยคอเส้นนี้แตกต่างจากสร้อยที่พวกผู้ใหญ่สวมใส่ มันค่อนข้างยาวจนดอกทับทิมแกว่งอยู่เหนือท้องน้อยเล็กน้อย
ทุกครั้งที่ขยับตัว ดอกทับทิมจะกระทบกับแสงส่องประกายแวววาวไปทั่วทุกด้านของกลีบดอก
“สวย”
เฟเรสเป็นฝ่ายพูดก่อนอย่างหาได้ยาก
“นั่นสิ ฝีมือเจ้าดีมากเลย”
ส่วนที่ถูกแกะสลักทั้งๆ ที่ยังไม่คล่องมือตอนช่วงเริ่มแรกที่ลงมือ มันกลับช่วยทำให้ดอกไม้ดูงดงามมากยิ่งขึ้น
“ขอบใจนะ”
เธอพูดอีกครั้ง
ทับทิมนี่ถูกใจเธอมาก ต่อให้ต้องพูดขอบคุณอีกสิบครั้งเธอก็พูดได้
“ข้าก็เหมือนกัน”
เฟเรสพูดอะไรที่เธอไม่เข้าใจความหมายอีกแล้ว
และระหว่างพวกเราก็ไม่มีบทสนทนาอะไรต่ออีกอยู่พักใหญ่
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเลยสักนิด
ฟีเรนเทียเหม่อมองสวนที่ประดับไปด้วยโคมไฟสว่าง รับสายลมเย็นสบาย พลางดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรี
ส่วนเฟเรส…
“ทำไมเอาแต่จ้องข้าอยู่ได้”
มองจนหน้าจะทะลุอยู่แล้ว เฮ้ย!
“คือว่า”
เฟเรสเอ่ยพูดคำอื่นแทนที่จะตอบคำถามของเธอ
“ไม่มีวิธีใดให้พวกเราได้พบกันบ้างเลยเหรอ”
“นั่นหมายความว่ายังไง”
“ถ้าได้พูดคุยกันแบบนี้บ้างเป็นครั้งคราวก็คงจะดี”
การพูดสิ่งที่ตัวเองต้องการออกมาตรงๆ แบบนี้ เป็นพฤติกรรมที่ไม่สมกับเป็นเฟเรสเลย
เธอลองถามออกไปอย่างระมัดระวังเพื่อดูจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา
“ก็เขียนจดหมายแล้วไม่ใช่เหรอ”
“มันมีเรื่องที่ไม่อาจบอกทางจดหมายได้ตั้งเยอะนี่นา”
น้ำเสียงของเฟเรสค่อนข้างระมัดระวัง
อาฮะ
เขากลัวว่าจะมีใครลอบอ่านจดหมาย ก็เลยไม่กล้าเขียนเรื่องสำคัญลงไปนี่เอง
“ไม่ต้องกังวลหรอก แคทเธอรีนไม่ใช่คนที่จะแอบเปิดจดหมายอ่านเด็ดขาด อีกอย่างนางก็นั่งรถม้าตระกูลลอมบาร์เดียเข้าออกวัง ไม่มีใครเข้ามาแทรกระหว่างทางแน่”
เฟเรสฟังคำอธิบายของเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยักใหญ่ไม่ยี่หระพลางเอ่ยตอบ
“…ถ้าเจ้าว่าแบบนั้น”
จะว่าไปพวกเราก็ออกมาริมระเบียงค่อนข้างนานแล้ว
“เจ้าออกไปก่อน”
ฟีเรนเทียพูดกับเฟเรส
เนื่องจากเป็นการเปิดตัวครั้งแรกที่งานเลี้ยงเช่นนี้ย่อมมีสายตามากมายคอยจับตามองพวกเธออยู่
“…เข้าใจแล้ว”
คำตอบของเด็กหนุ่มฟังดูไม่ยินยอมเท่าไหร่
แต่สุดท้ายเฟเรสก็เป็นฝ่ายแหวกม่านระเบียงเดินกลับออกไปก่อน
ส่วนฟีเรนเทียที่อยู่ตามลำพังก็ฟังเสียงดนตรีเคล้ากับเสียงผู้คนสนทนากันไปพลาง เธอนับหนึ่งถึงร้อยคร่าวๆ หลังจากนั้นจึงค่อยกลับเข้าไปในงานเลี้ยง