เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 65.1
บทที่ 65
“หืม? แคลอฮัน? เจ้ามีธุระอะไรถึงได้มาถึงนี่”
รูลลักหยุดการประชุมไว้ชั่วครู่ ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องทำงาน
เพราะได้รับข้อความแจ้งมาว่าเจ้าชายลำดับที่สองที่นัดหมายเอาไว้ว่าจะพบกันหลังมื้ออาหารกลางวัน จู่ๆ ก็โผล่มาหาถึงที่อย่างกะทันหัน
แต่คนที่รอรูลลักอยู่ในห้องทำงานกลับไม่ได้มีแค่ฟีเรนเทียกับเจ้าชายลำดับที่สองเท่านั้น
แคลอฮันที่ใช้ไม้ค้ำเดินมาก็อยู่ที่นี่ด้วย
“พอดีเจ้าชายลำดับที่สองมีอะไรจะมอบให้ท่านพ่อ ก็เลยรีบมาพบครับ”
“ข้า?”
รูลลักเหลือบมองเฟเรส
เพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าเขาเป็นผู้ให้ความคุ้มครอง รูลลักจึงมักจะแวะไปยังวังโฟอิรัคอยู่บ่อยครั้ง เพื่อคอยตรวจสอบความเป็นอยู่ของเฟเรสแต่รูลลักก็ยังไม่ชินกับสายตาเช่นนั้นของเด็กหนุ่มเอาเสียเลย
วันนี้ก็เหมือนกัน ทันทีที่สบตาเข้ากับสายตาของเฟเรส รูลลักก็ต้องเก็บซ่อนความคิดทุกสิ่งเอาไว้จนรู้สึกอึดอัดใจไปหมด เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มเจ้าของสายตาคู่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่
“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้นำมามอบให้ครับ”
เฟเรสพูดสั้นๆ พร้อมกับยื่นซองสีทองให้
“…เดิมทีมันไม่น่าจะมีสภาพเป็นแบบนี้นะ”
“ขอโทษครับ”
เฟเรสโค้งศีรษะลงต่ำให้แก่รูลลัก
“ฮึ่ม”
รูลลักมองเฟเรสด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเปิดสารที่ถูกฉีกออกเป็นสองชิ้นอ่าน
ผ่านไปไม่นาน เสียงทุ้มต่ำก็ดังออกมาจากรูลลัก
“โยบาเนส…”
บรรยากาศราวกับพร้อมที่จะกำเศษจดหมายวิ่งตรงไปยังพระราชวังในทันที
ประกายไฟแห่งความโกรธเคืองวาบขึ้นมาบนนัยน์ตาของรูลลัก
มันเป็นตำแหน่งเพื่อนเล่นเหมือนอย่างที่เบเจอร์กับเบเลซักพยายามร้องขอจนได้รับมันไว้
แต่กรณีนี้เห็นได้ชัดว่า จักรพรรดิอย่างโยบาเนสเป็นคนจงใจเลือกฟีเรนเทีย
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในตอนนี้คือ โยบาเนสคิดที่จะโยนฟีเรนเทียไปให้โอรสของตัวเอง
“ท่านปู่?”
รูลลักถลึงตาจ้องเขม็ง เขาหันไปมองหลานสาวที่กำลังตกใจ
ยิ่งเห็นใบหน้างดงามใสบริสุทธิ์ ก็ยิ่งทำให้ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา
“กล้าดียังไงมายุ่งกับหลานสาวข้า”
เด็กเพศเดียวกันจะเป็นเพื่อนเล่นหรือเพื่อนสนิทกันมันก็ได้ แต่กับเพศตรงข้ามนั้นย่อมแตกต่างออกไป
แต่ไหนแต่ไรพวกเชื้อพระวงศ์ก็มักจะใช้วิธีการเช่นนี้ในการเลือกคู่ครองล่วงหน้าอยู่แล้ว
มันเป็นวิธีการเลือกคู่หมายล่วงหน้า ก่อนที่พวกเด็กๆ จะถึงวัยในการเสนอเรื่องการหมั้นหมายแต่งงานอย่างเป็นทางการ
ไม่มีทางที่โยบาเนสจะไม่รู้เรื่องดังกล่าว
แน่นอนว่ายังไงก็ไม่ใช่การหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ อนาคตของฟีเรนเทียย่อมไม่ถูกตัดสินเพียงเพราะเรื่องแค่นี้แน่นางเป็นถึงหลานสาวของรูลลัก ลอมบาร์เดียคนนี้
แต่มันคนละเรื่องกับที่ทำให้เขารู้สึกอารมณ์เสียอยู่ดี
“ไม่ต้องห่วง แคลอฮัน เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”
เขาตั้งใจแล้วว่า พรุ่งนี้จะเดินทางเข้าพระราชวังไปเข้าเฝ้า แล้วจะโยนไอ้สารที่ถูกฉีกเป็นสองส่วนนี่ใส่หน้าโยบาเนสเสีย
“ตอบรับเถอะครับ”
“…ว่ายังไงนะ”
รูลลักถามกลับด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำตอบของแคลอฮัน
“ตอบรับข้อเสนอของฝ่าบาทเถอะครับ ให้เทียเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าชายลำดับที่สอง”
มันเป็นการตัดสินใจที่ไม่สมกับเป็นแคลอฮันเลยสักนิด
รูลลักส่ายหน้า ตั้งใจจะอธิบาย
“แต่แคลอฮัน”
“ข้าเองก็พอจะทราบครับว่าเพื่อนเล่นที่ว่านี่มันจะสานต่อต่อไปได้ถึงเรื่องใดบ้าง ท่านพ่อ”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมถึง…”
แต่รูลลักก็ต้องปิดปากเงียบลงกลางคัน
“เมื่อวานแวะมาแล้วครับ หมอที่ท่านพ่อเรียกตัวมากลับไปเมื่อคืนนี้”
คำพูดเงียบสงบของแคลอฮันที่ดังแทรกขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้รูลลักรู้สึกเหมือนหัวใจแตกสลาย
แม้แต่หมอคนนั้นเองก็วินิจฉัยว่าเป็นโรคเทรนด์บลู
ไม่ว่ายังไงสวรรค์ก็ตั้งใจที่จะพาตัวบุตรชายของเขาจากไปเร็วเช่นนี้สินะ
รูลลักเจ็บปวดใจจนจมดิ่งอยู่กับความเงียบ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ต้องหันไปมองฟีเรนเทีย
หลานสาวของเขากำลังก้มหน้านิ่ง
บางทีเด็กฉลาดคนนี้คงจะรู้แล้วว่า ขาของบิดานั้นไม่ได้แค่หักธรรมดา
ทั้งลูกชายของเขาที่ไม่กล้าบอกบุตรสาวของตัวเองว่าเป็นโรคร้ายใกล้ตาย ทั้งหลานสาวของเขาที่ช่วยแสร้งทำเป็นไม่รู้อาการของบิดาตัวเอง
รูลลักรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาฉีกขาดไม่เป็นชิ้นดี
แคลอฮันยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
“มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ข้าเคยคิดว่า หากพายุโหมพัดมา เพียงแค่ก้มลงต่ำ เฝ้ารอให้พายุร้ายนั้นผ่านพ้นไปก็พอครับ ท่านพ่อ แต่ตอนนี้การทำเช่นนั้นมันไม่ใช่วิธีการที่จะทำให้มีชีวิตรอดไปได้”
รูลลักอ่านความหมายของคำพูดที่แคลอฮันต้องการจะสื่อได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาพยักหน้าลงด้วยความหมองหม่น
ต่อให้เป็นรูลลักก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังความตายได้
“เพราะฉะนั้นถึงได้ตั้งใจว่าจะยืนหยัดต้านทานพายุนั่นเอาไว้ ต่อสู้กับมันเพื่อปกป้องเทีย…แต่ถ้าหากข้าไม่อาจทำได้ อย่างน้อยก็อยากจะเป็นกำลังให้แก่เทีย ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตามครับ ท่านพ่อ”
ภาพของบุตรชายที่เตรียมการทุกสิ่งให้แก่บุตรสาวที่ยังเล็กเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องราวหลังตนเองตาย ทำให้รูลลักต้องกัดฟันแน่น
เขาได้แต่กำหมัดแน่นจนมือแทบหัก พยายามอดกลั้นไม่ให้หลุดสาปแช่งด่าทอสวรรค์ก่อนที่จะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าเต็มทน
“อืม เข้าใจแล้ว ถ้าเจ้าตั้งใจเช่นนั้น ก็ทำตามนั้นเถอะ”
“ครับ ท่านพ่อ และก็…มันก็แค่เพื่อนเล่นไม่ใช่หรือครับ”
“ใช่ แค่เพื่อนเล่นเท่านั้น ไม่มีมากหรือน้อยไปกว่านั้น”
รูลลักเอ่ยพูดราวกับให้คำมั่นสัญญาต่อแคลอฮัน
“เทีย ปกติพ่อจะถามความเห็นของเจ้าก่อน แต่เรื่องนี้…”
“เข้าใจค่ะ ทำตามที่ท่านพ่อเห็นชอบเถอะนะคะ”
“อืม ขอบใจนะ”
มือใหญ่ของแคลอฮันลูบลงบนเรือนผมสีน้ำตาลนุ่มสลวยของบุตรสาว
ภาพนั้นทำให้รูลลักได้แต่ลอบถอนหายใจ แล้วหันไปมองเฟเรสแทน
“เจ้าชายลำดับที่สอง”
“…ครับ”
“คงจะทราบดีใช่มั้ยว่าเจ้าชายลำดับที่สองแตกต่างกับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งอยู่มาก”
เฟเรสพยักหน้า
“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งมีตระกูลฝั่งมารดาคอยให้ความช่วยเหลือ อีกอย่างมารดาก็ยังเป็นถึงจักรพรรดินี”
ตราบใดที่ไม่คิดก่อการกบฏ จักรพรรดินีกับอาสทาน่าก็จะครองตำแหน่งต่อไปได้อย่างปลอดภัย
แต่เฟเรสนั้นแตกต่างออกไป
เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียช่วยรับบทบาทเป็นผู้คุ้มครองให้ก็จริง แต่เรื่องนั้นก็เป็นเพียงแค่ข้อตกลงระหว่างลอมบาร์เดียกับจักรพรรดิ
หากทำอะไรผิดพลาดลงไปแค่นิดเดียว ฐานะเจ้าชายลำดับที่สองของเฟเรสก็จะสั่นคลอนลงทันที
แน่นอนว่ารูลลักไม่ได้เป็นห่วงเรื่องของเฟเรส
ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด เขาก็เพียงแค่เป็นห่วงว่าฟีเรนเทียหลานสาวของเขาจะได้รับผลกระทบที่ไม่ดีไปด้วย
“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเข้าใจความหมายที่ข้าต้องการจะสื่อ”
“เข้าใจครับ”
รูลลักยังคงไม่ค่อยชอบใจในตัวเฟเรสนัก แต่ถ้าแคลอฮันต้องการ ก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องทักท้วงเรื่องเข้าวังไปเป็นเพื่อนเล่นเจ้าเด็กนี่
แต่เขายังสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง
“ว่าแต่ทำไมสารถึงได้ขาดแบบนั้นล่ะ”
“…เพราะทราบว่าการเป็นเพื่อนเล่นของข้ามันเป็นเรื่องน่าลำบากใจสำหรับฟีเรนเทีย ข้าเลยฉีกมันทิ้งเช่นนั้นครับ”
“เพียงแค่เหตุผลเดียว เจ้าถึงกับฉีกสารของฝ่าบาทรึ”
“แค่เหตุผลเดียวก็เพียงพอแล้วครับ”
รูลลักพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดพูดออกมาแค่หนึ่งประโยคคล้ายสบถ
“มีแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียวนี่แหละที่ถูกใจ”
พลางกวาดสายตามองสำรวจเฟเรสเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะหมุนตัวหันหลัง
“ข้าหยุดการประชุมเอาไว้กลางคัน คงจะต้องกลับไปเสียแล้ว เจ้าชายลำดับที่สองไหนๆ ก็มาเยือนบ้านข้าแล้ว ก็พักผ่อนเสียหน่อยแล้วค่อยกลับเถอะ คำตอบของสารนั่นเอาไว้ข้าจะเป็นคนส่งตอบกลับไปเอง และก็แคลอฮัน”
“ครับ ท่านพ่อ”
“เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“…ครับ”
รูลลักเดินกลับออกมาจากห้องทำงานอีกครั้ง เขาเดินมุ่งตรงไปยังห้องประชุมใหญ่ที่คนอื่นๆ กำลังรออยู่
ทว่าจู่ๆ ชายชราก็หยุดชะงักฝีเท้า เรียกตัวมาร์ค พ่อบ้านที่เดินตามหลังเขามา
“ไปสืบหาตัวแพทย์ชื่อดังในเมืองหลวงแล้วเชิญตัวมาที อย่าบอกให้ใครรู้ ระวังตัวด้วย”
รูลลักยังไม่ยอมแพ้ในตัวแคลอฮัน
ต่อให้เป็นโรคเทรนด์บลูจริงๆ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม เขาก็จะต้องหาทางคิดค้นยารักษาโรคนั่นขึ้นมาให้ได้
“เงินทองมันมีไว้ใช้เพื่อเวลาแบบนี้นี่แหละ”
รูลลักเก็บความอ่อนแอเอาไว้ในใจ มุ่งหน้าเดินกลับไปยังห้องประชุม