เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 70.2
เพราะเธอไปตบหน้าอาสทาน่า จึงทำให้โดนท่านปู่สั่งลงโทษกักบริเวณหนึ่งเดือน
แน่นอนว่าไม่ได้โดนดุอะไรมากหรอก
แถมเธอยังต้องลำบากห้ามท่านปู่ ขัดขวางไม่ให้ท่านวิ่งไปเตะอาสทาน่าด้วยซ้ำ
อันที่จริงก่อนจะถึงวันเกิดอายุครบสิบเอ็ดปี เธอก็ไม่ได้รับอิสระให้ออกนอกคฤหาสน์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันก็เหมือนกับไม่ได้รับบทลงโทษอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ
ได้ยินว่าอาสทาน่าที่ชอบเที่ยวเตร่ไปโน่นนี่อยู่ทุกวันเองก็โดนโทษกักบริเวณถึงสองเดือนคงจะทรมานน่าดู
เธอนั่งอยู่ในห้องหนังสือของเธอ กำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรที่ขอยืมมาจากเฟเรส
ในเมื่อเธอเองก็ไม่ได้มีความรู้ด้านนี้อยู่ก่อน เธอจึงไม่คาดหวังหรอกว่ามานั่งอ่านหนังสือแบบนี้แล้วจะค้นพบในสิ่งที่ขนาดเอสทีร่าเองยังไม่อาจค้นพบได้
แต่เป็นเพราะหากได้ลงมือทำอะไรเพื่อหายารักษาท่านพ่อ เธอก็คงจะรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง
พรึบ พรึบ
แต่แล้วในตอนที่เธอนั่งเท้าคางพลิกหน้ากระดาษหนังสือ
“หืม? ดอกบอมเนีย? เจ้านี่ก็เอามาใช้เป็นสมุนไพรได้ด้วยเหรอเนี่ย”
เธอหยุดอ่านคำอธิบายบนรูปวาดดอกไม้ที่คุ้นเคย
“ ‘บอมเนีย’ เป็นพืชที่เติบโตเฉพาะทางตอนใต้ของทวีป ดอก ใบ และราก มีประสิทธิภาพอันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไปเฉพาะส่วน…”
ปลายนิ้วของเธอที่ลากผ่านตัวหนังสือข้ามส่วนที่ไร้ความหมายไปหยุดชะงัก
“ดังนั้นประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งที่สุดของบอมเนีย จะปรากฏขึ้นยามที่ใช้ดอก ใบ และรากพร้อมกัน ถึงแม้ไม่อาจทราบได้ถึงกระบวนการทางเคมีที่แน่ชัดแต่บอมเนียจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความเสถียรในการผสมสมุนไพรหลากชนิดเข้าด้วยกัน…”
พืชที่เดิมทีเติบโตอยู่ในแถบทางใต้เท่านั้น
และเอสทีร่าที่ลาพักร้อนเดินทางกลับบ้านเกิดในชีวิตก่อน
ราวกับชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ประกอบติดกันเป็นรูปร่าง
ในตอนนั้นเอง ประตูห้องหนังสือก็ถูกเปิดออกพรวด ก่อนที่เอสทีร่าจะเดินเข้ามา
ดูจากเสียงหอบแฮกและเหงื่อที่ไหลอาบท่วม ท่าทางคงจะวิ่งมาจนถึงที่นี่แน่
“ทะ…ท่านย่าตอบกลับมาแล้วค่ะ…ในบรรดาดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ทั่วไปแถวหมู่บ้าน…!”
“บอมเนีย?”
“ทะ…ทราบได้ยังไงคะ”
ว่าแล้วเชียว
วัตถุดิบอย่างสุดท้ายของยารักษาคือบอมเนียนี่เอง
เอสทีร่ามองเธอที่กำลังยิ้มเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“ตะ…แต่บอมเนียเติบโตเฉพาะทางใต้ มันเป็นดอกไม้ป่า แล้วนี่ก็เลยช่วงฤดูกาลที่มันจะบานไปแล้ว…”
“ไม่ ข้ารู้จักสถานที่ที่มีดอกบอมเนียบานอยู่”
ที่สวนประจำวังโฟอิรัคมีดอกบอมเนียสีแดงสดบานอยู่ มีอยู่แน่ๆ
ฟีเรนเทียรีบวิ่งเข้าไปที่โต๊ะหนังสือ เขียนจดหมายอย่างรวดเร็ว
ผู้รับคือเฟเรส
ถึงแม้อยากจะวิ่งไปยังวังโฟอิรัค ขุดเอาบอมเนียมาด้วยตัวเองอย่างที่ใจอยากก็เถอะ
แต่เพราะตอนนี้เธอถูกกักบริเวณอยู่ เลยไม่อาจเข้าวังได้
ไอ้เฮงซวยอาสทาน่า!
เธอเขียนลงไปหวัดๆ บอกว่ายารักษาของท่านพ่อจำเป็นต้องใช้บอมเนีย และจะต้องใช้ทั้งดอก ใบ และรากทั้งหมด
มือของเธอสั่นเทาไม่หยุดยามพับกระดาษจดหมาย
ฟีเรนเทียรู้สึกดีใจได้แค่ครู่เดียวเท่านั้นที่หาชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายเจอหลังจากนั้นความกระวนกระวายใจมันเข้าครอบงำเธออีกครั้ง
ถ้าหากในเวลาแค่ไม่กี่วันที่ผ่านมา ดอกบอมเนียมันร่วงโรยไปหมดแล้วล่ะ จะทำยังไงดี
เฟเรสเองก็เคยบอกกับเธอ
ว่ามันเป็นดอกไม้ที่เดิมทีไม่ได้บานในฤดูนี้
ได้โปรด ได้โปรดเถอะ
เธอส่งจดหมายไปโดยที่เฝ้าสวดภาวนาด้วยความสิ้นหวัง
กลางดึกมาถึง เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมา
ฟีเรนเทียเหม่อมองด้านนอกที่พายุเข้า เฝ้ามองยามค่ำคืนที่มืดมิดโดยไม่หลับไม่นอน
“ให้ตายเถอะ ให้ตาย”
เสียงสายฝนกระทบลงบนหน้าต่างกับเสียงเธอกัดปลายเล็บดังขึ้นผสานกัน
ถ้าดอกบอมเนียร่วงหมดเพราะฝนนี่ จะทำยังไงดี
ครั้งสุดท้ายที่เห็นก็ผ่านมาได้หลายวันแล้วด้วย
ถ้าหากแม้แต่ดอกที่เหลือยังร่วงหมดต้นละก็
ในใจของเธอตอนนี้มันร้อนรนไปหมด
ในตอนนั้นเอง
“นั่นรถม้าเหรอ”
เธอที่กำลังแนบหน้าลงบนหน้าต่างแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
รถม้าคันหนึ่งวิ่งฝ่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำตกลงมาราวกับคมหอกมันกำลังเคลื่อนตัวมายังปีกคฤหาสน์ที่เธออาศัยอยู่
ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักจนทำให้ภาพด้านนอกพร่ามัว เธอมองเห็นสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์ติดอยู่บนนั้นครู่หนึ่ง
หรือว่า
เธอวิ่งลงไปชั้นล่างด้วยความตกใจ
ปัง ปัง ปัง
เสียงอะไรบางอย่างหนักๆ เคาะประตูเสียงดังลั่น พร้อมกับพ่อบ้านประจำปีกคฤหาสน์หลังรองเองก็กำลังถือโคมไฟเดินเข้าไปใกล้
แอ๊ด
ประตูที่ถูกปิดแน่นสนิทตลอดคืนถูกเปิดออกส่งเสียงดังลากยาว
เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยสภาพเปียกฝนไปทั้งตัว
“เฟเรส?”
เมื่อเห็นเธอเฟเรสจึงหยิบเอาอะไรบางอย่างที่เขาทะนุถนอมมันเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างล้ำค่าออกมา
มันเป็นกล่องไม้กล่องใหญ่
แกรก
พอเปิดฝาออก เสียงฝากล่องกระทบกับตัวกล่องเล็กน้อยก็ดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นดินชุ่มน้ำฝนที่ส่งกลิ่นคลุ้งไปทั่ว
ข้างในกล่องมีดอกไม้สีแดงเปรอะโคลนที่ยังมีสภาพดีจนถึงรากใส่อยู่
“ดอกบอมเนีย เอามาให้แล้ว”
เฟเรสยิ้มกว้างด้วยใบหน้าขาวซีดเพราะตากฝน