เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 62.2
“ฟีเรนเทีย มานี่สิ”
ท่านปู่คงจะเป็นห่วงเธอที่ยืนนิ่งอยู่ตามลำพัง จึงกวักมือเรียกให้เธอเข้ามาอยู่ใกล้ๆ เตียงนอน
แต่เธอส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องนอน ค่อนข้างห่างออกมาจากเตียงนอนพอสมควร
“ล่าสุดมานี่มีหกล้ม หรือว่าบาดเจ็บที่เอวบ้างมั้ยครับ”
“ไม่มีเลยครับ”
“ถ้าอย่างนั้น…”
ดอกเตอร์โอมัลลี่ตรวจร่างกายท่านพ่ออย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“ลองขยับปลายเท้าดูได้มั้ยครับ”
“อืม…”
ท่านพ่อมองปลายเท้าของตัวเอง ในขณะที่พยายามตั้งสมาธิ แต่ขาข้างขวากลับไม่ยอมขยับตามคำสั่ง
“แปลก…”
ท่านพ่อขมวดคิ้วด้วยความตื่นตระหนก พยายามลองอยู่หลายครั้ง แต่มันก็เปล่าประโยชน์
ขาที่จนถึงเมื่อตอนเช้ายังเป็นปกติดี กลับไม่ยอมฟังคำสั่งราวกับจู่ๆ ก็กลายเป็นขาของคนอื่นไปเสียแล้ว เจอเรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครก็ต้องตระหนกกันทั้งนั้น
และนั่นก็คือความน่ากลัวของโรคร้ายที่เรียกว่า เทรนด์บลู
ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ จู่ๆ มันก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
ทั้งยังไม่ใช่โรคทางพันธุกรรม
ไม่มีใครทราบว่าโรคนี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง
เมื่อชาติที่แล้วก็เหมือนกัน
เอสทีร่าเองก็แค่ผลิตยาที่ระงับอาการชาได้เท่านั้น
ไม่ได้ค้นพบสาเหตุของโรคเทรนด์บลูได้แต่อย่างใด
“ที่ขาไม่รู้สึกปวดเลยหรือครับ”
“ปวดเหรอ…อืม ไม่เลยครับ ถ้ารู้สึกเจ็บสักหน่อยคงจะดีกว่า แต่นี่มันรู้สึกเหมือนจู่ๆ ขาของข้าก็หายไปน่ะครับ”
“อืม…”
สีหน้าของดอกเตอร์โอมัลลี่เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ
“นั่นมันช่าง เป็นอาการที่ไม่สามัญเลยนะครับ”
ถึงแม้จะกำลังยื้อเวลาด้วยคำพูดโน่นนี่ แต่บางทีดอกเตอร์โอมัลลี่เองก็คงจะทราบแล้ว
ว่าอาการที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลันของท่านพ่อ มันชี้ไปได้แค่ที่โรคเดียว ซึ่งก็คือโรคที่เรียกว่าเทรนด์บลู
ท่าทางของดอกเตอร์โอมัลลี่ที่เริ่มพูดน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้ท่านพ่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
นัยน์ตาขุ่นมัวเหลือบมองท่านปู่ ก่อนจะเอ่ยพูดกับเธอที่นั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมห้อง
“เทีย ออกไปรอข้างนอกสักประเดี๋ยวได้มั้ย”
“…ค่ะ”
เธอเดินออกมาข้างนอกห้องเงียบๆ ปิดประตูลง
ไม่คิดที่จะแอบฟังบทสนทนาที่เกิดขึ้นภายในห้อง
เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะพูดอะไรกันบ้าง
“คุณหนู…”
ลอรีลกับเครย์ลีบันที่นั่งรออยู่นอกประตูต่างก็หันมามองเธอแล้วรีบลุกขึ้นจากที่นั่ง
“อย่ากังวลมากไปเลยนะคะ ท่านแคลอฮันจะต้องไม่เป็นอะไรค่ะ”
ลอรีลดึงเธอเข้าไปกอดในอ้อมอกอันแสนอบอุ่น แต่ความอบอุ่นนั้นมันกลับไร้ประโยชน์เมื่อเจอกับหัวใจของเธอที่แข็งจนด้านชา
“ช่วยไปเอานมอุ่นๆ มาให้ข้าสักแก้วได้มั้ย”
เธอไหว้วานลอรีล
“ได้สิคะ คุณหนู รอสักครู่นะคะ!”
ลอรีลทำท่าดีใจมากที่เธอบอกว่าอยากจะดื่มอะไรเสียหน่อย ก่อนจะรีบพุ่งไปยังห้องครัวอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ในห้องรับรองจึงเหลือเพียงเธอกับเครย์ลีบันแค่สองคน
เครย์ลีบันไม่ได้พยายามปลอบโยนเธอ
บางทีเขาคงจะอ่านความผิดปกติอะไรบางอย่างได้จากท่าทางของเธอ
“เครย์ลีบัน”
“ครับ ท่านฟีเรนเทีย”
“คงจะต้องส่งสารแจ้งไปไกล ช่วยหาคนที่ฝีเท้าว่องไวและไว้วางใจให้ทำงานได้ให้หน่อยนะคะ”
ฟีเรนเทียหยิบปากกาจรดลงบนกระดาษโน้ตที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องรับรอง
ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดอะไรทั้งสิ้นว่าจะต้องเขียนอะไรลงไปบ้าง
ทั้งๆ ที่เธอเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง แต่มือที่กำปากกาเอาไว้ก็ยังคงสั่นเทาไม่หยุด
เธอส่งสารสั้นที่เขียนอย่างรวดเร็วจนตัวหนังสือหวัดอ่านยากให้เครย์ลีบัน
“ส่งไปแบบนี้ได้เลยค่ะ”
“นี่มัน…”
ในเมื่อกระดาษไม่ได้ถูกพับครึ่ง เครย์ลีบันจึงสามารถมองเห็นเนื้อหาของสารทั้งหมดได้
นัยน์ตาสีฟ้าของเครย์ลีบันสั่นไหว
“สถานที่ที่ต้องส่งสารไปคือ…”
แกรก
ประตูห้องนอนของท่านพ่อถูกเปิดออก ก่อนที่ดอกเตอร์โอมัลลี่จะเดินออกมา
ดอกเตอร์ไม่แม้แต่จะเหลียวมองเธอ
ไม่สิ เพียงแค่กล่าวลาลวกๆ ราวกับกลัวว่าจะเผลอสบตาเธอเข้า แล้วรีบร้อนเดินผ่านไป
ใช่แล้ว
เมื่อครู่เพิ่งจะแจ้งข่าวว่าท่านพ่อเป็นโรคร้ายที่ถึงแก่ชีวิต จะให้มองหน้าบุตรสาวตัวน้อยของท่านพ่อก็คงจะทำใจได้ยากน่าดู
เธอถอนหายใจเล็กน้อย
“เทีย เข้ามานี่หน่อยได้มั้ย”
ในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงท่านพ่อเอ่ยเรียกเธอดังขึ้น
เครย์ลีบันเดินตามหลังเธอเข้าไปในห้องนอนอย่างเงียบๆ
ท่านพ่อยังคงนั่งอยู่บนเตียงเหมือนเมื่อครู่
“ดอกเตอร์โอมัลลี่บอกให้พ่อฟังแล้วว่าอะไรคือปัญหา เทีย”
ท่านพ่อพูดกับเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แค่กล้ามเนื้อขามันชาไปครู่หนึ่งเท่านั้นเอง เดี๋ยวก็หายแล้วละนะ”
ว่าไงนะ
เธอแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง
และหัวใจก็เต้นโครมคราม
หรือว่าอนาคตจะเปลี่ยนไปแล้ว?
ไม่ใช่โรคเทรนด์บลูจริงๆ เหรอ
เธอหันไปมองท่านปู่
“อา…”
ท่านปู่ไม่ยอมหันมาสบตาเธอ
เหมือนกับดอกเตอร์โอมัลลี่ ท่านหลบสายตาของเธอ
“เดี๋ยวพ่อก็ดีขึ้นแล้วละ”
ท่านพ่อยังคงพูดกับเธอด้วยเสียงสดใส
“ไม่ต้องห่วงนะ เทีย”
เธอพูดอะไรไม่ออก
รู้สึกเหมือนกลืนก้อนหินขนาดใหญ่ลงไปขวางอยู่ในลำคอจนหายใจไม่ออก
แม้แต่วินาทีที่ทราบความจริงว่าตัวเองเป็นโรคร้ายที่ไม่มียารักษา
ท่านพ่อก็ยังเป็นห่วงเธอมากกว่าตัวท่านเอง
เกรงว่าลูกสาวที่เพิ่งจะอายุได้แค่สิบเอ็ดปีจะเป็นห่วงท่าน
เกรงว่าลูกสาวจะหวาดกลัว
ด้วยใบหน้าอ่อนโยนนั่น ด้วยคำพูดสดใสนั่น
ฟีเรนเทียกัดฟันแน่น มองท่านพ่อครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวหันหลัง
และเอ่ยพูดกับเครย์ลีบัน
“สารส่งไปที่อะคาเดมีประจำอาณาจักร ชื่อผู้รับคือ…”
ความหวังเดียวของเธอกับท่านพ่อ
“ชื่อผู้รับคือ ‘เอสทีร่า’ รบกวนด้วยนะคะ”