เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 75.2
ในที่แห่งนั้นเฟเรสจะได้เลือกตัวเหล่าผู้มีความสามารถอันยอดเยี่ยม เก่งกาจ แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากตระกูลมากมายหลายคนทีเดียว
อีกอย่างอะคาเดมียังเป็นสถานที่ที่จักรพรรดินีเอื้อมมือออกไปแตะไม่ได้
อย่างน้อยข้างในนั้นก็ยังมีกฎระเบียบอันแสนเข้มงวดระดับสูงกฎอื่นนอกเหนือจากราชโองการของจักรพรรดิของอาณาจักรอยู่ และพวกนักเรียนต่างก็ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากกฎระเบียบที่ว่า
พอลองคำนึงถึงเหตุผลต่างๆ นานาดูแล้ว ยังไงเฟเรสก็จะต้องเข้าศึกษาที่อะคาเดมีให้ได้
“มีเหตุผลอะไรพิเศษหรือเปล่า เหตุผลที่ไม่อยากไปอะคาเดมีน่ะ”
“เรื่องนั้น…”
เฟเรสตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็เอาแต่จ้องตาเธอ
นัยน์ตาสีแดงดั่งทับทิมคู่นั้นสะท้อนแสงส่องประกาย
“ก็แค่”
ท่าทางคงจะไม่อยากบอกเหตุผลสินะ
มันเป็นปฏิกิริยาที่ไม่สมกับเป็นเด็กหนุ่มผู้ซื่อตรงในทุกๆ เรื่องเลยสักนิด แต่คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาแบบนั้นบ้างอยู่แล้วนี่นะ
“ลองคิดดูให้ดีๆ สักครั้งเถอะ”
เธอไม่ได้ผลักไสเขา ไม่ได้รบเร้าสั่งให้เขา ‘ต้องไปอะคาเดมี’
“…อื้อ”
เด็กนี่เพียงแค่พยักหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่อาจรู้ความคิดในใจได้อีกแล้ว
[…อา อา แด่นางผู้เป็นที่รัก
อา อา นางผู้เป็นที่รักและเคารพ
ชีวิตของข้า แสงสว่างของข้า นางผู้เป็นหัวใจของข้า!
เพียงแค่คิดถึงเจ้าพระอาทิตย์ของข้าก็สว่างไสว ดวงดาวเปล่งประกายทอแสง คุณผู้แสนงดงาม
ได้โปรดอย่าลืมเลือนความรักนี้
วันนี้ที่พวกเราได้สนุกร่วมกัน
ได้โปรดอย่าลืมมัน]
แปะ แปะ แปะ!
ถึงกับมีการแสดงอวยพรวันเกิดจากจูเลียตต้า อาบีโน่ นักร้องโอเปร่าที่ขายดิบขายดีจนตั๋วหมดทุกวันเลยเหรอเนี่ย
พวกชนชั้นสูงต่างก็ปรบมือ ในขณะที่อ้าปากค้างด้วยความตกใจกับความหรูหราเกินคาด
ต่อให้เป็นหลานสาวของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ต่อให้เป็นบุตรสาวของแคลอฮัน ลอมบาร์เดียก็เถอะ แต่พวกเขาไม่เคยได้ยินได้เห็นงานวันเกิดของเด็กอายุสิบเอ็ดปีที่ไหนที่จะยิ่งใหญ่อลังการเท่านี้มาก่อนเลย
“ได้ยินว่าจูเลียตต้า อาบีโน่ ได้รับการสนับสนุนจากร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันด้วยนะ”
ใครบางคนกระซิบกระซาบในขณะที่มองเสื้อผ้าที่ใช้ในการแสดงของจูเลียตต้าที่หรูหรามากเสียจนดูงดงามยิ่งกว่าเดรสสั่งตัดชุดไหนๆ
“ไม่ใช่การสนับสนุนจากร้านขายเสื้อผ้า แต่ได้ยินว่าเป็นการสนับสนุนจากแคลอฮัน ลอมบาร์เดียเลยนะคะ เห็นว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันเช่นนั้น…”
“ต๊าย จริงเหรอคะ”
“ทั้งคุณจูเลียตต้า ทั้งเจ้าชายลำดับที่สองก็ด้วย ดูเหมือนข่าวลือจะเป็นเรื่องจริงนะคะ ไม่ว่าแคลอฮัน ลอมบาร์เดียจะยื่นมือไปที่ใด ก็ประสบความสำเร็จทุกอย่างเลยจริงๆ ค่ะ”
“ก็นะ ที่เขตแดนเซอเชาว์ก็เหมือนกัน เปิดร้านขายเสื้อผ้าแล้วแต่ละเดือนจ่ายภาษีตั้งหลายเท่าตัวเลยนะคะ”
“นี่ไม่ใช่เรื่องว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์แล้วละ สงสัยจะต้องคาดการณ์ให้ดีแล้วว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนถัดไป”
“ปัญหาคือบุตรคนแรกหรือคนที่สามนี่แหละค่ะ”
ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
“ทางราชวงศ์เองก็เหมือนจะเริ่มเลือกข้างกันแล้วนะครับ…”
สายตาของเหล่าชนชั้นสูงที่สนทนากันอยู่มองไปยังเจ้าชายลำดับที่สองเฟเรส
“แต่ถึงยังไง จะเอาชนะเบเจอร์ ลอมบาร์เดีย ที่มีตระกูลอังเกนัสฝ่ายภริยาให้การสนับสนุนได้เหรอครับ”
“นั่นสิ…”
หลายคนเห็นด้วยอีกครั้ง
ถึงช่วงนี้แคลอฮันจะแสดงออกให้เห็นถึงความชาญฉลาดและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่อาจเมินเบเจอร์ที่เป็นบุตรชายคนโตได้อยู่ดี
“อีกอย่างแคลอฮัน ลอมบาร์เดียเองก็ไม่มีบุตรชายที่จะสืบทอดตระกูลต่อไม่ใช่หรือครับ ถึงแม้จะยังหนุ่ม อาจจะมีโอกาสมีบุตรเพิ่มก็เถอะ แต่ว่า…”
“แต่ได้ยินว่าบุตรสาวของท่านแคลอฮันก็ได้รับความเอ็นดูจากเจ้าตระกูลเป็นพิเศษเลยนะคะ”
“ต่อให้ได้รับความเอ็นดูแค่ไหน ผู้หญิงก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ดีนั่นแหละครับ”
น่าเศร้า แต่มันเป็นคำพูดที่ถูกต้อง
“ก็จริงค่ะ แต่ว่า…”
ในตอนนั้นเองใครคนหนึ่งในฝูงชนก็ชี้ไปยังมุมหนึ่งพลางพูดขึ้น
“จนถึงตอนนี้ ยังมีผู้สืบทอดคนไหนที่รูลลัก ลอมบาร์เดียรักและเอ็นดูขนาดนั้นอีกเหรอคะ”
ตรงบริเวณนั้นมีฟีเรนเทียที่ตะโกนเรียก ‘ท่านปู่’ แล้ววิ่งกระโจนเข้าไปสวมกอด กับเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียที่ระเบิดเสียงหัวเราะดัง ‘ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!’ ทั้งยังฉีกยิ้มจนถึงใบหูในขณะที่กอดหลานสาวเอาไว้แน่น
“เฮ้อ จริงๆ เลย…”
พวกเขาจะต้องเลือกยืนอยู่ข้างฝ่ายไหนกันแน่
ความกังวลของเหล่าชนชั้นสูงที่มองภาพรูลลัก ลอมบาร์เดีย ที่กลายเป็นคนหลงหลานสาวไปเสียแล้วนั่น มีแต่จะครุ่นคิดกันหนักมากขึ้นไปอีก
พรึ่บ
ไม่ต้องให้ใครปลุก นัยน์ตาทั้งสองข้างก็เปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ฟีเรนเทียได้ยินเสียงนกร้องดังจิ๊บ จิ๊บมาจากด้านนอก สายลมเย็นสดชื่น ท้องฟ้าแจ่มใสปลอดโปร่ง
เป็นเช้าที่เพอร์เฟ็กต์จริงๆ
อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งเนื้อแต่งตัว กินอาหารเช้าง่ายๆ ชีวิตประจำวันยามเช้าดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีสะดุด เหมือนกับสายน้ำที่ไหลริน
ลอรีลเอ่ยถามเธอในขณะที่ช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าของเธอที่ยืนอยู่หน้ากระจกเป็นครั้งสุดท้าย
“วันแรกของอิสระที่เฝ้ารอคอยมาตลอด วันนี้จะทำอะไรเหรอคะ”
“อืม ก่อนอื่น…”
เธอเดินเข้าไปข้างเตียง หยิบเอาถุงเงินที่เก็บรักษาไว้อย่างหวงแหนในลิ้นชักออกมา
กรุ๊งกริ๊ง
เสียงที่ฟังแค่ครั้งเดียว ไม่ว่าใครก็รู้แล้วว่าข้างในถุงนั่นคืออะไรดังขึ้น
เธอเอ่ยพูดในขณะที่ยกยิ้มด้วยความพอใจในน้ำหนักของเงินที่อยู่เต็มกระเป๋าเงิน
“ต้องใช้เงินค่าขนมที่เก็บมาตลอดเสียหน่อย”
วันแรกมันก็ต้องช็อปปิ้งแน่นอนอยู่แล้วสิ